บทที่ 9
“รู้สึกว่าเราจะมีแขกมาเยี่ยมนะ” กอดเฟรย์ซึ่งเดินปึงปังเข้าไปในห้องโถงของตัวปราสาท หน้าตาขมวดมุ่นเมื่อกวาดสายตามองดูเหล่าอัศวินที่นั่งกินอาหารมื้อกลางวันกันอยู่ตรงโต๊ะ ซึ่งทำให้มือที่กำลังตักอาหารขึ้นใส่ปากชะงักงัน และต่างหันมามองหน้าเขาเป็นตาเดียว
“ผมรู้สึกว่าเป็นขบวนใหญ่แล้วก็มีทหารถือธงอันเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวด้วย... กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้” กอดเฟรย์กล่าวต่อ “รู้สึกว่าจำนวนทหารที่มาครั้งนี้จะมากเกินกว่าจะเป็นขบวนของผู้ถือสารธรรมดา ไลโอเนลเห็นตั้งแต่กองทหารเคลื่อนมาตามถนนแล้ว เห็นเขาบอกว่าเขาจำเกรฟเวอลี่ย์ได้ด้วย” รอยขมวดมุ่นตรงหน้าผากกดลึกลงเมื่อมองขึ้นไปยังชั้นบนของตัวปราสาท “รอยซ์อยู่ไหนล่ะ”
“ดูเหมือนจะออกไปเดินเล่นกับเชลยของเรา” ออสเทซตอบ “แต่ไม่แน่ใจว่าไปที่ไหนกัน”
“ผมรู้” เอริคเอ่ยออกมา “จะไปตามเอง” พูดจบเขาก็รีบรุดเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความกังวลใจอย่างมาก
เสียงหัวเราะปานระฆังเงินของโจนน์เสียดแทรกอยู่ในสายลม และรอยซ์ก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเมื่อเธอทิ้งตัวลงตรงโคนไม้เคียงข้าง นวลแก้มแดงปลั่งด้วยอารมณ์เริงรื่น
“ฉันไม่เชื่อท่านหรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดที่ท่านเล่ามานั้นน่ะไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องที่ท่านแต่งขึ้นเองทั้งนั้น”
“อาจจะเป็นยังงั้นก็ได้” เขาตอบเอาใจ เหยียดขาออกไปข้างหน้าและพลอยยิ้มตามไปด้วย
เช้าวันนี้ โจนน์ตื่นนอนขึ้นในเตียงของเขาตอนที่พวกคนรับใช้ยกขบวนกันเข้ามาในห้อง สีหน้าของเธอยามที่แสดงออกถึงความอับอายที่มีผู้มาพบเห็นพฤติกรรมของตนเอง ทำให้เขายอกแสยงในหัวใจ เวลานี้เธอได้กลายเป็นคู่นอนของเขา ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าพวกคนรับใช้จะต้องซุบซิบนินทากันทั่ว ซึ่งมันก็เป็นความจริงเช่นที่เธอคาดคิดไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้รอยซ์จึงครุ่นคิดหาวิธีการที่จะปลอบใจเพื่อให้เธอลืมความเจ็บปวดนั้นเสีย และคิดว่าทางที่ดีคือต้องพาเธอออกมาจากปราสาทแห่งนั้นเสียสักพัก เพื่อที่เธอจะได้สบายใจขึ้น ซึ่งก็นับว่าคิดถูกแล้ว เพราะทั้งสีหน้าและแววตาของเธอยามนี้บ่งบอกถึงความรื่นรมย์ในจิตใจ
“ท่านคงคิดว่าฉันโง่พอที่จะเชื่อเรื่องที่ไม่เป็นความจริงนั่นสินะเจ้าคะ” เธอถามกระเง้ากระงอด
“เปล่าเลยคุณผู้หญิง ฉันว่าเธอเข้าใจผิดทั้งหมด” เขาตอบยิ้ม ๆ
“ทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ... ท่านหมายความว่ายังไงที่พูดยังงี้”
“ก็เพราะว่าเรื่องที่ฉันเล่าให้เธอฟังนั่นน่ะ มันไม่ใช่เรื่องโกหก แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเธอจะโง่จนใครหลอกได้น่ะสิ” เขาหยุดเว้นระยะเพื่อรอให้เธอตอบโต้อะไรออกมาเมื่อโจนน์ไม่ตอบเขาก็พูดยิ้ม ๆ ต่อไปว่า “นี่คือคำชมในความมีสติปัญญาของเธอไงล่ะ”
“ยังงั้นหรือเจ้าคะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” โจนน์พูดอย่างล้อเลียน
“ประการที่สอง ฉันเชื่อว่าเธอเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมมาก” เขากล่าวย้ำ
“ก็ขอบคุณอีกนั่นแหละเจ้าค่ะ” โจนน์ตอบออกไปทันที
“คราวนี้ไม่ใช่คำชมนะ” รอยซ์ยืนยัน
โจนน์ตวัดสายตามองหน้าเขาอย่างต้องการคำอธิบายที่มากกว่านั้น และรอยซ์ก็ยื่นมือออกไปลูบไล้นวลแก้มพร้อมกับกล่าวว่า
“ถ้าเธอเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา เธอก็คงจะไม่ใช้เวลามากมายครุ่นคิดพิจารณาถึงผลที่จะเกิดตามมาภายหลังจากที่ตกเป็นของฉันแล้ว และเธอก็ยังยอมรับสภาพได้ด้วยซึ่งทำให้เธอได้ประโยชน์จากเรื่องนี้” เขาเลื่อนสายตาจากใบหน้าไปยังสร้อยไข่มุกที่เขาเพิ่งจะคล้องลงรอบคองามระหงเมื่อตอนเช้าวันนี้ หลังจากที่ได้มอบเครื่องเพชรล้ำค่าจำนวนหนึ่งแล้ว
ดวงตาของโจนน์เป็นประกายด้วยความไว้ตัวขึ้นมาทันที แต่รอยซ์ก็ยังพูดต่อตามแบบผู้ชายที่ไม่ใคร่ใส่ใจกับความรู้สึกอ่อนไหวในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้หญิงเท่าไรนัก
“และถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาปานกลาง เธอก็คงจะห่วงอยู่แต่เรื่องของความสวยงาม เรื่องการดูแลบ้านเรือนหรือเรื่องการเลี้ยงลูกเท่านั้น เธอคงไม่ทรมานตัวเองด้วยการครุ่นคิดถึงเรื่องของความศรัทธา ความจงรักภักดี และการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิดอะไรทำนองนั้นหรอก”
แววตาของโจนน์ขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
“ฉันน่ะหรือเจ้าคะ... ยอมรับสภาพ” เธอถามย้ำ “จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้อยู่ใน ‘สภาพ’ อย่างที่ท่านบรรจงแต่งคำพูดให้มันดูสวยงามขึ้นหรอกนะเจ้าคะ ทุกวันนี้ฉันอยู่ในความผิดบาปร่วมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตั้งใจจะทำลายครอบครัววงศ์ตระกูลของฉันให้ย่อยยับ อยู่กับผู้ชายคนที่ขัดต่อความประสงค์ของทุกคนในเผ่า และขัดต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วย และยิ่งกว่านั้น” เธอเสริมด้วยแรงอารมณ์
“...มันก็เป็นความตั้งใจดีของท่านที่พูดเป็นทำนองแนะนำว่าฉันควรจะคิดแต่ในเรื่องที่ผู้หญิงคนอื่น ๆ เขาคิดกัน อย่างเช่นการดูแลบ้านช่อง เลี้ยงลูก... แต่ท่านอย่าลืมสิเจ้าคะว่าท่านนั่นแหละ ที่ทำให้ฉันต้องเสียสิทธิทั้งหมดนั่นไปโดยสิ้นเชิง ท่านเป็นผู้แย่งชิงตัวฉันมาจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น สักวันหนึ่ง คุณหญิงผู้เป็นภรรยาของท่านก็จะต้องเอื้อมมือเข้ามาจัดการกับบ้านช่อง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องทำให้ชีวิตของฉันได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น... และ... ”
“โจนน์... ” รอยซ์ขัดขึ้นพยายามกลั้นยิ้มไว้ “เธอก็รู้อยู่แก่ใจนะว่าทุกวันนี้ฉันยังไม่มีเมีย” เขาตระหนักดีว่าทุกสิ่งที่เธอกล่าวออกมานั้นมันเป็นความจริง แต่ในยามที่เธออยู่ในอารมณ์ขุ่นเคืองเช่นนี้ เธอยิ่งดูสวยน่ารักกว่ายามที่อยู่ในอารมณ์อื่นด้วยซ้ำ ในยามนี้สิ่งที่เขาอยากจะทำอย่างที่สุดคือ รวบร่างเข้ามากอดและจูบตรงปากที่ช่างจำนรรจานั้น
“มันก็จริงอยู่หรอกเจ้าค่ะที่ตอนนี้ท่านยังไม่มีภรรยา” โจนน์โต้กลับไปด้วยความเจ็บใจ “แต่ไม่ช้าไม่นานท่านก็จะต้องเลือกใครสักคนอยู่ดี และเธอผู้นั้นก็จะต้องเป็นผู้หญิงอังกฤษด้วย... ผู้หญิงอังกฤษที่มีความเยือกเย็นปานน้ำแข็งอยู่ในสายเลือด มีสีผมเหมือนสีขนหนู มีจมูกเล็ก ๆ ที่แดงก่ำอยู่ตลอดเวลาเพราะเป็นหวัด ...”
รอยซ์หัวเราะเงียบ ๆ จนไหล่สั่นสะท้าน ยกมือขึ้นในท่ายอมแพ้
“เธอว่าอะไรนะ... สีผมเหมือนสีขนหนูตัวใหญ่ ๆ นั่นน่ะเรอะ... ทำไม... ฉันมีปัญญาหาได้ดีที่สุดเพียงแค่นั้นละหรือนี่ เอ... แต่เวลานี้ฉันว่า... ฉันอยากมีเมียผมบลอนด์มากกว่านะ แล้วก็ต้องมีดวงตาสีเขียว...”
“ช่าย... แล้วก็มีปากกว้าง... มี... ” ความโมโหทำให้โจนน์ยกมือขึ้นทาบหน้าอกก่อนจะรู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป
“ใช่... แล้วเมื่อกี้นี้เธอกำลังจะพูดว่าอะไรใหญ่อีกนะ”
“หูสิเจ้าคะ” เธอกระแทกเสียงตอบอย่างขุ่นเคือง “แต่ไม่ว่าเขาจะมีรูปร่างหน้าตายังไงก็ตามทีเถอะ รับรองได้เลยว่าเขาจะต้องทำให้ฉันตกนรกทั้งเป็น”
รอยซ์ไม่อาจสงบระงับความต้องการในจิตใจได้อีกต่อไป เมื่อโน้มตัวเข้าไปจูบตรงซอกคอ
“เอายังงี้นะ...ฉันมีข้อต่อรองให้เธออย่างหนึ่ง เราจะช่วยกันเลือกเมียที่เราทั้งสองคนพอใจ... ดีไหมล่ะ” เมื่อกล่าวออกไปแล้ว เขาจึงได้ตระหนักว่าในยามนี้ ความหวงแหนในตัวโจนน์ดูจะปิดกั้นความคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่นลงจนหมดสิ้น
เขาไม่อาจแต่งงานโดยยังเก็บเธอไว้เป็นคู่นอนของเขาได้ ซึ่งเรื่องนี้รอยซ์รู้อยู่แก่ใจดี เขาไม่มีทางที่จะแต่งงานกับดาซี่ แฮมเมล หรือผู้หญิงคนไหนก็ตาม แล้วให้โจนน์เป็นเมียเก็บต่อไป เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำลายเกียรติยศของเธออย่างสิ้นเชิง
ถ้าเป็นเมื่อวันวาน เขาอาจจะคิดหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้ แต่ไม่ใช่ขณะนี้ ไม่ใช่ขณะที่ผ่านราตรีอันแสนสุขนั่นมาแล้ว และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้คิด ว่าโจนน์จะต้องทนทุกข์ทรมานทั้งที่ยังเป็นสาวน้อยยังมีอนาคตอันยาวไกลนี้อีกนานเท่าไร
ทางเลือกที่เหลืออยู่เพียงทางเดียวก็คือ... แต่งงานกับโจนน์เสีย... แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี เขาจะเป็นลูกเขยของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูต่อแผ่นดินอังกฤษได้อย่างไร การแต่งงานกับเธอเท่ากับเป็นการยกสนามรบเข้ามาไว้ในบ้าน ที่เขาปรารถนาจะให้เป็นที่พักผ่อนอันสงบสุขเท่านั้น การที่เธอให้ความสุขทางเพศกับเขาได้อย่างมากมายมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเสียสละทุกสิ่งในชีวิตให้กับเธอถึงเพียงนั้น
ถ้าจะมองอีกแง่หนึ่ง เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นคู่นอนของเขาเท่านั้น เขาพอใจในจิตใจที่เข้มแข็งกล้าหาญ และประการสำคัญก็คือ เธอเป็นผู้หญิงที่มีจุดหมายในชีวิตอย่างแน่นอน เป็นคนที่มีความสุจริตใจอย่างยากที่จะหาผู้หญิงคนไหนมาเปรียบได้
แม้จะรู้ว่าทั้งหมดนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อาจแต่งงานกับเธอได้ แต่อาจจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวกระมังที่ทำให้เขาไม่ต้องการสูญเสียเธอไป...
