บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

หลังจากนั้นขบวนม้าก็ออกเดินข้ามสะพานไป หมวกเฮลเม็ทที่ทหารทุกคนสวมใส่เป็นประกายแวววาวอยู่ในท่ามกลางแสงอาทิตย์ เมื่อมองไปตามแนวถนน โจนน์ก็ได้เห็นพวกชาวบ้านที่วิ่งกรูกันออกมาจากไร่นา กระท่อมทับและวิ่งออกมาจากหมู่บ้าน หลังจากนั้นก็ยืนรายเรียงกันอยู่บนสองฟากฝั่งของแนวถนน โจนน์รู้ว่า คนเหล่านั้นต่างพร้อมใจกันออกมาต้อนรับบุคคลผู้เป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้

“เป็นไง... เธอเห็นภาพยังงี้แล้วรู้สึกยังไงมั่งล่ะ”

แววตาของโจนน์ในยามนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและปราโมทย์ยิ่งนัก

“สวยเหลือเกินเจ้าค่ะ ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นอะไรที่สวยงามอย่างนี้มาก่อน”

“พอจะเอาไปเปรียบกับอาณาจักรในความฝันของเธอได้มั่งไหมล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียน และโจนน์ก็สัมผัสความรู้สึกที่ว่าเขาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดียิ่งนักที่เห็นเธอชื่นชมในความงามของตัวปราสาทและบริเวณอันเป็นสถานที่ตั้งของมัน

รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ในสีหน้าของเขายามนี้สร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในใจเธอยิ่งนัก โจนน์ต้องรีบเบือนหน้าหนีไปเสียทางหนึ่ง และทันใดนั้นเองเธอก็ได้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าที่กระแทกกระทั้นกับพื้นดินสนั่นหวั่นไหว และเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นทหารของรอยซ์ที่ติดตามมาในระยะกระชั้นชิดเพื่อให้ทันเขา

เป็นครั้งแรก นับแต่ออกจากบ้านมาที่โจนน์เกิดความกังวลในภาพพจน์ของตนเอง เธอยังคงอยู่ในชุดแต่งงานซึ่งสวมใส่อยู่คืนที่รอยซ์พาตัวเธอมาจากปราสาทแคชเชอร์ซึ่งบัดนี้มันขาดวิ่นเนื่องจากครูดกับผนังกำแพงลงมาตลอดทาง และยังสกปรกเนื่องจากการเดินทางที่ต้องอาศัยความเร็วจากฝีเท้าม้า ยิ่งกว่านั้น สายฝนที่กระหน่ำหนักตลอดระยะเวลาของการเดินทางก็ทำให้เสื้อผ้าและเสื้อคลุมหมดรูปรอยและสีสัน

และบัดนี้ เมื่อเธอตระหนักว่าจะต้องหยุดพักกันที่ปราสาทแห่งนี้ ซึ่งน่าจะเป็นของขุนนางผู้สูงด้วยบรรดาศักดิ์และมีความสำคัญในราชสำนักด้วยกันแล้ว เธอก็เกิดความกังวลใจไม่อยากจะให้ใครมาดูถูกเมื่อเห็นสภาพของเธอเข้าได้

เธอหันไปมองหน้ารอยซ์และเอ่ยถามออกไปอย่างมาดหมายในคำตอบว่า

“แล้วใครล่ะเจ้าคะที่เป็นเจ้าของปราสาทนี้”

เขากวาดสายตามองทัศนียภาพโดยรอบช้า ๆ จนในที่สุดก็มาหยุดลงตรงใบหน้าที่แหงนหงายขึ้นรอฟังคำตอบอยู่

“ฉันเอง”

“ท่านน่ะรึเจ้าคะ” เธอร้องอย่างตกใจและแปลกใจระคนกัน “ก็ไหนท่านบอกว่าการเดินทางไปปราสาทแคลม์เบลล์จะต้องใช้เวลาถึงสามวันไงล่ะเจ้าคะ แต่นี่มันเพียงแค่สองวันเท่านั้น”

“ก็เพราะว่า เส้นทางมันดีกว่าที่ฉันคาดคิดไว้ในตอนแรกมากไงล่ะ”

คำตอบนั้นทำให้โจนน์กังวลกับสภาพของตนเองยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“แหม... ท่านน่าจะบอกให้ฉันรู้ตัวก่อนหน้านี้นะเจ้าคะ” โจนน์พยายามใช้ฝ่ามือลูบรอยยับที่ปรากฏอยู่บนเสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำตาล ขณะมองไปยังพวกชาวบ้านที่เข้าแถวรายเรียงรอต้อนรับอยู่ด้วยความร้อนใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขบวนม้าที่วิ่งนำไปก่อนหน้านี้คือขบวนกองเกียรติยศที่มาต้อนรับเจ้านายของตนกลับคืนสู่บ้าน “ฉันนึกไม่ถึงเลยนะเจ้าคะว่าที่นี่จะเป็นอาณาจักรของท่าน” น้ำเสียงสั่นพร่าด้วยรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “น่าแปลกใจจริงที่ท่านมองดูมันราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อนยังงั้นละ”

“ก็ไม่เคยเห็นจริงๆ นี่ หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นตอนที่มันได้รับการเปลี่ยนแปลงจนสวยงามอย่างที่เห็นอยู่เวลานี้ ก่อนหน้านั้นฉันได้สั่งให้สถาปนิกมาที่นี่ และเราก็ช่วยกันแสดงความคิดเห็นว่าจะให้แปลนบ้านมันออกมายังไงจึงจะตรงกับความต้องการของฉัน ที่จริงทุกครั้งที่เสร็จศึกฉันก็ตั้งใจจะกลับมาดูแลมันบ้าง แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมอบหมายภารกิจอันรีบด่วนให้ฉันต้องทำอยู่ร่ำไปไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง เวลานี้ฉันก็เก็บเงินไว้ได้มากพอที่ลูกชายทุกคนของฉันจะไม่ต้องทำมาหากินด้วยการเอากำลังกายและเลือดเนื้อไปแลกทรัพย์สมบัติอย่างที่ฉันเคยทำมาแล้วเท่านั้น”

“ที่ท่านพูดนี่ หมายถึงว่าท่านได้สิ่งนี้เพราะการออกสงครามยังงั้นหรือเจ้าคะ” โจนน์ถามอย่างแปลกใจ

เขาตวัดสายตามองหน้าเธอ มันมีแววยิ้มกริ่มซ่อนเร้นลับอยู่ในดวงตา

“การโจมตีแคชเชอร์ เป็นการออกสนามรบครั้งสุดท้ายของฉันแล้ว ฉันปิดประตูปราสาทแห่งสุดท้ายตอนที่ฉันเอาตัวเธอมาจากที่นั่น”

โจนน์รู้สึกแปลกใจกับการที่เขากล้าเปิดเผยความจริงให้เธอรู้ ไม่อยากคิดว่าการที่เขาตัดสินใจเช่นนี้เพราะเธอเพราะมันอาจจะเป็นการตั้งความหวังสูงเกินไป และก่อนที่เธอจะทันยับยั้งตัวเองไว้ได้ทันก็พลั้งปากถามเขาออกไปว่า

“ท่านตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ”

“เมื่อสี่เดือนที่แล้ว” น้ำเสียงของเขากร้าวขึ้นจากการตัดสินใจเช่นนั้น “ถ้าฉันจะลุกขึ้นจับอาวุธอีกครั้ง นั่นหมายถึงว่า จะต้องมีใครสักคนเข้ามาแย่งชิงในสิ่งที่ฉันเป็นเจ้าของอยู่” เขาหยุดคำพูดลงเพียงแค่นั้น ทอดสายตามองตรงไปข้างหน้า และความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็ค่อยคลายลง เมื่อเขาถอนสายตาจากภาพที่มองอยู่และก้มลงมองหน้าเธอนั้น มันมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ฉาบอยู่ “เธอรู้ไหมว่า สำหรับชีวิตใหม่นี่สิ่งที่ฉันต้องการอย่างที่สุดนอกจากเตียงนอนที่อ่อนนุ่มนั้นคืออะไร”

“ไม่รู้เจ้าค่ะ” เธอพิจารณาเสี้ยวหน้าด้านของเขาอยู่ มีความรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเธอแทบไม่รู้จักเขาเลย “ท่านคิดถึงอะไรมากที่สุดล่ะเจ้าคะ”

“อาหาร” เขาตอบหน้าตาเฉย “อาหารดี ๆ... ไม่ใช่...ไม่ใช่เพียงแค่ดีเท่านั้นนะ จะต้องเป็นอาหารชั้นเลิศทีเดียวละ อาหารแบบฝรั่งเศส อาหารที่รสชาติเผ็ดใส่เครื่องเทศแยะ ๆ แบบอาหารสเปน แล้วก็อาหารชั้นเยี่ยมของอังกฤษ จะต้องปรุงอย่างประณีตใส่มาในจานสวย ๆ... ไม่ใช่เนื้อย่างที่สุก ๆ ดิบ ๆ หรือไหม้ ๆ อะไรอย่างที่กินมาตลอดชีวิต…” เขาหัวเราะลึกอยู่ในลำคอ

“นอกจากนั้นฉันยังชอบของหวานด้วยนะ ของหวานทุกอย่างไม่ว่าจะพวกขนมอบ ทาร์ต ของหวานทุกอย่างนั่นแหละ” เขามองหน้าเธอยิ้ม ๆ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ในคืนก่อนหน้าจะออกสนามรบ ทหารส่วนมากมักจะคิดถึงบ้านคิดถึงครอบครัว เธอรู้ไหมฉันนอนลืมตาโพลงคิดถึงอะไร”

“ไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ” โจนน์พยายามซ่อนยิ้มไว้

“ก็อาหารไงล่ะ”

คำตอบของเขาทำให้โจนน์กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินคำสารภาพของบุรุษผู้ซึ่ง ชาวสก๊อตทั้งหลายขนานนามเขาว่า... บุตรแห่งซาตาน...

เขากวาดสายดามองดูทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างดื่มด่ำในภาพที่ได้เห็น

“ครั้งหลังสุดที่ฉันมาหยุดม้าอยู่ตรงนี้” เขาเอ่ยขึ้นเป็นเชิงอธิบาย “มันก็แปดปีมาแล้ว ตอนนั้นฉันกับสถาปนิกได้ทำงานร่วมกัน ปราสาทแห่งนี้ถูกยึดครองอยู่เป็นเวลาหกเดือน กำแพงทุกด้านเสียหายหมด แม้บางส่วนของตัวปราสาทก็ยังถูกทำลายลง เนินเขาโดยรอบบริเวณนั่นถูกไฟเผาผลาญไม่เหลืออะไรเลย”

“แล้วใครล่ะเจ้าคะที่เป็นผู้เข้ายึดปราสาทไว้”

“ฉันเอง”

คำพูดเยาะหยันเกือบจะพลั้งออกจากปาก แต่โจนน์ก็ยั้งไว้ได้ทันเมื่อคิดถึงว่า มันจะทำลายบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์นี้เสียเปล่า ๆ เธอจึงเอ่ยออกไปว่า

“รู้สึกว่า ในเรื่องอย่างนี้ชาวสก๊อตกับอังกฤษดูจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเลยนะเจ้าคะ”

“งั้นหรือ ทำไมถึงเป็นยังงั้นล่ะ” เขาถามยิ้ม ๆ จรดจ้องมองหน้าที่แหงนขึ้นมองเขาอยู่

“ฉันว่า... บางทีท่านอาจจะเห็นด้วยนะเจ้าคะ... คือชาวอังกฤษชอบที่จะทำลายแม้กระทั่งปราสาทของตัวเองซึ่งก็ทำกันจนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณีมานานนับศตวรรษแล้ว ทั้งที่ท่านจะสามารถจะต่อสู้กับชาวสก๊อตหรือศัตรูไหน ๆ ก็ได้ แล้วก็ทำลายปราสาทของพวกเขาเสีย”

“มันก็เป็นความคิดที่ดีอยู่หรอกนะ และอันที่จริงเราก็พยายามทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ” เมื่อเธอหัวเราะอย่างขบขันกับคำตอบของเขา รอยซ์ก็พูดต่อว่า จะยังไงก็ตามทีเถอะ ฉันเองก็พอจะมีความรู้เกี่ยวกับสก๊อตแลนด์อยู่บ้างที่ว่า พวกชาวเผ่าต่าง ๆ มักชอบสู้รบระหว่างกันและกันอยู่ตลอดเวลา และมันก็เป็นยังงั้นมานานนับศตวรรษเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นก็ยังพยายามที่จะบุกข้ามพรมแดนของเราเข้ามาปล้นสะดม เผาผลาญทำลายทรัพย์สิน และคอยก่อกวนเราอยู่ตลอดเวลา”

โจนน์ตัดสินใจว่าควรจะเลิกพูดเรื่องนี้เสียดีกว่า เธอจึงเหลียวไปมองปราสาทมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ในท่ามกลางแสงอาทิตย์อีกครั้ง เอ่ยถามอย่างสนใจว่า

“เพราะเหตุนั้นหรือเจ้าคะที่ทำให้ท่านเข้ายึดปราสาทแห่งนี้ เพียงเพราะท่านต้องการมันมาเป็นสมบัติของท่านเท่านั้นหรือเจ้าคะ”

“การที่ฉันบุกเข้าโจมตีปราสาทแห่งนี้ก็เพราะบารอนผู้เป็นเจ้าของปราสาทได้สมคบกับขุนนางคนอื่น ๆ อีกหลายคนเพื่อปลงพระชนม์พระเจ้าเฮนรี่...ที่จริงแผนการนั่นมันก็เกือบจะสำเร็จอยู่หรอกนะ ก่อนหน้านั้นมีปราสาทแห่งนั้นมีชื่อว่าวิลเซลี่ แต่ต่อมาเมื่อพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมาให้ฉันก็เลยเปลี่ยนชื่อเสียใหม่”

“ทำไมล่ะเจ้าคะ”

“เพราะว่าพระเจ้าเฮนรี่ทรงเป็นผู้แต่งตั้งวิลเซลี่ขึ้นเป็นบารอนแล้วก็ยังพระราชทานปราสาทแห่งนี้ให้เขาด้วยวิลเซลี่นั้นเป็นขุนนางในจำนวนไม่กี่คนที่ทรงไว้วางพระทัยมาก ฉันตั้งชื่อปราสาทว่าแคลม์เบลล์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ตะกูลทางท่านแม่และท่านพ่อ” รอยซ์เสริมในตอนท้ายก่อนจะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกจากที่นั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel