บทที่ 3
ลานอันกว้างใหญ่เบื้องหน้าปราสาทยามนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ล้วนแต่รับใช้และทำงานกันอยู่ภายในกำแพงซึ่งมีตั้งแต่คนเลี้ยงม้า ไปจนถึงช่างทำธนู ช่างไม้ และทหารยามที่รักษาการณ์อยู่รอบปราสาท และยังข้าหลวงเสมียน พนักงาน และ ฯลฯ ซึ่งยืนรายเรียงตามลำดับชั้นจากลานกว้างนั้นขึ้นไปจนถึงบันไดที่ทอดขึ้นสู่ห้องโถงกลางของตัวปราสาท
ขณะเดียวกัน รอยซ์ก็สังเกตเห็นสายตาที่บ่งบอกถึงความประสงค์ร้าย ยามที่คนเหล่านั้นมองมายังโจนน์ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงว่า ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโจนน์และตัวเขาเองมาแล้ว
รอยซ์หันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทุกคนลงจากหลังม้าได้ จนเมื่ออัศวินคนสุดท้ายหายตัวลับไปในหมู่ผู้คนแล้ว เขาจึงได้ลงจากหลังม้าและโอบอุ้มร่างเธอลง สังเกตเห็นสีหน้าที่ชาเฉยและไม่ยอมสบตากับผู้ใดทั้งสิ้นเธอไม่ได้ยกมือขึ้นเสยผมหรือลูบไล้รอยยับย่นบนเสื้อผ้าอีกต่อไป มันทำให้เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้สนใจไยดีกับสภาพของตัวเองอีกต่อไป
รอยซ์สังเกตเห็นว่ามีเสียงวิพากษ์วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในลานหน้าปราสาท จึงจับแขนพาเธอเดินไปยังบันได แต่ขณะที่โจนน์จะก้าวขึ้นสู่บันไดนั้น เขาก็จับร่างเธอให้หันกลับมาและหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
โจนน์ตวัดสายตามองหน้าเขาอย่างสิ้นหวัง เพียงแต่รอยซ์ไม่ทันสังเกตเห็นแววในดวงตาเธอเท่านั้น เพราะเขายืนตัวตรงสง่าผ่าเผย กวาดสายตาดุดันไปทั่วทุกใบหน้าแม้เธอจะอยู่ในสภาพรันทดใจ แต่กระนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันคล้ายจะมีพลังอันแปลกประหลาดที่กระจายออกจากตัวเขาในยามนี้ เป็นพลังที่สื่อความเข้าใจไปยังทุกคนที่ร่วมชุมนุมอยู่ในบริเวณนั้น
และราวกับทุกคนจะได้รับพลังนั้นอย่างถ้วนทั่ว ผู้คนที่ชุมนุมอยู่ต่างเงียบกริบ และรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ารอยซ์กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จึงตั้งใจฟังอยู่
และในตอนนั้นเองที่รอยซ์ได้เอ่ยพูดขึ้น เสียงของเขาก้องกังวานไปในความเงียบ เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลังและอำนาจประหลาด
“นี่คือภรรยาของข้าผู้มาเป็นนายหญิงคนใหม่ของพวกเจ้า” เขาประกาศก้องออกไป “ขอให้พวกเจ้าทุกคนรับรู้ไว้ว่าเมื่อเธอออกคำสั่งแก่พวกเจ้านั่นคือคำสั่งของข้า การปรนนิบัติรับใช้ที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อเธอก็คือการรับใช้ปรนนิบัติต่อข้าด้วย การจงรักภักดี การเชื่อฟังในคำสั่งของเธอเท่ากับพวกเจ้าได้แสดงความจงรักภักดีต่อข้าและเชื่อฟังในคำสั่งของข้าด้วย”
เขาหยุดเว้นระยะ กวาดสายตามองไปทั่วทุกใบหน้าอย่างดุดันคุกคามอีกครั้ง แล้วจึงได้ยื่นแขนมาให้โจนน์เกาะ
หยาดน้ำใส ๆ หล่อรื้นขึ้นในดวงตาของโจนน์ สำนึกในบุญคุณครั้งนี้ของเขาเป็นล้นพ้น
ทางเบื้องหลังนั้น พวกทหารเริ่มปรบมือเป็นจังหวะช้า ๆ และแล้ว พวกช่างเหล็กก็ปรบตาม และขณะที่รอยซ์พาโจนน์เดินขึ้นบันไดสู่ประตูห้องโถงกลาง ที่สเตฟานกับบาทหลวงเกรกอรี่รออยู่ ทั่วทั้งลานกว้างสนั่นหวั่นไหวด้วยเสียงปรบมือที่พร้อมเพรียง มันเป็นการแสดงออกด้วยความเต็มใจและสนองตอบต่อคำสั่งของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มาเป็นประมุขคนใหม่ของพวกตน
สเตฟานเป็นบุคคลแรกที่ก้าวออกมาต้อนรับ เขาตบไหล่พี่ชายอย่างรักใคร่ พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
“น่าชื่นใจเหลือเกินนะพี่ชายที่รัก ที่ได้รับการต้อนจากผู้คนมากมายถึงขนาดนั้น” เขาพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะเสริมอย่างมีความหมายว่า “ว่าแต่พี่จะให้เวลากับเราสักครู่ได้ไหมล่ะ เรามีอะไรบางอย่างที่จะต้องปรึกษาหารือกันและออกจะเป็นเรื่องด่วนเสียด้วยสิ”
รอยซ์หันมาขอตัวกับโจนน์ และเธอก็มองตามหลังสองพี่น้องที่เดินเคียงข้างกันตรงไปยังกองไฟ ซึ่งตรงนั้นมีเซอร์กอดเฟรย์, เซอร์ออสเทซและเซอร์ไลออนเนลยืนรออยู่ ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ร่วมเดินทางมายังแคลม์เบลล์พร้อมกับสเตฟาน
ความคิดของเธอยังหมกมุ่นอยู่กับการกล่าวคำปราศรัยของรอยซ์เมื่อครู่ เธอถอนสายตาจากร่างของเขากวาดสายตามองสภาพแวดล้อมในยามนี้ด้วย สายตาที่บ่งบอกถึงความตื่นใจ ห้องโถงกลางที่เธอกำลังยืนอยู่ขณะนี้กว้างขวางมหึมา เพดานสูงลิบลิ่ว พื้นห้องที่ปูด้วยแผ่นศิลาได้รับได้รับการกวาดล้างไว้สะอาดเอี่ยมปราศจากฝุ่นละออง
เหนือขึ้นไปคือห้องแกลเลอรี่ ซึ่งโอบล้อมทั้งสามด้านของห้องโถงกลางแห่งนี้ไว้ ส่วนผนังด้านที่สี่นั้นเป็นที่ตั้งของเตาไฟขนาดใหญ่ที่คนสามารถขึ้นไปนั่งได้ ที่ประดับอยู่บนผนังด้านนั้นคือผ้าปักพื้นมหึมา เป็นภาพของการต่อสู้ในสนามรบและการออกป่าล่าสัตว์ และยังมีผ้าปักด้วยเรื่องราวอันเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของแบร์บริต ทอดเรียงกันอยู่บนพื้นห้องเบื้องหน้าเตาไฟนั้นอีกด้วย
ฟากตรงข้ามกับที่เธอกำลังยืนอยู่ขณะนี้ คือยกพี้นที่มีโต๊ะยาวตั้งเด่น บนโต๊ะประกอบด้วยเครื่องถ้วยชามและถ้วยทองเงินที่จะใช้ในการดื่มกิน และสิ่งที่สร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับโจนน์ก็คือ หน้าต่างทรงกลมที่ด้านบนประดับด้วยกระจกหลากสี สวยงามอย่างเหลือพรรณนา
ขณะที่โจนน์กำลังเพลิดเพลินกับการชมความงามของหน้าต่างอยู่นั้น ทันใดเธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องทักทายด้วยความปีติยินดีอย่างที่สุด
“โจนน์... ” เสียงป้าเอลิเนอร์ตะโกนเรียกลงมาจากห้องแกลเลอรี่ “โจนน์... หลานรัก... หลานผู้น่าสงสารของป้า” และแล้ว ร่างของนางก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ เนื่องจากออกวิ่งมาตามช่องทางเดินของห้องแกลเลอรี่แห่งนั้น และเสียงทักทายด้วยความดีอกดีใจนั้นก็ดังยิ่งขึ้นเมื่อนางวิ่งลงบันไดที่ทอดตัวลงมายังห้องโถงกลาง “โจนน์...ป้าน่ะดีใจจะแย่อยู่แล้วรู้มั้ยที่ได้เห็นหน้าหนูอีกครั้ง”
โจนน์กวาดสายตาไปทั่วเพื่อมองหาป้าเอลิเนอร์ และเริ่มออกเดินตามเสียงกรีดกราดที่ได้ยินอยู่นั้นไป
“ป้าน่ะเป็นห่วงหนูจะแย่อยู่แล้วรู้มั้ย แทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาเลยเชียวละ แต่ที่จริงจะทำอะไรพรรค์ยังงั้นก็ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะต้องนั่งตัวสั่นตัวคลอนอยู่แต่บนหลังม้า กว่าจะเดินทางข้ามพรมแดนมาถึงที่นี่ได้โชคร้ายจริง ๆ ที่ต้องมานั่งอยู่บนหลังเจ้าม้าตัวที่แย่ที่สุดตัวนั้น”
โจนน์ยังเดินตามเสียงไปเรื่อย ๆ สอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นเจ้าของเสียงอยู่
“แล้วไอ้อากาศมันก็เลวร้ายเสียเหลือเกินแล้ว” ป้าเอลิเนอร์ยังคงพูดต่อแจ้ว ๆ “พอป้ากำลังคิดอยู่ว่า ไอ้ฝนที่มันตกลงมาเป็นบ้าเป็นหลังนั่นน่ะ คงจะทำให้ป้าจมน้ำตายแน่ ๆ พระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาแล้วก็ปิ้งป้าเสียเกรียมไปหมดทั้งเนื้อตัวเลย ป้าน่ะปวดไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว ตั้งแต่หัวจนถึงปลายเท้าทีเดียวนะ คิดว่าจะเป็นหวัดตายเสียแล้วสิ ดีนะที่เซอร์สเตฟานสั่งให้เราหยุดพักกันครู่หนึ่ง ป้าถึงได้เอาสมุนไพรออกมากินได้”
ป้าเอลิเนอร์เดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว และแม้จะเดินตรงเข้ามาหาเธอในระยะที่ห่างกันเกือบยี่สิบห้าหลานางก็ยังคงพูดต่ออย่างยืดยาวอยู่นั่นเอง
“นี่ รู้ไหมหลาน เป็นครั้งแรกเลยนะที่ป้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้เขากินยาสูตรลับเฉพาะขนานหนึ่งของป้าได้ตอนแรกเขาก็ทำหน้าตาขยะแขยงไม่ยอมกินหรอก” นางเหลือบตามองไปทางสเตฟาน เวสท์มอร์แลนด์ ที่กำลังจะยกถ้วยเหล้าขึ้นจรดปาก แต่ก็ต้องชะงักอยู่เพราะนางต้องการให้เขายืนยันในคำพูดของนางเสียก่อน “จริงไหมล่ะพ่อหนุ่ม ตอนแรกน่ะเพียงแค่ดม ๆ เท่านั้นละ”
“ขอรับคุณนาย” สเตฟานตอบอย่างมีมรรยาท พร้อมกับโค้งคำนับ ไม่ยอมสบตารอยซ์ที่กำลังมองมาอย่างล้อเลียน เอริคเดินปึงปังเข้ามาในห้องและเดินเลยไปยังกองไฟป้าเอลิเนอร์มองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ ขณะเดียวกันปากก็ยังพูดต่ออยู่ว่า
“แต่ถ้าจะพูดรวม ๆ กันแล้วก็ไม่ใช่การเดินทางที่แย่เสียทีเดียวหรอกนะ อย่างน้อยป้าก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ขี่ม้าร่วมทางมากับนายคนที่ชื่อเอริคนั่น เหมือนตอนที่เราถูกบังคับให้ต้องออกมาจากแคชเชอร์”
