บทที่ 5
โจนน์ขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ห่อหุ้มร่างด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าที่สาวใช้ยื่นมาให้ รู้สึกสบายเนื้อตัวขึ้นอย่างประหลาด เมื่อเดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียง และเริ่มลงมือเช็ดผมให้แห้ง
สาวใช้เดินเข้ามาทางข้างหลัง พร้อมด้วยแปรงในมือและเริ่มลงมือแปรงเส้นไหมที่พันกันยุ่งเหยิงออกอย่างแผ่วเบา ขณะที่สาวใช้อีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผ้าปักสีทองจางในอ้อมแขน ซึ่งโจนน์เดาเอาว่าจะต้องเป็นเสื้อราตรี สาวใช้ทั้งสองคนไม่กล้าแสดงท่าเย่อหยิ่งจองหองเข้าใส่เธอ ซึ่งโจนน์ก็พอจะรู้ว่ามันเนื่องมาแต่คำสั่งอันเฉียบขาดของเจ้านายนั่นเอง
ภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูจะหวนเข้าสู่ความทรงจำตลอดเวลา แม้มันจะมีความรู้สึกไม่ดีเกิดอยู่ระหว่างตัวเธอเองกับรอยซ์ แต่กระนั้นเขาก็ยังให้เกียรติเธอด้วยการยกย่องให้อยู่ในฐานะเดียวกันกับเขา ซึ่งมันออกจะเป็นเรื่องแปลกที่นักรบผู้ถูกกล่าวขวัญว่ามีจิตใจเหี้ยมเกรียมอย่างเขาจะทำได้ถึงขนาดนั้น
ในขณะดังกล่าวนั้น เขาแสดงออกถึงความเมตตาที่แฝงลึกอยู่ในใจ แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่เข้าใจในการกระทำอื่น ๆ ของเขาอยู่ดี รวมทั้งการปล่อยตัวเบรนน่า เขาก็ยังมีข้อต่อรองแลกเปลี่ยน เพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ของตนเองที่ตั้งขึ้นไว้
โจนน์ทอดถอนใจ เลิกล้มความพยายามที่จะศึกษาและทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของบุรุษผู้เป็นสามีลงเสียจึงหันไปทางสาวใช้คนที่ชื่อแอ๊กเนสด้วยความหวังว่า อย่างน้อยสาวใช้จะเต็มใจพูดคุยกับเธอบ้าง
“แอ๊กเนส... เสื้อที่ถือมาตัวนั้นน่ะ เป็นชุดที่ฉันจะต้องใส่ออกงานคืนนี้ใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ คุณหญิง”
“คงจะเป็นเสื้อของใครสักคนสินะ”
“เจ้าค่ะ คุณหญิง”
ตลอดเวลาสองชั่วโมง สาวใช้ทั้งสองพูดกับเธอเพียงเท่านั้น โจนน์ทั้งกลัดกลุ่มและเศร้าใจระคนกัน
“ก็แล้วมันเคยเป็นของใครมาก่อนล่ะ” เธอถามต่อพยายามบังคับน้ำเสียงให้สุภาพไว้
“ของลูกสาวเจ้าของปราสาทคนเดิมเจ้าค่ะ” แต่แล้วทั้งสองต่างก็หันไปมองทางประตูเมื่อมีเสียงเคาะดังขึ้นครู่ต่อมา คนรับใช้ผู้ชายรูปร่างล่ำสันก็ช่วยกันแบกหีบใบใหญ่เข้ามา และวางลงตรงมุมห้อง
“ในหีบนั่นคืออะไรล่ะ” เธอเอ่ยถามออกไป แต่เมื่อสาวใช้ทั้งสองก็ไม่อาจตอบคำถามของเธอได้ โจนน์จึงเดินไปเปิดดูด้วยตนเอง ซึ่งภายในหีบดังกล่าวเต็มไปด้วยแพรพรรณสวยงามอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตมันมีทั้งผ้าซาตินเนื้อมันระยับ ผ้ากำมะหยี่ปักลวดลายสวยงาม ผ้าไหมที่แพรวพราวด้วยอัญมณีที่ปักเป็นลวดลายประดับไว้ ผ้าขนสัตว์อ่อนนุ่ม ผ้าลินินเนื้อใสราวโปร่งแสง “โอ้โฮ สวยเหลือเกิน... ” โจนน์ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นใจ ลูบไล้ฝ่ามืออยู่กับผ้าซาตินสีเขียวมรกต
“หวังว่าเธอจะชอบนะ” เสียงที่ดังขึ้นตรงหน้าประตูทำให้ทั้งสามคนต่างหันไปมองด้วยความตกใจ และพบว่ารอยซ์ยืนพิงกรอบประตู เขาอยู่ในเสื้อรัดแขนยาวแบบผู้ชายอย่างที่เรียกว่า “ดับลิท” ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าสีทับทิมเข้ม ตรงช่วงเอวนั้นมีเข็มขัดที่ปักประดับทับทิม และปลอกมีดสั้นที่เหน็บอยู่ตรงเอวก็ประดับด้วยทับทิมเม็ดเขื่องเช่นกัน
“ชอบ...หรือเจ้าคะ” โจนน์ถามย้ำ แต่แล้วก็เกิดระแวง สายตาของเขาที่เลื่อนจากเรือนผมลงมาหยุดอยู่ตรงช่วงอก และพอเห็นว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ เธอก็ยกมือขึ้นจับคอเสื้อส่วนนั้นไว้แน่น ซึ่งเรียกรอยยิ้มให้ฉาบขึ้นบนริมฝีปากของรอยซ์ เขาหันไปทางสาวใช้ทั้งสองออกคำสั่งว่า
“ออกไปได้” และทั้งสองสาวก็รีบรุดเดินออกจากห้องด้วยอาการลุกลี้ลุกลน แถมยังทำเครื่องหมายกางเขนลงตรงทรวงอกอีกด้วย
สัญญาณอันตรายกริ่งเตือนขึ้น เมื่อรอยซ์ปิดประตูลงและมองมายังเธอ โจนน์บอกตัวเองว่าเธอควรจะพูดอะไรบางอย่าง และก็เอ่ยถึงสิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในสมองโดยไม่ทันยั้งคิด
“ท่านไม่น่าไปพูดกับคนใช้ด้วยน้ำเสียงดุดันยังงั้นเลยนะเจ้าคะ จะทำให้เขากลัวท่านลนลานเสียเปล่า ๆ”
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาพูดเรื่องคนใช้” รอยซ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ และเริ่มออกเดินตรงเข้ามาหา ด้วย สัญชาตญาณแห่งความเป็นผู้หญิงที่รู้อยู่ว่าใต้เสื้อคลุมตัวนั้นเธอไม่ได้สวมอะไรไว้เลย ทำให้โจนน์ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อไม่อาจเดินไปได้ไกลกว่านั้น เธอก็จับตามองดูเขาที่เดินไปยังหีบแพรพรรณที่เปิดทิ้งไว้ เขาหยิบขึ้นมาพลิก ๆ ดูเนื้อผ้าชิ้นหนึ่ง
“พอใจไหม” เขาเอ่ยถามออกมาอีก
“พอใจกับอะไรล่ะเจ้าคะ” โจนน์กระชับมือที่จับอกเสื้อไว้แน่น จนหายใจแทบไม่ออก
“ก็กับผ้านี่น่ะสิ... ทั้งหมดนี่เป็นของเธอนะ จะเอาไปตัดเสื้อสวย ๆ หรือทำอะไรก็ได้ตามใจ”
โจนน์พยักหน้ารับ สายตาที่มองเขาอยู่ในยามนี้เต็มนี้ไปด้วยความหวาดระแวง เมื่อเขาทิ้งผ้าลงในหีบแล้วก็เริ่มออกเดินเข้ามาหาอีกครั้ง
“ท่ะ... ท่านต้องการอะไรเจ้าคะ” เธอเกลียดอาการอึกอักที่เกิดขึ้นกับตนในยามนี้เสียเหลือเกิน
เขาเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างจากเธอเพียงแค่มือคว้า แต่แทนที่จะทำอะไรลงไปเขากลับเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ว่า
“ก่อนอื่น อยากจะให้เธอคลายมือที่จับอกเสื้อนั่นออกเสียก่อนที่จะตายเพราะขาดอากาศหายใจ แม้แต่คนที่ห้อยตัวอยู่กับเชือกยังไม่จับแน่นขนาดนั้นเลย”
โจนน์คลายมือที่กอดกำเสื้อออกเล็กน้อย รอให้เขาพูดต่อ เขาพิจารณาความรู้สึกในสีหน้าของเธออยู่เงียบ ๆ เป็นครู่โดยไม่พูดอะไรออกมา
“บอกมาสิเจ้าคะว่าท่านต้องการอะไร” เธอเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย
“ฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับเธอ ตอนนี้นั่งลงก่อนเถอะ”
“ท่านเข้ามาในห้องนี้เพื่อจะ... จะมาคุยกับฉันหรือเจ้าคะ” เธอถามราวไม่เชื่อหูตนเอง เมื่อเขาพยักหน้ารับเธอก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่ายโดยไม่ลังเลใจเลย “มีเรื่องอะไรก็พูดไปสิเจ้าคะ” เธอบอกเมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว
“เรื่องที่ฉันจะพูดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราทั้งสองคนเรื่องคืนนี้นั่นแหละ” เขาขยับตัวเข้ามาใกล้
จากคำพูดและท่าทางของเขา ทำให้โจนน์ถลันลุกขึ้นจากที่นั่งอีกครั้ง กระถดถอยออกห่างจนหลังชนผนังห้องและจนมุมอยู่ตรงนั้น
“โจนน์... ”
“เจ้าคะ” เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
“ข้าหลังนั่นมันเป็นเตาผิงนะ”
“ก็... ก็... ฉันหนาวนี่เจ้าคะ”
“เดี๋ยวไฟก็ไหม้ตัวกันพอดี”
เธอเหลือบตามองหน้าเขาอย่างระแวง แล้วก็ก้มลงมองชายเสื้อ แต่แล้วก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลูกไฟติดอยู่ตรงนั้น รีบปัดออกอย่างลุกลี้ลุกลน
“ตายจริง เสื้อตัวนี้สวยด้วย แต่เสียหายนิดหน่อยคงจะไม่... ”
“ฉันอยากจะพูดเรื่องการเลี้ยงฉลองแต่งงานของเราคืนนี้” เขาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่เรื่องที่จะตามมาหลังจากนั้น ไหน ๆ เราก็พูดกันถึงเรื่องนี้แล้ว...เธอช่วยพูดให้ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหมว่า เพราะอะไรเธอเกิดกลัวการนอนร่วมเตียงกับฉันขึ้นมา
“ฉันไม่ได้กลัว... ” เธอตอบอย่างสิ้นหวัง รู้ว่ามันจะทำให้เขาได้ใจถ้าจับจุดอ่อนของเธอได้ “แต่หลังจากที่มันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็เพียงแต่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกเท่านั้น”
“ถ้าเพียงแค่นั้น มันก็รักษาได้ไม่ยากหรอก” เขาพูดยิ้ม ๆ
“อย่ามาถูกฉันนะ... ไม่ยังงั้นฉันจะ... ”
“อย่าขู่ฉันยังงั้นสิโจนน์... ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่ยังงั้นเธออาจจะต้องเสียใจอย่างที่สุดขอให้รู้ว่า ฉันมีสิทธ์ที่จะแตะเนื้อต้องตัวเธอได้ทุกเมื่อและทุกยามที่ฉันต้องการ”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเจ้าคะ ว่าท่านเข้ามาที่นี่เพื่อจะมาทำลายความรู้สึกสนุกที่ฉันจะลงไปร่วมงานในค่ำคืนนี้อย่างสิ้นเชิง เอาละเจ้าค่ะ ท่านจะกรุณาอนุญาตให้ฉันแต่งตัวได้หรือยังล่ะเจ้าคะ”
“ที่ฉันเข้ามานี่น่ะ ไม่ได้เจตนาที่จะมาทำให้เธอต้องรู้สึกอะไรพรรค์ยังงั้นหรอก” เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “เพียงแต่อยากจะมาเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ให้เธอได้รับรู้ไว้เสียก่อนจะได้ไม่ต้องคิดสงสัยให้ปวดหัว ... จริงอยู่ ระหว่างเรามันยังมีเรื่องที่จะต้องพูดจากันอีกมาก แต่เก็บไว้พูดกันวันหลังได้ จุดประสงค์ที่ฉันเข้ามาหาเธอที่นี่ตอนนี้...” เขาสังเกตเห็นว่าความรู้สึกในสีหน้าของเธอยามนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ จึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “ยื่นมือมาให้ฉันหน่อยสิ โจนน์”
“มือ...หรือเจ้าคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างระแวงอีกครั้ง
และรอยซ์ก็เอื้อมมาดึงมือเธอไปกุมไว้ ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นไม่น้อยเลยและในตอนนั้นเองที่เธอเธอสังเกตเห็นว่า มันมีแหวนวงหนึ่งอยู่ในมือขวาของเขา บนเรือนทองที่สุกปลั่งคือมรกตขนาดใหญ่น้ำงามพราวพรายอย่างที่โจนน์ไม่เคยเห็นมาก่อน และเขาก็สวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
จะเป็นเพราะน้ำหนักของแหวนคือความหมายอันเป็นนัยที่แฝงอยู่ในแหวนวงนั้น และยังความสุภาพอ่อนโยนความจริงใจที่ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สีเทาเข้ม ทำให้หัวใจของโจนน์เต้นระทึกขึ้นเป็นสองเท่า และแล้วเขาก็เอ่ยออกมาอีกว่า
“รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามประเพณีที่ถูกต้องเลยเราเป็นผัวเมียกันก่อนที่จะมีการหมั้นหมายเกิดขึ้น แล้วฉันก็สวมแหวนให้เธอ หลังจากที่เราแลกเปลี่ยนคำปฏิญาณซึ่งกันและกันช้ามาก”
โจนน์จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สีเทานั้นราวถูกสะกดจิต ขณะเดียวกันน้ำเสียงที่อ่อนทุ้มนุ่มนวลของเขา ราวจะครอบงำทุกอารมณ์และความรู้สึกของเธอไว้
“และในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานของเรามันก็ไม่ถูกต้องมาโดยตลอด ฉันจึงมีเรื่องที่อยากจะขอความช่วยเหลือหรือที่ถูกขอความร่วมมือจากเธอสักหน่อย... ”
โจนน์แทบจะหาเสียงของตัวเองไม่พบเมื่อเอ่ยถามออกไปว่า
“เรื่องอะไรกันเจ้าคะ”
“เรื่องคืนวันนี้” เขาลูบไล้นวลแก้มอยู่ด้วยปลายนิ้ว “ขอให้เราลืมเรื่องต่าง ๆ ระหว่างกันลงสักระยะ แล้วก็ปฏิบัติตนอย่างปกติธรรมดา เหมือนคู่สมรสที่เพิ่งแต่งงกันใหม่ ๆ ทั่วไปน่ะ”
