บทที่ 2
ขบวนม้าจากปราสาทได้วิ่งลงมาจากเนินเขาและยืนม้าอยู่เบื้องหน้า ทางเบื้องหลังฝีเท้าม้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ก่อนหน้านี้ได้สงบลงและเป็นเสียงกุบกับที่พร้อมเพรียงกันเมื่อโจนน์เหลียวหลังไปมอง ก็เห็นว่าขบวนม้าได้เคลื่อนตัวเข้ามาทางด้านหลังอย่างมีระเบียบ
“การวางแผนของท่านทุกครั้งจะต้องมีกำหนดเวลาไว้ล่วงหน้าเสมอหรือเจ้าคะ” แววในดวงตาของเธอบอกความชื่นชม
“ใช่”
“ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“เพราะว่าการกำหนดเวลาอย่างแน่นอนคือ เคล็ดลับในการออกสู้รบบนหลังม้า”
“แต่เวลานี้ท่านก็ไม่ต้องออกไม่ต้องออกสนามรบอีกแล้วนี่เจ้าคะเพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดถึงเรื่องเวลาอีกต่อไป”
คำพูดของเธอทำให้เขายิ้มออกมาเหมือนเด็กหนุ่ม
“มันก็จริงอยู่หรอกนะ แต่มันกลายเป็นความเคยชินเป็นนิสัยที่แก้ไม่ได้เสียแล้ว พวกทหารที่อยู่ข้างหลังนะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฉันมาเป็นเวลานานนับปี พวกเขารู้ว่าฉันคิดอะไรและฉันต้องการจะทำอะไรโดยที่ฉันแทบไม่ต้องพูดเลย”
ไม่มีเวลาสำหรับการสนทนาต่อ เนื่องจากขณะนี้เหล่าทหารรักษาปราสาทเดินทางมาเกือบจะถึงตัวแล้วและบังคับม้าให้หันหลังกระจายตัวออกเป็นกองหน้า เอริคเลื่อนม้าไปอยู่หน้ารอยซ์ และทางด้านหลัง ขบวนม้าทั้งห้าสิบก็เข้าแถวเรียงรายกันอย่างสวยงาม
โจนน์รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นเมื่อได้เห็นขบวนม้าอันงามสง่าเกรียงไกร พรั่งพร้อมด้วยธงทิวปลิวไสว และแม้เธอจะได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะไม่แคร์กับความรู้สึกนึกคิดของชาวอังกฤษทั้งหลายที่มีต่อตัวเธอเมื่อพวกเขาเห็นเธอเข้า แต่กระนั้นมันก็มีความหวังบางอย่างเกิดขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ว่าเธอจะมีความรู้สึกต่อบุรุษผู้เป็นสามีอย่างไร แต่คนเหล่านั้นก็จะต้องเป็นคนของเธอด้วยเช่นกัน เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขาตลอดไป ความจริงอันน่ากลัวที่เกิดขึ้นในใจยามนี้ก็คือเธอต้องการให้พวกเขาชอบเธอบ้าง
และเมื่อความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้น มันก็ติดตามมาด้วยความขัดเขินในสภาพของตนเอง โจนน์เฝ้าภาวนาอยู่ในใจขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้พวกเขารู้สึกชอบเธอบ้างก็แล้วกันมันทำให้เธอต้องถามตัวเองอย่างร้อนรนว่า เธอควรจะส่งยิ้มให้พวกชาวบ้านหรือไม่...
เห็นจะไม่ได้...เธอครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว มันคงไม่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ในยามนี้ แต่เธอจะทำเฉยเมยก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าทุกคนจะเข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เย่อหยิ่งจองหอง
ประการสำคัญ เธอเป็นชาวสก๊อตคนหนึ่ง และชาวสก็อตนั้นก็เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าเป็นพวกที่มีสายเลือดทระนงอยู่ในตัว และแม้เธอจะภาคภูมิใจในความเป็นชาวสก๊อตของตนเอง แต่เธอก็ยังไม่อยากให้ชาวอังกฤษเหล่านี้คิดว่าเธอเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้
ขณะนี้ขบวนอยู่ห่างจากพวกชาวบ้านเพียงไม่กี่ฟุต โจนน์ตัดสินใจว่าเธอควรจะทำเพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ เพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นว่าเธอชาเย็นหรือเย่อหยิ่งเกินไป เธอลูบไล้เสื้อผ้าที่ยับย่นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็ยืดตัวตรง
สิ่งหนึ่งที่โจนน์ออกจะมองเห็นความแตกต่างในสถานการณ์อยู่ก็คือ สำหรับชาวสก๊อตนั้น เมื่อวีรบุรุษของคนเดินทางกลับมาถึงบ้าน เขาจะได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มและเสียงไชโยโห่ร้อง แต่ขณะนี้พวกชาวบ้านที่ยืนแถวรายเรียงอยู่สองฟากถนนกลับเงียบกริบ จับตามองมาที่เธอเป็นตาเดียว ซึ่งสร้างความอึดอัดกระวนกระวายใจให้เกิดขึ้นเธอสังเกตเห็นว่าบางคนมองเธอด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความดูหมิ่นและบ้างก็อาฆาตมาดร้าย ขณะที่อีกหลายคนมีสีหน้าตื่นกลัวเมื่อได้เห็นเจ้านายคนใหม่ของพวกตน ซึ่งทำให้โจนน์เกิดความไม่เข้าใจขึ้นมาอีกว่าทำไมเขาจึงต้องกลัววีรบุรุษของพวกตนด้วย หรือว่าพวกเขาจะกลัวเธอ...
และแล้ว... เธอก็ได้คำตอบในนาทีต่อมา เมื่อมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น
“นั่งสารเลวแคชเชอร์... ” มันเป็นการแสดงออกเพื่อให้เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ของตนได้รับรู้ว่า เขามีส่วนร่วมในความคิดเห็นของท่านดยุคเกี่ยวกับการแต่งงานครั้งนี้ด้วย และทันใด คำพูดนั้นก็ดังกระหึ่มขึ้น “นังสารเลวแคชเชอร์ ... นังสารเลวแคชเชอร์ ... ”
ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด อย่างที่โจนน์ไม่มีเวลาตั้งตัว ไม่มีเวลาที่จะรู้สึกกับอะไรทั้งสิ้นเพราะขณะเดียวกันนั้น เด็กชายวัยเก้าขวบคนหนึ่งได้วิ่งถลันเข้ามาทางด้านข้าง ขว้างก้อนดินเข้าใส่ โดนแก้มขวาของโจนน์เต็มแรง
เสียงร้องด้วยความตกใจของโจนน์ที่ขาดหายไปพร้อม ๆ กับที่รอยซ์ทิ้งร่างลงปกป้องเธอไว้จากอันตรายที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เอริคซึ่งเหลือบตามามองและทันเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ส่งเสียงตวาดออกมาอย่างน่ากลัวพร้อมกับทิ้งร่างลงจากหลังม้า กระชากขวานเล่มใหญ่ที่เหน็บไว้ตรงเข็มขัดออกมา ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของเขาที่คิดว่ารอยซ์เป็นเป้าหมายของเด็กชายคนนั้น เขาคว้าผมเด็กชาย และขณะที่ขาของเด็กชายกวัดแกว่งอยู่ในอากาศกรีดร้องด้วยความตระหนกสุดชีวิต บุรุษร่างยักษ์ก็เงื้อขวานในมือขึ้น...
และตอนนั้นเอง ที่ปฏิกิริยาได้เกิดขึ้นกับโจนน์โดยไม่ทันยั้งคิด
“อย่า... อย่าทำ... ” เธอกรีดร้องราวจะบ้าคลั่ง “อย่าทำ... ”
ขวานเล่มนั้นเงื้อค้างอยู่กลางอากาศ บุรุษร่างยักษ์เหลียวมามองรอยซ์รอฟังคำสั่งจากเขาอยู่ ซึ่งก็เช่นเดียวกับโจนน์ที่จับตาอ่านความรู้สึกในสีหน้าของเขาอยู่ สีหน้าที่เกรี้ยวกราดของเขายามนี้บอกให้เธอรู้ว่าเขากำลังจะออกคำสั่งให้เอริคทำลงไป
“อย่านะ... ” เธอเขย่าแขนรอยซ์อย่างรุนแรง เขาตวัดสายตามองหน้าเธอ แววในดวงตายามนี้เป็นแววแห่งฆาตกรอย่างเห็นได้ชัดห็น “ท่านจะฆ่าเด็กคนนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนที่เอริคให้การสนับสนุนท่านทุกอย่างมาโดยตลอดยังงั้นหรือ... รวมทั้งความรู้สึกที่ท่านมีต่อตัวฉันด้วยยังงั้นใช่ไหม... นั่นน่ะเด็กนะ... มันก็แค่เด็กโง่ ๆ คนหนึ่งที่ทำอะไรโง่ ๆ ลงไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น....”
รอยซ์หันไปมองเอริคด้วยสายตาแข็งกร้าว เมื่อออกคำสั่งห้วน ๆ ว่า
“พาตัวมันไปพบผมพรุ่งนี้” เขากระแทกโกลนเต็มเหนี่ยวและม้าตัวนั้นก็โผนตะบึงไปข้างหน้า โดยมีเหล่าอัศวินติดตามมาอย่างกระชั้นชิด
ไม่มีเสียงร้องตะโกนด่าทอเธออย่างหยาบคายเช่นเมื่อครู่นี้อีก พวกชาวบ้านตกอยู่ในอาการเงียบงัน แต่แม้กระนั้นโจนน์ก็ยังหายใจไม่สะดวกจนเมื่อพ้นจากแถวที่รายเรียงนั้นออกมาแล้ว และเมื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอก็ตระหนักว่า ความโกรธที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อครู่นี้เธอมีส่วนอยู่ด้วย เขาโกรธที่เธอทำให้เขาต้องลดความเด็ดขาดในคำสั่งลง เมื่อเขายังเพ่งสายตามองตรงไปแต่ข้างหน้าเธอก็เอ่ยขึ้นอย่างกริ่งเกรงใจว่า
“มายลอร์ดเจ้าคะ... ฉันขอขอบคุณที่ท่าน...ท่านไว้ชีวิตเด็กเมื่อกี้นี้...”
แววในดวงตาคู่สีเทาเปล่งประกายแค้นเคืองเมื่อตวัดลงมองเธอ
“นับแต่นี้เป็นต้นไป เธอจงอย่าได้บังอาจฉีกหน้าฉันต่อหน้าผู้คนอีกเป็นอันขาด และจงอย่าได้ใช้น้ำเสียงแบบนั้นเวลาที่พูดกับฉันอีก เพราะฉันจะไม่รับรองผลที่จะเกิดตาม จำไว้ให้ดี”
สีหน้าของเธอที่ปรากฏต่อสายตาของเขายามนั้น มันเปลี่ยนจากความรู้สึกขอบคุณเป็นตกตะลึงแล้วก็เปลี่ยนเป็นความแค้นใจ ก่อนที่เธอจะหันหลังให้เขาอย่างชาเย็น
รอยซ์จับตามองศีรษะด้านหลังของเธออยู่ เขาโกรธเพราะเธอเชื่ออย่างจริงจังว่า เขาจะออกคำสั่งให้เด็กคนนั้นได้รับโทษถึงตาย... เขาโกรธที่เพราะการกระทำของเธอทำให้พวกทหารและชาวบ้านต่างเชื่อว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่รอยซ์โกรธตัวเองมากที่สุด ที่เขาไม่ได้เตรียมตัวรับเหตุการณ์ที่จะเกิดจากน้ำมือของชาวบ้านในครั้งนี้
ทุกครั้งที่เขาวางแผนที่จะบุกเข้ายึดหรือออกสู่สนามรบ เขาจะต้องใช้ความคิดพิจารณาถึงทุกสิ่งที่อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้ในวันนี้...วันที่เขาเดินทางมาสู่แคลม์เบลล์ เขากลับเชื่อมั่นอย่างที่สุดว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดี
รอยซ์ไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ในขณะที่เขาสามารถบังคับให้คนปกครอง ไม่ว่าจะเป็นอัศวิน ขุนนางทหารองครักษ์หรือพลทหารทั้งหลายได้ด้วยการปรายตามองเพียงครั้งเดียว แต่ทำไมเขาจึงไม่อาจบังคับหญิงสาวสก๊อตตัวเล็กเพียงคนเดียวให้อยู่ในโอวาทได้ เธอเป็นผู้หญิงที่ยั่วยุให้เขาบันดาลโทสะได้เสมอ เป็นคนหัวรั้นและแทบจะไม่มีคุณสมบัติของภรรยาที่ดีเลย
ขณะที่ขี่ม้าตรงไปยังตัวปราสาทนั้น เขาก้มลงมองช่วงไหล่ที่ตั้งตรงแข็งขืน แล้วก็เข้าใจถึงความรู้สึกของเธอดีว่า ความหยามหยันที่เธอได้รับเมื่อครู่นี้นั้นมันส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจเธอมากเพียงไร เขาออกจะเห็นใจและอดที่จะชื่นชมในความกล้าหาญของเธอไม่ได้ แม้เธอจะยังมีธรรมชาติของความเป็นเด็กซึ่งตื่นกลัวกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่กระนั้นเธอก็ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน และยังสามารถเก็บงำความรู้สึกของตนเองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
