บทที่ 6
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง รอยซ์ซึ่งยังนอนหลับกลิ้งร่างควานมือหาโจนน์ แต่ปรากฏว่าพบเพียงที่นอนอันว่างเปล่า สัญชาตญาณที่ผจญกับอันตรายมาชั่วชีวิต ทำให้เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับกลิ้งตัวขึ้นนอนหงายกวาดสายตามองไปทั่วห้อง แต่มองเห็นเพียงเครื่องเรือนที่เป็นเงาสลัวอยู่ในท่ามกลางแสงจันทร์
เขาเหวี่ยงตัวลงจากเตียงผลุดลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวและลงมือแต่งตัวอย่างเร่งรีบ ด่าตัวเองที่ลืมสั่งการให้ทหารยามเฝ้าอยู่ตรงเชิงบันได พอคว้ากริชคู่กายได้ก็เดินปึงปังตรงไปยังประตูห้อง โกรธตัวเองเป็นที่สุดที่เผลอหลับไปปล่อยให้โจนน์คิดหาช่องทางหลบหนีเขาไปอีกจนได้
เขารู้ว่าโจนน์ แคชเชอร์ สามารถทำได้ยิ่งกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยเขาก็ยังโชคดีที่เธอไม่เอามีดปาดคอเขาเสียก่อนที่จะหลบหนีไป เขากระชากประตูให้เปิดออกเกือบจะเหยียบลงบนร่างของคนสนิทที่นอนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ มายลอร์ด” เกวินซึ่งลุกขึ้นนั่งทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดถามอย่างร้อนใจ เตรียมพร้อมที่จะกระโดดขึ้นรับคำสั่ง
แต่ทันใดสายลมเย็นเยือกก็พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างด้านที่เปิดติดต่อกับเชิงเทิน ซึ่งทำให้รอยซ์เหลือบตามองไปทางนั้น
“เกิดอะไรขึ้นล่ะขอรับ”
และประตูก็ปิดใส่หน้าเกวินเต็มแรง ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
รอยซ์รู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ทำให้เขาต้องออกลาดตระเวนตามหาอีกครั้ง เขาเปิดประตูด้านที่ติดต่อกับเชิงเทินแคบ ๆ ออกอย่างแผ่วเบา และก้าวออกไปข้างนอก โจนน์ยืนอยู่ตรงเชิงเทินแห่งนั้น เรือนผมสยายยาวอยู่ในสายลมอ่อนยามราตรี เธอยืนกอดอกดวงตาเหม่อลอยออกไป ณ ที่ไกลแสนไกล
เขาหรี่ตาอ่านความรู้สึกในสีหน้าของเธออยู่ และแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกครั้ง ที่โจนน์ไม่คิดจะกระโดดลงไปเพื่อฆ่าตัวตายอย่างที่เขาประหวั่นอยู่ และเธอก็ไม่ได้ร่ำไห้กับการที่ต้องสูญเสียความสาวไป ไม่มีท่าทางขุ่นเคืองท่าทางของเธอในยามนี้คือคนที่กำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึงเท่านั้น
และโจนน์ก็ตกอยู่ในภวังค์นั้นจนหารู้ไม่ว่า ขณะนี้เธอไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง ความเย็นชื่นของอากาศช่วยให้จิตใจแช่มชื่นขึ้นบ้าง แต่ถึงกระนั้นเธอก็มีความรู้สึกอยู่ว่าบัดนี้โลกได้หมุนกลับเสียแล้ว มันเพิ่งจะเกิดขึ้นในค่ำคืนวันนี้เอง และเบรนน่าเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้มันกลับกลายเป็นเช่นนั้น
ในยามนี้ เธอพร่ำภาวนาขอให้น้องสาวได้ปลอดภัยจากโรคร้ายที่คุกคามและขอให้เดินทางโดยปลอดภัยเท่านั้น
ความคิดของเธอเลื่อนลอยจากเรื่องของเบรนน่ามายังเรื่องอนาคตของตนเอง อนาคตอันสดใสเป็นสิ่งที่อยู่ในความฝันของเธอมาโดยตลอด แต่เวลานี้มันได้สูญสิ้นลงแล้ว...
“โจนน์... ” เสียงรอยซ์เรียกเบา ๆ มาจากข้างหลัง
โจนน์หันขวับไปมอง พยายามต่อสู้กับความรู้สึกในจิตใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนั้น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขา มันคล้ายกับเขาได้เข้ามาโอบกอดร่างเธอไว้และประทับจุมพิตลง...
“ฉัน... เอ้อ...ทำไมท่านแต่งตัวแบบนั้นล่ะเจ้าคะ” เธอถาม รู้สึกโล่งใจที่น้ำเสียงของตนเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย
“ก็...กำลังคิดจะออกไปตามหาเธออยู่” เขาก้าวออกมาจากเงามืด
โจนน์เหลือบตามองไปที่กริชซึ่งเหน็บอยู่ตรงเอวแล้วก็ถามออกไปว่า
“สมมุติว่าถ้าท่านตามหาตัวฉันพบท่านคิดจะทำอะไรล่ะเจ้าคะ”
“ฉันลืมเรื่องเชิงเทินตรงนี้ไปเสียสนิท” เขายอมรับออกมาอย่างจริงใจ “นึกว่าเธอแอบหนีออกไปจากห้องอีกแล้ว”
“อ้าว...แล้วคนรับใช้ของท่านไม่ได้นอนเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูห้องหรอกหรือเจ้าคะ”
“เก่งนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราวจะหยันเยาะความโง่เขลาของตนเอง
“ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่สังเกตเห็นอยู่ว่า ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนเขาจะต้องคอยยืนหรือไม่ก็นอนขวางประตูไว้ทั้งนั้น”
“ก็พูดถูกอีกนั่นแหละ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง
ในเมื่อบัดนี้เขาก็หาตัวเธอพบแล้ว โจนน์อยากจะให้เขาออกไปให้พ้น ๆ หน้าเสียที เพราะการปรากฏตัวของเขาทำให้จิตใจเธอหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เธอแสดงท่าให้เขารู้ว่าในยามนี้เธอไม่ต้องการให้เขาอยู่ร่วมในที่นี้ด้วย จึงสะบัดหน้าและทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังทัศนียภาพที่อาบไล้อยู่ด้วยแสงเงินยวงของดวงจันทร์
รอยซ์ออกจะลังเล รู้ดีว่ายามนี้โจนน์ต้องการอยู่ตามลำพัง แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อยากทิ้งเธอไว้คนเดียวบอกตัวเองว่าที่เขารู้สึกเช่นนี้ ก็เพราะเป็นห่วงอารมณ์ของเธอที่ผันผวนอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกว่าในยามนี้เธอไม่ต้องการให้เขาถูกเนื้อต้องตัว มือที่ขยับจะเอื้อมออกไปจับต้นแขนจึงชะงักอยู่ สังเกตเห็นว่าเธอตกเข้าสู่ภวังค์แห่งความคิดอีกครั้ง
“เธอกำลังคิดอะไรอยู่ตอนที่ฉันเดินออกมา”
โจนน์ยืนตัวแข็งไปทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น สิ่งที่อยู่ในความคิดของเธอนั้น มันมีอยู่ด้วยกันสองประการและเธอก็ไม่อาจบอกให้เขารู้ได้เลยสักอย่าง
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกเจ้าค่ะ” เธอตอบเรียบ ๆ
“ถ้าไม่สำคัญจริงก็คงจะเล่าได้ ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
เธอเหลือบตามองหน้าเขาแวบหนึ่ง แล้วหัวใจที่ทรยศต่อความตั้งใจของตนเองก็หวั่นไหวกับช่วงไหล่ที่ค่อนข้างกว้างกับใบหน้าที่กระจ่างอยู่ในแสงจันทร์ที่ลอยอยู่ใกล้แล้วเธอก็เบือนหน้าหนี ทอดสายตาเหม่อมองออกไปภายนอกอีกครั้ง พร้อมกับทอดถอนหายใจออกมา
“ฉันกำลังทบทวนความทรงจำถึงเมื่อครั้งที่เคยยืนอยู่บนเชิงเทินที่ปราสาทแคชเชอร์ ทอดสายตามองออกไปยังท้องทุ่งแล้วก็คิดถึงอาณาจักร”
“อาณาจักร” รอยซ์ทวนคำ รู้สึกแปลกใจกับความคิดของเธออย่างที่สุด และเมื่อโจนน์พยักหน้ารับกับคำพูดของเขาพวงผมก็สะท้านไหวอยู่กับแผ่นหลังราวเส้นไหมสีทองที่เนียนนุ่ม รอยซ์อยากจะเอื้อมมือไปลูบคลำเป็นที่สุดแต่ก็พยายามยับยั้งความรู้สึกของตนเองไว้ “อาณาจักรอะไรหรือ”
“ก็อาณาจักรส่วนตัวของฉันน่ะสิเจ้าคะ” เธอทอดถอนใจ รู้สึกอ่อนใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขาชวนคุยถึงเรื่องนี้ “ฉันชอบสร้างความฝันเกี่ยวกับอาณาจักรของตนเอง... ”
“น่าสงสารพระเจ้าเจมส์” เขาพูดล้อ ๆ ถึงพระเจ้าแผ่นดินสก๊อตพระองค์นั้น “แล้วเธอคิดจะยึดอาณาจักรส่วนไหนของพระองค์”
รอยยิ้มที่ฉาบขึ้นบนใบหน้ายามนี้สลดเศร้า และน้ำเสียงก็พลอยสลดตามไปด้วย
“มันไม่ใช่อาณาจักรแท้จริงที่มีทั้งแผ่นดินและปราสาทหรอกเจ้าค่ะ มันเป็นเพียงแค่อาณาจักรแห่งความฝันเท่านั้น... เป็นสถานที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างที่ฉันอยากจะให้มันเป็น”
ความทรงจำที่ถูกหลงลืมไปนานปรากฏขึ้นในใจของรอยซ์ เขาทอดสายตามองออกไปยังเทือกเขาในทิศทางเดียวกับที่โจนน์กำลังมองอยู่ และยอมรับออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“นานหนักหนามาแล้ว... ฉันเอง... ก็เคยเป็นยังงี้เหมือนกัน ฉันเคยคิดสร้างความฝันเรื่องอาณาจักรของตัวเองขึ้นตามที่ใจปรารถนา แล้วของเธอล่ะเป็นยังไง”
“มันก็คงจะไม่มีอะไรเล่ามากนักหรอกเจ้าค่ะ ในอาณาจักรของฉันมันก็มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองและความสุขสงบ บางครั้งมันอาจจะมีทุพภิกขภัยเกิดขึ้นบ้าง แต่มันเป็นศัตรูเพียงอย่างเดียวที่คุกคามต่อความปลอดภัยของเรา”
“แล้วในอาณาจักรของเธอมีความยากจนมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่าล่ะ” รอยซ์ถามอย่างชวนคุย
“ต้องมีสิเจ้าคะ” โจนน์พูดยิ้ม ๆ “มันจะต้องมีเหตุร้าย ๆ เกิดขึ้นเสมอเพื่อที่ฉันจะเพื่อที่ฉันจะได้ออกไปให้ความช่วยเหลือผู้คนบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพวกเขาด้วยยังไงล่ะเจ้าคะเพราะเหตุผลอันนี้แหละที่ทำให้ฉันสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา”
“ก็แปลว่าเธอต้องการเป็นวีรสตรีสินะ” รอยซ์สรุปรอยยิ้มอย่างสนุก และเข้าใจในความคิดของเธอฉาบอยู่บนใบหน้า แต่โจนน์กลับส่ายหน้าเศร้า ๆ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ฉันเพียงแต่อยากจะให้คนที่ฉันรักได้รักฉันตอบบ้างเท่านั้น อยากให้เขารู้สึกกังวลห่วงใยกับความทุกข์ความสุขบ้างเท่านั้น... ”
“เธอต้องการเพียงแค่นั้นน่ะเรอะ”
และเธอก็พยักหน้ารับ สีหน้าเคร่งขรึมลงกว่าเดิม
“เพราะฉะนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันสร้างอาณาจักรนั้นขึ้นก็เพื่อที่จะให้สิ่งที่ตัวเองปรารถนาอย่างที่สุดได้เกิดขึ้นจริง ๆ”
