บทที่ 8
โจนน์ แคชเชอร์ ยินดีที่จะให้น้ำตาตกในโดยเอาศักดิ์ศรีกับความกล้าหาญสกัดกั้นมันไว้ ไม่ยอมให้ใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกอันแท้จริงของเธอได้ ถ้าจะเปรียบกับเหตุการณ์ที่เธอเคยได้รับมาในชีวิต การลงทัณฑ์ที่เขาได้กระทำต่อเธอก็แทบไม่มีความหมายอะไรเลย
รอยซ์ไม่รู้ว่าเขาจะปลุกปลอบใจเธอได้อย่างไร จึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอน รินไวน์ใส่ลงในถ้วยทองแล้วก็เดินออกมาส่งให้
“ดื่มนี่เสียหน่อยสิ”
และโจนน์ก็ดื่มไวน์ในถ้วยนั้นอย่างว่าง่าย รอยซ์ออกจะโล่งใจอยู่บ้างที่เธอสามารถควบคุมสติอารมณ์ของตนเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาพร้อมกับบอกว่า
“ดูเหมือนจะมีแต่ท่านเท่านั้นนะเจ้าคะ มายลอร์ด... ที่กรุณาให้กำลังใจฉันอยู่ตลอดเวลา”
“มันก็ด้วยเหตุผลส่วนตัวเท่านั้น” เขาพูดปนหัวเราะลึกในลำคอและทำให้โจนน์ยิ้มออกมาได้
เธอวางถ้วยที่ถืออยู่ในมือลงบนขอบเชิงเทิน แล้วก็ทอดสายตาเหม่อมองไปยังเทือกเขาในแสงจันทร์นั่นอีกครั้ง รอยซ์พิจารณาความรู้สึกของเธออยู่เงียบ ๆ รู้สึกอยู่ว่าควรจะพูดอะไรบางอย่างออกมา อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นมากกว่านี้
“รู้สึกว่าเธอจะมีสำนึกแห่งความรับผิดชอบต่อผู้คนในเผ่าอยู่มากทีเดียวนะ โจนน์”
“มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอกเจ้าค่ะ” เธอตอบเรียบๆ “ฉันรักที่จะทำทุกสิ่งเพื่อแผ่นดินด้วยตัวเองอีกด้วย มันมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่มันจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้...มันเป็นอะไรหลายสิ่งที่ผู้ชายมองไม่เห็น แต่ผู้หญิงจะสังเกตเห็นได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นฉันก็ยังได้รับความรู้จากแม่ชีแอบเบสส์ด้วย... มันเป็นวิธีการใหม่ ๆ ที่เราน่าจะทำได้...อย่างเช่นวิธีการของท่านที่ดีกว่าของเรามาก ยกตัวอย่างเช่นการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร...และยังอะไรอีกหลายร้อยอย่างที่ถ้าเปลี่ยนแปลงวิธีการเสีย มันจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มากทีเดียว
“แต่นั่นแหละนะ ... ” รอยซ์พูดอย่างใช้ความคิด “คนเราก็ใช่ว่าจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อพิสูจน์ตัวเอหรอก”
“แต่ฉันทำได้เจ้าค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันยินดีจะทำทุกอย่าง ขอแต่เพียงให้พวกเขายอมรับว่าฉันเป็นคนหนึ่งในพวกเขาเท่านั้น...คนเหล่านั้นเป็นคนที่อยู่ในปกครองของฉันนะเจ้าคะ สายเลือดที่รินหลั่งอยู่ในร่างกายของพวกเขามันก็อยู่ในร่างกายของฉันด้วย เรามีความเป็นหนึ่งอยู่ในสายเลือดนั้น”
“ฉันว่าเธอลืมเรื่องนั้นเสียดีกว่า” รอยซ์เอ่ยออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ “เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันคล้ายกับเธอต่อสู้อยู่เพียงคนเดียว ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมานักหรอก”
“แต่ฉันกำลังคิดว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างได้เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจหรอกเจ้าค่ะ” สีหน้าของเธอสลดเศร้าลงอีกครั้ง “ฉันรู้ว่าสักวันหนึ่งวิลเลียมจะได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นทายาทของท่านพ่อ เขาเป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณามาก เป็นคนดีอย่างวิเศษเดียวเวลานี้เขาอายุยี่สิบแล้ว เขาอาจจะไม่เข้มแข็งถ้าจะเปรียบกับอเล็กซานเดอร์หรือมัลคอล์ม แต่เป็นที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็มีความจงรักภักดีอันล้ำเลิศ เขาถือว่าฉันเป็นคนหนึ่งในเผ่าของเราที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเขา และเมื่อใดก็ตามที่ วิลเลียมได้ขึ้นครองอำนาจเขาจะต้องพยายามคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาด้วยสมองไม่ใช่ด้วยกำลัง แต่เมื่อมาถึงคืนนี้ ... ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็กลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉันเสียแล้ว”
“ทำไม... เรื่องคืนนี้มันไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” รอยซ์ถามอย่างฉงน
โจนน์เหลือบตาขึ้นมองหน้าเขาอยู่ มันเป็นสีหน้าและแววตาของนางกวางที่ต้องบาดเจ็บ แม้ว่าน้ำเสียงที่กล่าวต่อนั้น จะสงบเยือกเย็นสักเพียงไรก็ตาม
“เพราะว่าคืนนี้ ฉันได้กลายเป็นนางบำเรอของศัตรูที่ร้ายกาจแห่งเผ่าของเรา...เป็นนางบำเรอของบุคคลที่ทุกคนในเผ่าถือว่าเป็นอันตรายอย่างที่สุด ในอดีตที่ผ่านมานั่นน่ะพวกเขาเหยียดหยามดูหมิ่นฉัน แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะว่าทุกสิ่งที่ถูกกล่าวหานั้นฉันไม่ได้ทำเลย...
“แต่เมื่อมาถึงคืนนี้ เขาย่อมมีเหตุผลที่ดีที่จะชิงชังรังเกียจฉันยิ่งขึ้นกว่าเดิม มันเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ฉันกำลังชิงชังรังเกียจตัวเองอยู่ในเวลานี้ เพราะว่าครั้งนี้...ฉันได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครจะให้อภัยได้ แม้แต่พระเจ้าก็จะไม่ทรงยกโทษให้ฉันอีกต่อไปแล้ว... ”
ถ้อยคำตัดพ้อของเธอนั้นเป็นสิ่งที่รอยซ์ไม่อาจปฏิเสธได้ เพียงแต่มันเป็นความจริงที่เขาไม่อยากเผชิญ สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกละอายใจลดลงได้ก็ด้วยความรู้ที่ว่า ชีวิตและอนาคตของเธอที่ต้องสูญเสียไปนั้น แท้ที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งมีค่าอะไรสำหรับเธอนัก
รอยซ์เชยคางเธอขึ้น บังคับให้โจนน์ประสานสายตาอยู่กับเขา และแม้เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจออกไป แต่ความชิดใกล้ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ก็มีอำนาจเหนือจิตใจ และทำให้เขายิ่งปรารถนาในตัวเธอมากขึ้น
“โจนน์...” เขาเอ่ยเรียกชื่อเธอออกมาด้วยเสียงหนักแน่น “ที่ผ่านมาฉันเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ระหว่างตัวเธอกับคนในเผ่าน่ะมันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่ แต่เวลานี้ฉันก็ได้ร่วมหลับนอนกับเธอไปแล้ว และเราก็ไม่มีทางปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้วนะ”
“ก็แล้วถ้าท่านสามารถจะเปลี่ยนแปลงความจริงในเรื่องนี้ได้ท่านจะเปลี่ยนไหมล่ะเจ้าคะ”
“ไม่”
“ถ้ายังงั้น ท่านก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
คำพูดประโยคนั้นทำให้เขายิ้มอย่างเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของเธอ
“ทำไม... หน้าตาฉันมันดูเศร้านักงั้นหรือ” เขาเอ่ยถามออกไป “จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้เศร้าเสียใจอะไรหรอกนะ เพียงแต่เสียใจอยู่นิดเดียวเท่านั้นที่เป็นตัวการทำให้เธอถูกดูหมิ่นเกลียดชังมากขึ้น แต่ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปกับเธอเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาหรอก แล้วก็ไม่ได้เสียใจที่จะได้เธอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ด้วย ซึ่งฉันตั้งใจจะทำยังงั้นจริง ๆ ” แม้ว่าเธอจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจที่เขาพูดออกมาตรง ๆ เช่นนี้ แต่รอยซ์ก็ไม่ได้หวั่นไหว เขายังพูดในสิ่งที่ตั้งใจจะพูดต่อไป
“ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเชื่อถือในเรื่องพระเจ้า แต่ก็เคยได้รับการบอกเล่าจากคนที่เขานับถือว่า พระเจ้าก็คือพระเจ้า ... เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์ย่อมจะต้องเปี่ยมด้วยพระเมตตา มนุษย์ทุกคนย่อมปราศจากความผิดบาปในสายตาของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นการที่เธอยอมทำตามความประสงค์ของฉันเช่นนี้ ก็เพราะเธอห่วงใยในชีวิตของน้องสาว มันไม่ใช่ความตั้งใจของเธอที่จะให้เป็นไป มันเป็นความคิดความตั้งใจของฉันต่างหากล่ะ และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราในเตียงนอนนั่น มันก็ขัดต่อปณิธานของเธออยู่จริงไหม”
ทันทีที่ถามคำถามนั้นออกไป รอยซ์ก็รู้สึกเสียใจไม่น้อย และแล้วเขาก็ได้ตระหนักว่า ในขณะที่เขาอยากจะให้เธอรับรองต่อเขาว่า สิ่งที่เขาได้ชักจูงให้เธอกระทำลงไปนั้น ไม่ได้ทำให้เธอกลายเป็นคนผิดบาปในสายตาของพระเจ้า เขาก็ไม่อยากให้เธอปฏิเสธว่า เธอเองก็ปรารถนาในสิ่งนั้นเช่นเดียวกับเขาเหมือนกัน และมันทำให้เขาย้ำคำถามออกไปอีกครั้งว่า
“จริงไหมล่ะ พระเจ้าจะต้องประทานอภัยให้เธอและยกโทษให้ เพราะเธอเพียงแต่ยอมทำตามใจฉันเพราะไม่มีทางขัดขวางได้ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่ความต้องการของเธอเลย”
“ไม่ใช่... ” เธอโพล่งออกมา แล้วก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก รอยซ์ไม่อาจเดาความรู้สึกในยามนี้ของเธอได้เลย
“ไม่ใช่... งั้นเรอะ” เขาถามย้ำ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “แล้วฉันผิดตรงไหนล่ะ ... เธอช่วยบอกหน่อยสิว่าฉันผิดตรงไหน”
มันไม่ใช่เพราะน้ำเสียงบังคับนั้นที่ทำให้เธอต้องตอบออกไป แต่มันเป็นภาพที่ปรากฏขึ้นในความทรงจำยามที่เขาร่วมรักกับเธอ ความทะนุถนอมอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อที่เขาแสดงออก เขาเสียใจอย่างแท้จริงที่เป็นผู้พร่าผลาญพรหมจารีของเธอ น้ำเสียงยามที่พร่ำพรอดออดอ้อน และยังความร้อนเร่าที่เขาถ่ายเทเข้าไว้ในทุกอารมณ์และความรู้สึกของเธออีกเล่า...
“ฉันยอมรับว่า จริง ๆ แล้วฉันไม่เต็มใจที่จะร่วมหลับนอนกับท่านเลย” เธอตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เพียงแต่ว่า... เมื่อมันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็ไม่อยากจะลงจากเตียงนั่น ไม่อยากให้ท่านนอนคนเดียว...”
เพราะโจนน์เมินสายตาไปเสียทางอื่น เธอจึงไม่ได้เห็นความอ่อนโยนที่ปรากฏขึ้นในรอยยิ้มของเขายามนี้ แต่สัมผัสความรู้สึกนั้นได้ยามที่เขาโอบกอดร่างเธอไว้ รั้งร่างเข้ามาหา และประทับจูบอันดูดดื่ม ลม... มันทำให้เธอไม่อาจพูดอะไรต่อไปอีกได้... ไม่อยากแม้แต่จะหายใจ...
