บทที่ 7
บนเนินเขาไม่ไกลจากปราสาทเท่าไรนัก ได้มีร่างของบุรุษหนึ่งปรากฏขึ้น ร่างนั้นยืนตระหง่านอยู่ในท่ามกลางแสงจันทร์ราวปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มเมฆ ถ้าเป็นเวลาอื่น ภาพที่เห็นเพียงแวบเดียวนั้นจะต้องทำให้รอยซ์สั่งการให้ทหารออกสำรวจทันที
แต่ในยามนี้ ยามที่กำลังอยู่ในอารมณ์รักและรู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะชนะใจสตรีผู้ครองความงามล้ำเลิศผู้กำลังยืนอยู่เคียงข้างได้ ทำให้รอยซ์ไม่สนใจกับภาพที่ได้เห็น มันเป็นคืนที่บรรยากาศสวยงดงามเต็มไปด้วยความแจ่มใส และอบอุ่นอยู่ด้วยละไอแห่งความรัก เขาจึงไม่ได้นึกระแวงถึงภยันตรายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ตัว
รอยซ์กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างแปลกใจกับคำพูดของโจนน์ เขารู้ธรรมชาติของชาวสก๊อตอยู่ประการหนึ่ง ว่าถึงแม้จะเป็นคนชั้นต่ำสักเพียงไร แต่จะเป็นคนที่มีความซื่อตรงจงรักอย่างรุนแรงมาก เขาเชื่อว่าเธอจะต้องได้รับความรักจากชาวเผ่าทั้งหลายเหล่านั้นเช่นเดียวกับที่เธอรักพวกเขา และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง เธอก็ไม่จำเป็นต้องสร้างอาณาจักรใด ๆ ขึ้นมาเพื่อตัวเองเลย
“เธอน่ะนอกจากจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากแล้วก็ยังเป็นคนที่มีจิตใจกล้าหาญมาก” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “เป็นผู้ที่มีสิทธิ์และศักดิ์อย่างถูกต้องทุกประการ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คนในเผ่าจะต้องมีความรู้สึกอย่างที่เธอต้องการและน่าจะมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ”
เธอถอนสายตาที่ประสานอยู่กับเขา ท่าทีราวดื่มด่ำกับทัศนียภาพตรงหน้าอีกครั้ง
“จริง ๆ แล้ว...” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไว้อย่างดียิ่ง “พวกเขาไม่ได้คิดถึงฉันในแง่ที่ดีเท่าไหร่นักหรอกเจ้าค่ะ”
“อ้าว... มันเรื่องอะไรถึงต้องคิดในสิ่งที่ไร้เหตุผลยังงั้นล่ะ” รอยซ์ถามอย่างแปลกใจเต็มที่ และต้องแปลกใจยิ่งกว่านั้น เมื่อเธอตอบโต้กลับมาราวจะปกป้องคนของเธอเอง
“ก็จะให้พวกเขาคิดยังไงดีกว่านั้นล่ะเจ้าคะ ในเมื่อพี่ชายบุญธรรมพยายามเอาสิ่งที่ฉันไม่เคยทำในชีวิตไปกรอกใส่หูพวกเขาอยู่ตลอดเวลา”
“เช่นเรื่องอะไรมั่งล่ะ”
เธอยกมือขึ้นกอดอกราวกับเกิดความหนาวเหน็บขึ้นในหัวใจอย่างเหลือประมาณ
“มันเป็นเรื่องที่ฉันพูดไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
รอยซ์จับตาอ่านความรู้สึกของเธออยู่ ยืนยันที่จะให้เธออธิบายเพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ให้ได้ โจนน์สูดลมหายใจออกมาว่า
“มันก็มีอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง แต่ว่าเรื่องที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดคือเรื่องที่รีเบคก้าจมน้ำตาย คือเบ็คกี้กับฉันน่ะเป็นญาติห่าง ๆ กันแล้วก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากด้วย ตอนนั้นเราเพิ่งจะอายุสิบสามด้วยกันทั้งคู่…” รอยยิ้มเศร้าฉาบขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งก่อนที่เธอจะเล่าต่อ
“พ่อของเธอชื่อการ์ริค คาร์มิเกล เป็นพ่อหม้ายและเธอก็เป็นลูกสาวคนเดียวของเขา เขารักลูกสาวคนนี้มากเช่นเดียวกับเราทุกคน เบ็คกี้เป็นคนน่ารักแล้วก็สวยมาก...สวยกว่าเบรนน่าเสียด้วยซ้ำ... ใครที่อยู่ใกล้จะต้องรักเธอทุกคน...
“และเพราะความที่พ่อรักมาก ก็เลยไม่ยอมให้ลูกสาวทำอะไรทั้งสิ้นด้วยเกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เดินผ่านริมแม่น้ำเสียด้วยซ้ำ เพราะพ่อเกรงว่าลูกสาวคนเดียวจะตกน้ำตาย เมื่อเช่นนี้...เบ็คกี้ก็เลยตัดสินใจว่าจะหัดว่ายน้ำให้เป็นไว้... เพื่อพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเธอจะไม่เป็นอันตรายเลยเมื่อตกน้ำลงไป เพราะ ฉะนั้นทุกเช้า... เราสองคนก็เล็ดลอดออกไปหัดว่ายน้ำกันฉันเป็นคนสอนว่ายน้ำให้เบ็คกี้เอง
“วันก่อนหน้าที่เบ็คกี้จะตกน้ำตาย เราไปเที่ยวงานกันแล้วฉันกับเขาก็เกิดเถียงกันขึ้น เพราะฉันบอกเขาว่ามีนักเต้นรำมองเขาด้วยสายตาไม่ดีนัก ตอนนั้นพี่กับน้องชายบุญธรรมของฉันคืออเล็กซานเดอร์กับมัลคอล์มก็ได้ยินที่เราเถียงกันด้วย... แล้วก็ยังมีคนอื่น ๆ อีกหลายคน...
“แต่แล้วอเล็กซานเดอร์กลับมาต่อว่าต่อขานหาว่าฉันอิจฉาเบ็คกี้เพราะตัวเองสนใจนักเต้นรำคนนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องโง่ที่สุด... ” น้ำเสียงของเธออ่อนเศร้าลง
“ตอนที่เราแยกทางกันเบ็คกี้ก็ยังโมโหฉันอยู่มาก แล้วก็บอกด้วยว่าพรุ่งนี้เช้าไม่ต้องออกไปที่แม่น้ำก็ได้เพราะเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันอีกต่อไป...ซึ่งฉันก็รู้ว่าเขาพูดออกมาเพราะโมโหเท่านั้น แล้วอีกประการหนึ่งเขาก็ยังว่ายน้ำไม่แข็ง ฉันเป็นห่วงเขาเรื่องนี้มาก พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังไปที่แม่น้ำอยู่ดี”
น้ำเสียงของโจนน์อ่อนเศร้าลงกว่าเดิมเมื่อพูดต่อ
“แต่พอฉันไปถึง ท่าทางเขาก็ยังงอนอยู่นั่นเอง แถมยังบอกด้วยว่าอยากจะอยู่คนเดียว ไม่ต้องการให้ฉันไปยังเกี่ยวด้วย ฉันก็เลยเดินขึ้นไปบนเนินเขา... แต่ยังไม่ทันจะถึงยอดเนินเลยก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกระโจนลงไปในน้ำแล้วก็ได้ยินเสียเบ็คกี้ร้องให้ช่วย ฉันก็รีบวิ่งกลับลงเนินไปแต่พอไปถึงข้างล่างปรากฏว่าไม่เห็นตัวเบ็คกี้แล้วเขาทะลึ่งขึ้นมาครั้งหนึ่งตอนที่ฉันลงไปได้สักครึ่งทาง... ที่รู้ก็เพราะเห็นผมลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ แล้วก็ยังได้ยินเขาตะโกนร้องให้ฉันช่วยอีกครั้งหนึ่งด้วย... ” โจนน์เนื้อตัวสั่นระริกยกมือขึ้นถูแขนที่ขนลุกขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“แต่กระแสน้ำมันเชี่ยวมาก ฉันพุ่งตัวลงไปในแม่น้ำพยายามควานหาร่างเขา ดำผุดดำว่ายเที่ยวตามหาอยู่อย่างนั้นอีกนานมาก... ” น้ำเสียงเธอขาดหายด้วยเสียงสะอื้นที่หลุดลอดออกมา “แต่... ก็หาไม่พบ ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนพบศพเบ็คกี้ลอยอยู่ห่างจากที่ตกลงไปสักสามไมล์เห็นจะได้ ศพลอยมาติดอยู่กับตลิ่ง”
รอยซ์อยากจะโอบกอดปลอบโยนเธอเหลือเกิน แต่ก็รู้อยู่ว่าโจนน์ต้องการรักษาจิตใจของตนเอง ไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งเกี่ยวด้วย
“ฉันว่ามันน่าจะเป็นอุบัติเหตุมากกว่า” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และเธอก็สูดลมหายใจลึกอย่างจะ ตั้งสติให้มั่น
“แต่ฉันรู้ว่าไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก ฉันแน่ใจอย่างที่สุดว่าตอนนั้นอเล็กซานเดอร์จะต้องอยู่แถวนั้น เพราะเขาบอกกับทุกคนด้วยซ้ำว่า เขาได้ยินเสียงเบ็คกี้ตะโกนเรียกชื่อฉันซึ่งก็เป็นความจริง แต่เขาไม่ได้พูดเพียงแค่นั้นเขาเที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าเราทะเลาะกันด้วย และฉันเป็นคนผลักเบ็คกี้ตกน้ำตาย”
“อ้าว... แล้วเสื้อผ้าเธอที่เปียกปอนนั่นล่ะ เขาอธิบายว่าเพราะอะไร” รอยซ์ถามเสียงเครียด
“เขาก็อ้างว่า...” โจนน์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ว่า...หลังจากที่ฉันผลักเบ็คกี้ตกน้ำแล้ว ฉันอาจรอเวลาอยู่อีกสักพักแล้วถึงได้ทำเป็นลงไปช่วย ที่เขาพยายามทำอย่างนี้ก็เพราะอเล็กซานเดอร์ได้รับการบอกเล่ามาแล้วว่าเขา... ไม่ใช่ฉันหรอกนะ ที่จะได้ขึ้นเป็นทายาทของท่านพ่อ เพราะฉะนั้นเขาถึงต้องการกำจัดฉันให้พ้นหูพ้นตาโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นทุกสิ่งมันจะได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา”
“ง่ายในทางไหนล่ะ”
“เขาก็ยังสร้างเรื่องโกหกอะไรต่อมิอะไร แล้วก็บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับตัวฉันตลอดเวลา อย่างเช่นบ้านของชาวไร่คนหนึ่งที่เกิดไฟไหม้หมดทั้งหลัง เหตุการณ์นั่นเกิดขึ้นในตอนกลางคืน เพราะตอนกลางวันของวันเดียวกันนั้น ฉันเถียงกับเขาเรื่องน้ำหนักข้าวเปลือกที่เขาเอามาส่งให้ที่ปราสาทของเรา ก็เรื่องทำนองนั้นนั่นแหละ” เธอยักไหล่เบา ๆ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา รอยยิ้มอ่อน ๆ ฉาบอยู่บนใบหน้าสลดเศร้านั้น
“ท่านเห็นสีผมของฉันไหมล่ะเจ้าคะ” เธอเอ่ยถามขึ้นและรอยซ์ก็มองดูเรือนผมสีแดงแกมทอง ที่เขาประทับใจในความนุ่มเนียนปานเส้นไหมของมัน และโจนน์ก็พูดต่อว่า
“ปกติแล้วสีผมของฉันมันน่าเกลียดมาก แต่เวลานี้มันเป็นสีเดียวกับสีผมของเบ็คกี้... อาจจะเป็นเพราะเบ็คกี้รู้ว่า... ฉันชอบสีผมของเขามากแค่ไหน... ฉันอยากจะคิดนะเจ้าคะว่าเขาฝากสีผมนี้ไว้ให้ เพื่อบอกให้ฉันรับรู้ว่า... แท้ที่จริงแล้วเขาอยู่ตลอดเวลาว่าฉันพยายามช่วยชีวิตเขาอย่างที่สุดแล้ว... เพียงแต่... ช่วยไม่ทันเท่านั้น”
รอยซ์รู้สึกเจ็บร้าวในอกแทนเธอไปด้วย เขายกมือที่สั่นสะท้านขึ้นจะลูบไล้นวลหน้า แต่โจนน์ผละออกห่างและแม้ในยามนี้ดวงตาคู่นั้นจะหล่อรื้นอยู่ด้วยหยาดน้ำตา แต่เธอก็ไม่ได้ร่ำไห้คร่ำครวญแต่ประการใด และตอนนี้เองที่ทำให้รอยซ์เข้าใจว่า เพราะเหตุใดสาวน้อยผู้นี้จึงมิได้ร้องไห้เมื่อถูกจับตัวมาเป็นเชลย ไม่ได้ขอร้องหรืออ้อนวอนยามที่ลงทัณฑ์
