บทที่ 4
อัศวินที่ยืนล้อมอยู่รอบกองไฟต่างหันมามอง และโจนน์ก็รีบเดินแกมวิ่งเข้าไปหาป้า เพื่อจะทำให้นางหยุดพูดเสียที เพราะรู้สึกว่าออกจะเป็นอันตรายสำหรับนางอยู่มากที่พูดออกมาเช่นนั้นต่อหน้าบุรุษร่างยักษ์
ป้าเอลิเนอร์กางแขนออกโอบกอดร่างหลานสาวไว้
“คิดดูสิ เอริคน่ะเดินทางมาถึงปราสาทนี่ก่อนหน้าที่หนูจะมาครู่ใหญ่ ๆ แต่เขาไม่ยอมตอบคำถามป้าสักคำทั้งที่ป้าร้อนใจอยากจะรู้เรื่องหนูจะแย่...สงสัยจะเป็นโรค... ” โจนน์กอดร่างป้าไว้แน่นไม่ยอมให้พูดต่อ แต่ป้าเอลิเนอร์ก็ยังดิ้นรนจนพูดออกมาได้ “ท้องผูก... ”
ความเงียบอันน่ากริ่งเกรงดำเนินอยู่เพียงชั่วครู่ และแล้วก็สนั่นหวั่นไหวด้วยเสียงหัวเราะเอ็ดอึง เอริคปรายตาดุดันมองหน้าป้าเอลิเนอร์อยู่ แล้วก็ตวัดสายตามองไปทางเซอร์กอดเฟรย์ ซึ่งทำให้ฝ่ายนั้นหยุดหัวเราะลงทันที แม้โจนน์อยากจะหัวเราะออกมาอย่างที่สุด แต่ก็ต้องพยายามกลั้นไว้
“โถ ป้าเอลิเนอร์... ” โจนน์พยายามซ่อนเสียงหัวเราะด้วยการซุกหน้าลงกับไหล่ของหญิงชรา
“ใจเย็น ๆ ... ใจเย็น ๆ... หลานรักของป้า” ป้าเอลิเนอร์ปลอบโยนด้วยเข้าใจผิดคิดว่าโจนน์ร้องไห้ แต่ขณะเดียวกันนางก็มองไปทางพวกอัศวินที่หัวเราะขบขันกับคำพูดของนางอยู่เอ็ดตะโรใส่พวกเขาว่า “คนที่เป็นโรคท้องผูก ไม่ใช่คนที่พวกท่านจะหัวเราะเยาะ” นางหันไปมองเอริค พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการว่า “แค่เห็นหน้าท่านก็รู้แล้วว่าโรคกระเพาะกำลังถามหา แต่ไม่ต้องกลัว ดิฉันจะปรุงยาจากตำรับพิเศษให้กิน รับรองว่าไม่นานท่านจะต้องอารมณ์รื่นเริงแจ่มใส แล้วก็ยังพูดเป็นอีกด้วยนะ”
โจนน์จับแขนป้าไว้แน่น รีบตัดบทด้วยการหันไปทางสามีบอกกับเขาว่า
“ท่านเจ้าคะ ฉันกับป้ายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกมากและฉันเองก็อยากจะนอนพักสักครู่ด้วย ถ้าท่านไม่ขัดข้องฉันเห็นจะต้องขอตัว... จะขึ้นบนห้องของ... เอ้อ...ป้าเอลิเนอร์น่ะเจ้าค่ะ”
“เชิญตามสบายเถอะโจนน์” รอยซ์ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เป็นความคิดที่ดีมากทีเดียวหลานรัก ป้าว่าหนูคงอ่อนเพลียแทบตายแล้วละมั้งนี่”
“เดี๋ยว... ” รอยซ์ขัดขึ้นอีก สีหน้าเขาสงบเยือกเย็นขึ้นกว่าเดิมเมื่อมองตรงมายังโจนน์ “ให้สาวใช้ข้างบนพาไปดูห้องของเธอด้วย ห้องนั้นจะสบายกว่าห้องของป้าเธอมาก และค่ำวันนี้เราจะมีงานเลี้ยงฉลองกันฉะนั้นอย่าลืมสั่งสาวใช้ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไร โดยเฉพาะเรื่องเสื้อผ้าที่จะต้องแต่งสำหรับงานคืนวันนี้ด้วย”
“เจ้าค่ะ... เอ้อ... ขอบคุณมาก”
แต่ขณะที่เธอพาป้าเอลิเนอร์เดินตรงไปยังบันไดนั้นโจนน์สังเกตเห็นว่าบรรดาอัศวินที่ยืนล้อมอยู่รอบกองไปต่างเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ราวกับพวกเขาจะรอฟังว่า ป้าเอลิเนอร์จะพูดอะไรที่เป็นการดูหมิ่นพวกเขาออกมาอีก และป้าเอลิเนอร์ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวังเลย เมื่อนางชี้ชวนให้โจนน์ชมบ้านหลังใหม่ของเธอเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่หญิงสาวสังเกตเห็นด้วยความชื่นชมมาก่อนแล้วทั้งนั้น
และขณะที่โจนน์จับแขนป้าไว้กระชับมั่น พาเดินขึ้นบันไดไปนั้น ป้าเอลิเนอร์ก็ยังเอ่ยต่อว่า
“ป้าจะต้องพูดกับเซอร์อัลเบิร์ตเรื่องเสื้อผ้าที่หลานจะสวมใส่ในคืนนี้เสียหน่อยว่าจะต้องเป็นชุดที่สวยงามเหมาะกับตำแหน่งของหลานอย่างที่สุด ป้าเห็นมีหีบใหญ่หลายใบทีเดียวนะ ใส่สมบัติข้าวของที่เคยเป็นของเจ้าของปราสาทคนเดิมทั้งหลายนั่นแหละ เซอร์อัลเบิร์ตที่ป้าพูดถึงน่ะเขาเป็นพ่อบ้านที่นี่ อารมณ์ไม่ค่อยจะดีตลอดเวลา สงสัยว่าจะมีพยาธิรบกวน เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ป้าก็เลยปรุงยาให้เขากินขนานหนึ่ง วันนี้ท่าทางเขาจะตายเสียให้ได้ แต่รับรองว่าพรุ่งนี้จะสดใสกระฉับกระเฉงแน่ อ้อ... แล้วพอขึ้นไปถึงห้องหนูเองก็ควรจะนอนพักผ่อนเสียเลยนะ หน้าตาท่าทางอ่อนเพลียจะแย่อยู่แล้ว...”
อัศวินทั้งสี่ต่างหันมามองหน้ารอยซ์เป็นตาเดียว ต่างพยายามอำพรางรอยยิ้มไว้แต่ไม่มิด ในที่สุดสเตฟานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะว่า
“อันที่จริงตอนที่อยู่ในระหว่างการเดินทางแกก็ไม่ได้จุ้นจ้านวุ่นวายเท่าไหร่นักหรอก แต่อาจเป็นเพราะว่าตอนนั้นแกไม่ค่อยมีโอกาสพูดอะไรมากนัก เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ตัวเองตกลงมาจากหลังม้า คงอัดอกอัดใจไม่น้อยเพราะไม่ได้พูดมาตั้งหลายวัน”
“รับรองว่าแกจะกลายสภาพเป็นหมาจิ้งจอกแก่ ๆ ทันทีถ้ามีโอกาส... เออ... ว่าแต่ตอนนี้อัลเบิร์ตหายไปไหนเสียล่ะ” เขาต้องการพบพ่อบ้านเพื่อสอบถามความเป็นไปในปราสาทแคลม์เบลล์
“เกิดไม่สบายขึ้นมา” สเตฟานตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งในเก้าอี้ข้างกองไฟ “อย่างที่เลดี้เอลิเนอร์พูดเมื่อกี้นี้ละขอรับ แต่ถึงยังไงเขาก็ตระเตรียมงานไว้พร้อมหมดแล้วสำหรับการเลี้ยงฉลองในคืนวันนี้ เพียงแต่ขออนุญาตว่าจะไม่มาร่วมด้วย จะรายงานตัวกับพี่พรุ่งนี้แทน นี่พี่ไม่อยากดูรอบ ๆ บ้างหรอกหรือว่าปราสาทที่ตกแต่งใหม่แล้วมันจะเป็นยังไงมั่ง”
“ไว้ก่อนเถอะ สำหรับตอนนี้ฉันอยากจะขอนอนสักงีบก่อน” รอยซ์ตอบเรียบ ๆ
“ผมก็เหมือนกัน” เซอร์กอดเฟรย์ปิดปากหาว เหยียดแข้งเหยียดขาขับไล่ความเมื่อยขบไปพร้อมกัน “ก่อนอื่นเห็นจะต้องขอนอนให้เต็มอิ่ม พอตื่นขึ้นจะต้องบำรุงร่างกายด้วยอาหารกับเหล้าชั้นเยี่ยมให้เต็มที่ และหลังจากนั้น ก็จะหาสาว ๆ มานอนกอดให้อบอุ่นสักคน” เขาพูดปนหัวเราะและอัศวินทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน
เมื่อทุกคนออกจากห้องโถงไปแล้ว สเตฟานก็มองหน้าพี่ชาย แววในดวงตาของเขาบอกความกังวลอยู่ส่วนรอยซ์เองก็ยืนจ้องมองเหล้าในเหยือกแนวนิ่ง ราวกับจมดิ่งอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
“ทำไมหน้าตาพี่ถึงได้เคร่งขรึมยังงั้นล่ะ ถ้าคิดถึงเรื่องบ้า ๆ ที่มันเกิดขึ้นในหุบเขาวันนี้ละก้อ เลิกคิดได้แล้วอย่าปล่อยให้มันรบกวนใจเลย เดี๋ยวจะเสียบรรยากาศงานเลี้ยงฉลองคืนนี้หมด”
“ไม่ใช่... ” รอยซ์เงยหน้าขึ้นมองน้องชาย “ฉันกำลังคิดสงสัยว่าคำวันนี้ เราจะมีแขกผู้ไม่พึงปรารถนามาเยี่ยมเยียนหรือเปล่าต่างหากล่ะ”
สเตฟานเข้าใจความหมายในคำพูดประโยคนั้นของพี่ชายทันที แขกไม่พึงปรารถนาที่รอยซ์เอ่ยถึงน่าจะเป็นกองกำลังจากฝ่ายแคชเชอร์
“แต่ผมคิดว่าผู้ที่จะต้องมาที่นี่แน่ น่าจะเป็นทูตทั้งจากพระเจ้าอยู่หัวของเรากับพระเจ้าเจมส์เสียมากกว่า เพราะทั้งสองคนนั่นมีหน้าที่จะต้องกลับไปกราบทูลถวายรายงานว่าได้เห็นการแต่งงานด้วยตาตนเอง โดยบาทหลวงคนที่เราเอาตัวมาด้วยจะเป็นผู้รับรอง แต่จริง ๆ แล้วผมไม่เชื่อหรอกนะว่า พวกแคชเชอร์จะยกกำลังมาถึงที่นี่ เพราะถึงมาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
“แต่ถึงยังไงพวกเขาก็จะต้องมาแน่” รอยซ์ตอบห้วน ๆ “และจะต้องยกกันมาเป็นกองทัพเลย เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาก็มีกำลัง มีความสามารถเหมือนกัน”
“แล้วพี่จะทำยังไงล่ะ ถ้ามันเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น” สเตฟานพูดยิ้ม ๆ สีหน้าไม่ได้บอกความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย “ถึงมาก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างที่ผมบอกอย่างดีก็แค่ตะโกนเยิ้ว ๆ อยู่นอกกำแพงเท่านั้น แต่ถึงยังไง ถ้าพี่กลัวว่ามันจะมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น ก็สั่งให้คนของเราเตรียมตัวไว้ให้พร้อมได้อยู่แล้วนี่”
“ฉันไม่ต้องการให้เกิดการสู้รบขึ้นมาอีก” รอยซ์ตวาดใส่น้องชาย “เรื่องออกต่อสู้ในสนามรบน่ะ พอกันทีฉันเคยพูดเรื่องนี้กับแกแล้ว และก็กราบทูลให้พระเจ้าเฮนรี่ทรงทราบด้วย บอกจริง ๆ ว่าเบื่อ... เบื่อทั้งกลิ่นเลือดกลิ่นศพ เบื่อเสียงอาวุธที่ประหัตประหารกันอยู่ ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกต่อไป”
“เอาละ แล้วพี่จะทำยังไง ถ้าพวกแคชเชอร์ยกกำลังมาที่นี่จริง ๆ”
“เราก็เชื้อเชิญให้พวกเขาเข้ามาร่วมงานเลี้ยงเสียเลยก็หมดเรื่อง” รอยซ์ตอบด้วยน้ำเสียงเดิม สเตฟานสังเกตสีหน้าของพี่ชายอยู่ เมื่อสามัญสำนึกบอกเขาอยู่ว่าพี่ชายกำลังพูดจริง จึงลุกขึ้นยืนช้า ๆ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ...” เขาถามเสียงเครียด
“หลังจากนั้นเราก็คงจะได้แต่เพียงหวังว่า เขาจะเห็นว่าการฆ่าฟันพวกเรามันเป็นสิ่งที่เขาจะทำได้โดยง่ายเพราะพวกเขาก็มีกำลังมากกว่าเราตั้งหลายเท่าอยู่แล้ว”
“สมมุติว่าเขามองไม่เห็นเจตนาดีของเราล่ะ... หรือว่าเอิร์ลแห่งแคชเชอร์ท้าทายที่จะให้พี่ออกไปต่อสู้กับเขาเพียงลำพัง ซึ่งมันก็มีทางจะเป็นเช่นนั้นได้อยู่แล้ว...พี่จะทำยังไงต่อไป”
“ก็แล้วแกคิดว่าฉันควรจะต้องทำยังไงเล่า... ” น้ำเสียงของเขาบอกความขัดเคือง “แกจะให้ฉันตัดคอพ่อตาตัวเองหรือไง และก่อนจะตัดคอนั่นแกอยากให้ฉันเชิญลูกสาวเขาออกมาดูเพื่อเป็นประจักษ์พยานด้วยยังงั้นใช่ไหมหรือว่าจะสั่งให้อยู่แต่ข้างบนจนกว่าเราจะล้างเลือดนั่นให้หมดพื้นเสียก่อนล่ะ”
สีหน้าของสเตฟานบอกความโกรธเคืองที่พี่ชายไปด้วยกับความคิดของตน
“ก็แล้วพี่จะทำยังไงเล่า” เขาร้องอย่างไม่พอใจ
“ถ้าถามถึงตอนนี้ละก้อ... ขอนอนก่อน ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมอาการพ่อบ้านสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็จะรีบนอนพักผ่อน สักสองสามชั่วโมงก็ยังดี”
ซึ่งเขาปฏิบัติตามที่พูดกับน้องชายไว้ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ แต่เมื่อทอดกายลงบนเตียงนอนแบบโบราณที่ประกอบด้วยเสาสลักลวดลายสวยงาม และม่านที่แขวนประดับระย้าย้อยนั้น หัวใจก็พลันคิดไปถึงโจนน์ สาวใช้ได้รายงานให้เขาทราบว่า เธอได้กลับมานอนในห้องของตนเองแล้ว ซึ่งก็อยู่ติดกับห้องเขานี่เอง และสั่งให้ปลุกในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า เพื่อที่เธอจะได้อาบน้ำแต่งตัวและลงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองสมรส
เขามองเห็นภาพโจนน์ในยามหลับ เรือนผมที่อ่อนนุ่มปานเส้นไหมสยายอยู่บนหมอน เนื้อตัวผ่องผุดเนียนละไมทาบทับอยู่บนผ้าปูที่นอน แล้วความปรารถนาอันลึกล้ำก็เกิดขึ้นในกายตน รอยซ์พยายามจะไม่ใส่ใจกับมันด้วยการหลับตาลง เขาพยายามบอกตัวเองอยู่ว่า มันจะเป็นการฉลาดกว่า ถ้าเขาจะรอให้เวลาแห่งการเลี้ยงฉลองผ่านพ้นไปเสียก่อน เขาจำเป็นจะต้องใช้วาทศิลป์เกลี้ยกล่อมเพื่อให้เธอปฏิบัติตามคำที่ได้กล่าวปฏิญาณไว้ด้วย เพื่อชีวิตการแต่งงานจะได้สมบูรณ์เช่นที่เขาตั้งความหวังไว้ และขณะนี้จิตใจของเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะเจรจากับเธอในเรื่องนั้น
เขาถอนหายใจอย่างอ่อนล้า ไม่แน่ใจว่าโจนน์จะเข้าใจถึงความฝัน และความหวังที่เขาได้สร้างไว้ให้กับตนเองในอาณาจักรแห่งความฝันนั้นด้วยหรือไม่…
