บท
ตั้งค่า

บทที่ 6

ในตอนแรกนั้น โจนน์เข้าใจเอาเองว่างานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นในค่ำคืนวันนี้ เป็นการเลี้ยงต้อนรับการกลับมาบ้านพร้อมด้วยชัยชนะที่เขามีต่อเผ่าของเธอมากกว่าจะเป็นการเลี้ยงฉลองแต่งงาน ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นความลังเลที่เกิดขึ้นกับเธออยู่ รอยยิ้มอ่อน ๆ จึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“อันที่จริงฉันก็พอจะรู้อยู่ว่ามันเป็นการขอร้องที่ค่อนข้างจะมากเกินไป เพราะฉะนั้นฉันก็มีข้อต่อรองให้เธอด้วย”

“ต่อรองด้วยอะไรล่ะเจ้าคะ” โจนน์รู้สึกเสียวสะท้านกับปลายนิ้วที่ลูบไล้อยู่บนนวลหน้า

“เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่เธอจะให้ฉันในคืนวันนี้ ฉันยินดีที่จะให้อะไรก็ได้อย่างหนึ่งที่เธอจะขอมา...โจนน์ ฉันไม่ได้ขอร้องในสิ่งนี้เพื่อตัวเองหรอกนะ แต่เพื่อตัวเธอด้วย เธอไม่คิดบ้างหรือว่า หลังจากที่เราผ่านพบเรื่องร้าย ๆ มาโดยตลอด และบางทียังอาจจะต้องพบต่อไปอีกในวันข้างหน้า อย่างน้อยเราทั้งสองคนก็ควรจะได้จดจำโอกาสพิเศษในวันแต่งงานของเรานี่ไว้บ้าง เพื่อที่สักวันหนึ่งเมื่อเรานึกถึงมันขึ้นมาได้ เราจะได้มีความสุขกับความทรงจำนั่น”

ความรู้สึกหลากหลายขึ้นมาตื้นตันอยู่ในลำคอ มันทำให้เธอนึกไปถึงเกียรติยศที่เขามอบให้ เมื่อเดินทางมาถึงปราสาทแห่งนี้ ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เขาขอร้องมันก็เพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง และเขาก็ขอเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น... ขอให้เธอเป็นเจ้าสาวแสนสวยเคียงข้างอยู่กับเขา ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวผู้มีความสุข มันไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างความเดือดร้อนหรืออันตรายให้เกิดขึ้นกับผู้ใดรวมทั้งตัวเอง และมันยังจะเป็นความทรงจำอันแสนหวานสำหรับอนาคตต่อไป ในวันข้างหน้าอีกด้วย

“ก็ได้เจ้าค่ะ” เธอตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ทำไมมันถึงเป็นยังงี้ก็ไม่รู้นะ...” รอยซ์พึมพำออกมา “ทุกครั้งที่เธอยอมทำอะไรด้วยความเต็มใจอย่างเช่นในเวลานี้ เธอทำให้ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระราชาผู้เพิ่งได้รับชัยชนะในสนามรบมาได้ เธอดื้อรั้นทำอะไรอย่างเอาแต่ใจตัวเอง เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขอทานไม่มีผิด”

ก่อนที่โจนน์จะทันคิดหาคำพูดเพื่อตอบเขาออกไป รอยซ์ก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ... ท่านลืมนี่...” เธอยื่นกล่องเครื่องประดับที่เขาส่งมาให้พร้อมกับแหวนในตอนแรก

“ทั้งหมดนั่นเป็นของเธอ” เขาพูดเรียบ ๆ ก่อนจะเร่งเร้าว่า “ลองเปิดดูสิ”

กล่องสีเหลี่ยมใบนั้นเป็นกล่องทองคำที่จำหลักลวดลายและประดับอัญมณีหลากชนิด ภายในเป็นแหวนผู้หญิงประดับด้วยทับทิมเม็ดเขื่อง และยังแหวนทองอีกวงหนึ่งแต่ที่วางอยู่ข้างแหวนทั้งสองวงนั้น...

“ริบบิ้นอะไรเจ้าคะ... นี่” เธอพิจารณาม้วนริบบิ้นที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในกล่องเครื่องประดับใบนั้น

“แหวนสองวงกับริบบิ้นนั่นเป็นของท่านแม่ มีเพียงแค่นี้ที่เหลืออยู่ หลังจากที่ปราสาทของเราถูกยึดครอง” เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็เดินออกจากห้องไป บอกให้เธอรู้แต่เพียงว่าเขาจะลงไปคอยอยู่ข้างล่าง

แต่เมื่อปิดประตูบานนั้นตามหลังลง รอยซ์ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่อีกเป็นครู่ รู้สึกแปลกใจตัวเองที่พูดกับเธอไปอย่างนั้น และรวมถึงวิธีการที่เขาพูดจากับเธอด้วย เขาไม่อาจทำใจให้ลืมได้ว่า โจนน์เคยใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเขามาถึงสองครั้งสองหนที่ปราสาทฮาร์ดิน และเธอก็ยังมีส่วนร่วมมือกับบิดา วางแผนที่จะไม่ยอมให้เขามีทั้งภรรยาและทายาทอีกด้วย

สำหรับโจนน์นั้น แม้เขาจะออกจากห้องไปครู่ใหญ่แล้ว แต่เธอก็ยังยืนอยู่ในที่เดิม ก้มลงมองกล่องเครื่อง ประดับที่เขายัดใส่ไว้ให้ในมือ ถอนใจออกมาเบา ๆ แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ตรงปลายตีนเตียง แต่แล้วก็เกิดความลังเลขึ้นมา

เธอต่อสู้อยู่กับสำนึกแห่งความรับผิดชอบของตนเองที่ว่าจะไม่ทรยศต่อวงศ์ตระกูล หรือบ้านเมืองกับผู้คนในเผ่าด้วยการยอมร่วมมือกับท่านดยุคในการแต่งงานครั้งนี้ แต่ทว่าสิ่งที่รอยซ์ขอจากเธอนั้น มันเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อจะเปรียบกับชีวิตแต่งงานที่จะต้องคงอยู่จวบจนถึงวันตาย เธอเองก็อยากจะให้ตัวเองได้สัมผัสรสชาติของความเป็นเจ้าสาวอย่างเต็มที่บ้าง

เสื้อสีทองชุดนั้นเย็นเยือกอยู่ใต้สัมผัส ขณะที่เธอยกมันขึ้นทาบตัว เมื่อก้มลงมองก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่เสื้อชุดนี้ยาวได้สัดส่วนกับความสูงของร่างกายพอดี

สาวใช้ที่ชื่อแอ๊กเนสเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมด้วยเสื้อราตรียาวตัดเย็บด้วยผ้ากำมะหยี่สีเขียวแกมฟ้าเข้ากับเสื้อคลุมสีเดียวกันที่ขลิบริมด้วยไหมสีทอง หล่อนเดินมาหยุดยืนมองสตรีสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นนายหญิงคนใหม่ ด้วยสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนลงบ้าง สีหน้าของโจนน์ยามนี้ดูสดใสอย่างประหลาด

“เสื้อตัวนี้สวยดีนะ” โจนน์เอ่ยขึ้นราวจะชวนคุย

“เจ้าค่ะ มันเป็นเสื้อเท่าที่เราพอจะหาได้จากสมบัติเก่าของลูกสาวเจ้าของปราสาทคนเดิมเท่านั้นเจ้าค่ะ” แอ๊กเนสตอบห้วน ๆ

แทนที่โจนน์จะโยนเสื้อใช้แล้วตัวนั้นทิ้งอย่างไม่ไยดีเช่นที่แอ๊กเนสคาดว่าจะได้เห็น ดัชเชสสาวกลับร้องด้วยความชื่นชมว่า

“แต่ฉันว่ามันพอดีกับตัวฉันเลยนะ”

“เอ้อ...เสื้อตัวนี้ได้รับการแก้ไขให้เข้ากับรูปร่างของคุณหญิง ตอนที่คุณหญิงนอนหลับอยู่น่ะเจ้าค่ะ” หล่อนวางเสื้ออีกชุดหนึ่งซึ่งพาดอยู่กับแขนลงบนเตียง

“จริงหรือนี่ เธอเป็นคนแก้ไขมันเองยังงั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“ทั้งที่มีเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั่นน่ะนะ”

“เจ้าค่ะ”

“ฝีมือดีมากทีเดียว ฉันเองก็คงจะเย็บได้ไม่เรียบร้อยเท่าเธอ” โจนน์เอ่ยปากชมด้วยความจริงใจ

“คุณหญิงอยากจะให้ฉันช่วยเกล้าผมให้ไหมเจ้าคะ” แอ๊กเนสไม่อยากแสดงความขอบคุณกับคำชมที่ได้รับเพราะรู้สึกว่าถ้าทำอย่างนั้น มันจะขัดกับความตั้งใจของตนเองที่ดูหมิ่นเหยียดหยามนายสาวผู้นี้มาโดยตลอด จึงแสร้งทำเป็นเดินไปหยิบแปรงมาถือเตรียมพร้อมไว้

“โอ เห็นจะไม่ต้องหรอก คืนนี้ฉันขอมีความสุขให้สมกับเป็นเจ้าสาวสักหน่อย แค่สองสามชั่วโมงก็ยังดีและเจ้าสาวก็ควรมีสิทธิ์ปล่อยผมด้วยจริงไหม” เธอเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ

เสียง... ซึ่งเมื่อตอนที่อยู่ภายในห้องนอนเพียงแค่ได้ยิน เปลี่ยนเป็นเสียงที่อื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์เมื่อโจนน์เดินเข้าไปใกล้ห้องโถงกลาง มันเป็นเสียงที่ประสมประสานกันอยู่ระหว่างเสียงหัวเราะของผู้ชายกับเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ในท่ามกลางเสียงสนทนา เมื่อเท้าแตะลงบันไดขั้นสุดท้ายเธอก็เกิดความลังเลแทบจะไม่กล้าปรากฏตัวต่อสายตาของคนเหล่านั้น

เธอรู้อยู่แก่ใจ ว่าบัดนี้ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมกันต่างก็รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นพวกทหารที่อยู่ในค่ายคืนที่เธอถูกลักพาตัว และนำไปส่งให้รอยซ์ พวกที่มีส่วนร่วมในการลักพาตัวเธอออกมาทางหน้าต่างของปราสาทแคชเชอร์ และยังคนอื่น ๆ ที่ได้เห็นพวกชาวบ้านกระทำย่ำยีต่อเกียรติยศของเธอ

เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ตอนที่สามีพูดจาให้เหตุผลกับเธอนั้น โจนน์มีความรู้สึกว่างานเลี้ยงฉลองสมรสครั้งนี้ ช่างมีความหมายอันยิ่งใหญ่สำหรับเธอเสียเหลือเกิน แต่ขณะนี้ เมื่อตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่าเพระเหตุใดเธอจึงต้องมาอยู่ที่นี่ มันทำลายความปลาบปลื้มยินดีลงอย่างสิ้นเชิง

ใจหนึ่งเธอคิดอยากจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนแต่ถึงอย่างไรสามีก็คงขึ้นไปลากตัวเธอลงมาจนได้อยู่นั่นเอง ยิ่งกว่านั้น... เธอสั่งตัวเองอย่างดุเดือด ถึงอย่างไรเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้อยู่แล้ว ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งและแคชเชอร์ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว...

เธอสูดลมหายใจลึก แล้วจึงได้เดินลงบันไดขั้นสุดท้าย ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเป็นภาพที่สร้างความกระวนกระวายให้เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ผู้คนที่มาร่วมชุมนุมอยู่ในห้องโถงกลางไม่ต่ำกว่าสามร้อยคน บ้างก็ยืนพูดคุยกันบ้างก็นั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะยาวซึ่งตั้งรายเรียงเป็นแถวแนวจากผนังจรดผนัง โดยทั้งที่ว่างตรงกลางไว้

นอกจากนั้นก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยืนชมการแสดงซึ่งมีมากมายหลายชุด เหนือขึ้นไปบนระเบียงห้องแกลเลอรี่คือที่ตั้งของวงดนตรีซึ่งกำลังบรรเลงเพลงอย่างไพเราะเพราะพริ้ง

โจนน์สังเกตเห็นอยู่ว่า ในงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้มีสุภาพสตรีมาร่วมงานด้วย นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อน พวกหล่อนอาจจะเป็นภรรยาของอัศวินหรือไม่ก็เดินทางมาจากตำบลใกล้เคียง

อย่างไรก็ตามเธอ สามารถมองห็นรอยซ์ได้ทันทีเพราะนอกจากเอริคแล้ว เขาดูจะเป็นบุรุษผู้มีเรือนกายสูงสง่าเพียงคนเดียวในห้อง และขณะนี้เขาก็ยืนอยู่ไม่ไกลนักกำลังสนทนากับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในมือมีถ้วยทองบรรจุน้ำอมฤต เขาหัวเราะเสียงดังกับคำพูดของใครบางคน ซึ่งทำให้โจนน์อดเสียวแปลบในใจไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นเขามีท่าทางรื่นรมย์เช่นนี้มาก่อน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel