บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

รอยซ์พาดแขนโอบพนักเก้าอี้ตัวที่โจนน์นั่งอยู่สีหน้าหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง ยามจับตามองโจนน์ซึ่งกำลังพยายามสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับอัศวินคู่ใจทั้งสี่คนของเขาด้วยการชวนพูดชวนคุยด้วยท่าทางร่าเริงแจ่มใส แม้การกินอาหารค่ำในวันนั้นจะสิ้นสุดลงนานแล้ว ซึ่งความพยายามดังกล่าวสร้างความขบขันและหงุดหงิดให้เกิดขึ้นกับรอยซ์ไม่น้อย

ซึ่งตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา รอยซ์ก็ยังพอจะทำตามใจเธอได้ อย่างน้อยมันก็เป็นการดีกับตัวเธอเองที่ผูกมิตรกับอัศวินผู้จงรักภักดีต่อเขาไว้ แต่ขณะนี้อารมณ์สนุกดูจะเลือนหายไปหมดสิ้น

ขณะกอดเฟรย์พูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะอยู่นั้น รอยซ์ก็มองตาอันเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนรู้ว่าควรจะลุกขึ้นจากโต๊ะได้แล้ว

ความกังวลอันล้ำลึกในใจทำให้โจนน์ไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของบุคคลทั้งห้าที่บ่งบอกความนัยต่อกันอยู่โจนน์หันไปยิ้มหวานให้รอยซ์ ขณะเดียวกันก็ใช้ความคิดอย่างวุ่นวายว่าควรจะหาเรื่องอะไรมาชวนอัศวินเหล่านั้นคุยต่อไปเพื่อไม่ให้ทุกคนลุกขึ้นจากโต๊ะเมื่อเวลาวิกฤติดังกล่าวกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที

แต่ก่อนที่เธอจะทันพูดอะไรออกไป อัศวินทุกคนก็ลุกขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวคำราตรีสวัสดิ์

“ท่านไม่รู้สึกว่ามันแปลกบ้างหรือเจ้าคะ ที่จู่ ๆ ยังคุยกันอยู่ดี ๆ ทุกคนก็ลุกขึ้นออกไปหมด” โจนน์รู้สึกแปลกใจจนเกินกว่าจะเก็บงำความคิดเช่นนั้นไว้ได้

“ฉันว่าถ้าพวกเขาอยู่ต่อไปสิมันจะแปลก” รอยซ์ตอบเรียบ ๆ

“อ้าว... ทำไมล่ะเจ้าคะ”

“ก็เพราะฉันสั่งให้พวกเขาออกไปเสียให้พ้น ๆ น่ะสิ” เขาลุกขึ้นยืน และเวลานาทีที่โจนน์เฝ้าวิตกมาตลอดทั้งวันก็มาถึงแล้ว มันเป็นความตั้งใจที่ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สีเทาเงินคมปลาบ ยามที่เขายืนมือมาให้อันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเธอเองก็ควรจะลุกขึ้นจากโต๊ะได้แล้วเช่นเดียวกัน โจนน์ลุกขึ้นยืนด้วยแข้งขาสั่นสะท้าน และยื่นมือออกไปจับเขาอย่างขลาด ๆ

“แต่ฉันไม่ได้ยินท่านสั่งให้ใครลุกขึ้นเลยสักคน” เธอพูดอย่างประหม่า

“ฉันแค่ส่งสัญญาณ พวกเขาก็รู้ความหมายแล้วละโจนน์”

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบน เขาก็ผลักประตูห้องนอนที่อยู่ติดกับเธอให้เปิดออก และให้โจนน์เดินนำเข้าไปก่อน

มันเป็นห้องส่วนตัวที่ได้รับการตกแต่งไว้ค่อนข้างหรูหรา เหมาะสมแก่ฐานะประมุขของปราสาทแห่งนี้นอกเหนือจากเตียงขนาดใหญ่รูปแบบโบราณแล้วก็ยังมีเก้าอี้กับเครื่องเรือนหนาหนักตั้งกระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ หีบสมบัติขนาดใหญ่ตั้งรายเรียงกันอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง และเบื้องหน้าเตาผิงก็ยังมีพรมหนาปูลาดไว้

ทางเบื้องหลังขณะนี้ โจนน์ได้ยินเสียงสลักประตูที่ถูกเลื่อนปิดลง แล้วหัวใจก็เต้นระทึกด้วยความหวาดหวั่นด้วยความคิดที่ว่าจะต้องประวิงเวลาไว้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ทำให้โจนน์รีบเดินไปทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตัวที่อยู่ไกลจากเตียงนอนที่สุด ประสานมือไว้บนตักแต่งยิ้มหวานขึ้นบนใบหน้าและเริ่มต้นระดมคำถามเข้าใส่เขา

“ฉันเคยได้ยินมานะคะว่าเวลาที่ท่านออกรบน่ะไม่เคยลงจากหลังม้าเลยจริงหรือเปล่าเจ้าคะ” เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แสร้งทำเป็นว่าสนใจในเรื่องที่กำลังพูดอยู่เสียเหลือเกิน

เอิร์ลแห่งแคลม์เบลล์ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเดินมาทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตรงข้าม รู้ดีว่าขณะนี้โจนน์กำลังหวังจะให้มีปาฏิหาริย์อะไรสักอย่างเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้เธอรอดพ้นจากเงื้อมมือเขา ซึ่งเขาออกจะไม่พอใจกับความคิดของเธอเท่าไรนัก เพราะโจนน์ทำท่าจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้

“ว่ายังไงล่ะเจ้าคะ เรื่องที่ฉันได้ยินมาน่ะมันเป็นความจริงหรือเปล่า”

“ตรงไหนล่ะที่เธออยากรู้มันจริงหรือไม่จริง” เขาย้อนถามด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

“ก็ที่ว่าท่านไม่เคยลงจากหลังม้าเวลาอยู่ในสนามรบไงล่ะเจ้าคะ”

“ไม่จริง”

“เอ้อ... เหรอเจ้าคะ... แล้ว... แล้วเหตุการณ์ยังงั้นมันเกิดขึ้นกี่ครั้งล่ะเจ้าคะ”

“สองครั้ง...” โจนน์อุทานอย่างตกใจแท้จริง มองเห็นภาพอันน่าสยดสยองยามที่คนในเผ่าของเธอจะต้องเผชิญหน้ากับเขา “น่าแปลกใจมากทีเดียวนะเจ้าคะเมื่อนึกถึงว่าตลอดเวลาหลายปีที่ท่านต้องตกอยู่ในสนามรบนั่นท่านพอจะจำได้บ้างไหมเจ้าคะว่าท่านต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูมากี่ครั้งก็หนแล้ว”

“ฉันไม่เคยนับหรอกนะโจนน์”

“ที่จริงนับไว้บ้างก็ดีนะเจ้าคะ เอ้อ... ที่จริงท่านลองเล่าให้ฉันฟังบ้างก็ได้นี่เจ้าคะ แล้วฉันจะลองนับเอง... ลองเริ่มต้นเลยสิเจ้าคะ” เธอเร่งเร้าอย่างกระตือรือร้น

“ฉันว่ามันไม่เหมาะหรอกนะ” เขาตอบห้วน ๆ

โจนน์รู้สึกฝืดคอเต็มที สัมผัสความรู้สึกที่ว่าบัดนี้เวลาที่เธอเฝ้าประวิงมามันได้หมดลงแล้ว ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่จะเหาะผ่านหน้าต่างเข้ามาและโอบอุ้มร่างเธอให้ลอยปลิวไปในอากาศได้ เธอพยายามคิดหาคำถามเพื่อชวนเขาพูดคุยต่อไป แต่รอยซ์ตัดบทขึ้นเสียก่อน

“เอาละ ฉันจะตั้งคำถามกับเธอมั่งว่า ที่เธอถามอะไรต่อมิอะไรอยู่นี่เป็นเพราะเธอกังวลห่วงใยในการสู้รบห่วงใยในชื่อเสียงของฉัน หรือว่าหวังจะเลี่ยงสัญญา”

รอยซ์คาดว่าเธอจะต้องใช้คำพูดบ่ายเบี่ยงต่าง ๆ นานา แต่แล้วเขาก็แปลกใจกว่าเดิมเมื่อได้ยินเธอตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“ฉันกลัว... กลัวยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ในชีวิต”

ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ดูจะเลือนหายไปทันทีที่ได้รับคำตอบอย่างจริงใจ และยิ่งเขามองเธอที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในเก้าอี้ตรงหน้า เขาก็ได้ตระหนักว่าบัดนี้เขากำลังจะทำลายความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสาของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยอมรับในเงื่อนไขที่ตั้งขึ้นระหว่างเขากับเธอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์หลากหลายอย่างที่เขาเคยพบมาแล้ว

เขาลุกขึ้นยืนช้า ๆ ยื่นมือออกไปหาเธอและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มาเถอะ โจนน์”

โจนน์รู้สึกเข่าอ่อนเมื่อลุกขึ้นยืนตามคำสั่ง พยายามปลอบใจตนเองอยู่ว่า สิ่งที่เธอกำลังจะทำลงไปนั้นมันไม่ใช่การทรยศหรือความผิดบาปแต่อย่างใดทั้งสิ้น เธอกำลังจะทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตน้องสาวไว้และเป็นสิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญเสียด้วยซ้ำ เธอควรจะได้รับการยอมรับจากผู้คนในเผ่าเช่นเดียวกับโจน ออฟ อาร์คผู้ยอมตายเพื่อประเทศชาติ

เธอวางมือเย็นเยือกลงในฝ่ามืออบอุ่นของเขา และรู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเมื่ออุ้งมือกระชับมั่นเข้ามา และยังแววตาที่บ่งบอกความเห็นใจของเขาอีกเล่า...

และเมื่อเขารั้งร่างเข้ามาแนบชิดประทับจูบลงบนเรียวปาก สำนึกหลากหลายก็พลันสะดุดหยุดลง มันเป็นจูบที่แปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจุดจบของมันอยู่ไหน เธอเผยอเรียวปากขึ้นและปลายลิ้นของเขาก็สอดแทรกเข้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฝ่ามือคู่นั้นก็ลูบไล้อยู่กับแผ่นหลัง กระชับร่างเธอให้แน่นเข้าในอ้อมกอด และโจนน์ก็มีความรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงดูดลงในวังวนที่อึงอลอยู่ด้วยกระแสสวาท ต้องยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาไว้เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้มลง

ในส่วนลึกของหัวใจ สำนึกหนึ่งบอกเธออยู่ว่า บัดนี้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ถูกถอดทิ้งออกจากร่าง ฝ่ามือของเขาคลึงเคล้าอยู่กับเนินทรวง พร้อมกันจูบนั้นก็เพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกขณะ อ้อมแขนที่รัดอยู่รอบร่างแข็งแกร่งราวปลอกเหล็ก และแล้วร่างของเธอก็ลอยขึ้นเมื่อเขาอุ้มไปวางลงบนเตียงนอนที่เย็นเยือก ความอบอุ่นจากเรือนกายและริมฝีปากคู่นั้นเลือนหายไป เธอตื่นขึ้นจากความเคลิบเคลิ้มด้วยไม่แน่ใจว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น และพบว่าเขากำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างกายอยู่ข้างเตียงนอนนั่นเอง สัญญาณอันตรายกริ่งเตือนเธออย่างรุนแรง ในท่ามกลางแสงจากเปลวเทียน เนื้อตัวที่ครัดเคร่งด้วยมัดกล้ามนั้นเป็นสีทองบรอนซ์ เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่มีร่างกายสวยงามอย่างน่าชื่นชม เธอรีบเบือนหน้าหนี มือกำผ้าปูที่นอนไว้แน่นเมื่อเขาเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ปกคลุมร่างกายอยู่ออก

ที่นอนยุบยวบลงด้วยน้ำหนักตัวเขา และเธอก็เฝ้ารอเวลาอยู่ในท่าที่เบือนหน้าไปทางหนึ่ง เปลือกตาปิดสนิทอยากจะให้เขากกกอดและจัดการกับเธอเสียโดยเร็ว ก่อนที่ความเป็นจริงอันเยียบเย็นจะกลับคืนมาสู่

แต่รอยซ์ไม่ได้คิดจะเร่งรีบอะไรเลย เขาประทับจูบลงตรงข้างหู ลมหายใจราวจะติดขัดขึ้นมาเมื่อสายตาสำรวจไปทั่วเรือนร่างที่เปล่าเปลือยตรงหน้า และแล้วเขาก็ถามออกไปโดยไม่ต้องใช้ความคิด

“โจนน์ เธอรู้หรือเปล่าว่าตัวเองน่ะเป็นคนที่สวยมาก” เสียงถามนั้นแหบพร่า เมื่อเขาละสายตาจากท่อนขาเพรียวงามขึ้นมองหน้าที่ราวอาบเสน่ห์ไว้ ลูบไล้เรือนผมที่กระจายอยู่บนหมอน “หรือรู้ไหมว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” และเมื่อเขาเห็นเธอยังหลับตาแน่นตัวเกร็งอยู่อย่างนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อไปว่า “ลืมตาขึ้นสิคนสวย”

โจนน์ทำตามคำสั่งอย่างไม่เต็มใจนัก ประสานสายตาอยู่กับเขาขณะที่มือไม้ของรอยซ์เคลื่อนจากนวลแก้มลงมาถึงช่วงลำคอและประคองเนินทรวงเธอไว้

“ไม่ต้องกลัวนะ” เขาคลึงเคล้าอยู่กับเนินทรวงสีชมพูแผ่วเบา และปลายนิ้วอันช่ำชองนั้นก็ราวจะเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของโจนน์ได้อย่างมหัศจรรย์ “เธอไม่เคยกลัวฉันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะกลัวตอนนี้”

ฝ่ามือนั้นเคลื่อนจากเนินทรวงขึ้นมายังช่วงไหล่ และริมฝีปากก็ประทับลงอีกครั้ง ซึ่งสร้างความรัญจวนใจให้เกิดขึ้นกับโจนน์ไม่น้อย

“จูบฉันสิโจนน์” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง เมื่อเห็นเธอเป็นแต่เพียงผู้สนอง

และโจนน์ก็ปฏิบัติตาม ด้วยอ้อมแขนที่โอบกระชับอยู่รอบคอนั้น เธอเผยอเรียวปากและประทับลงบนริมฝีปากเขา จูบแบบเดียวกับที่เขาจูบเธอ มันทำให้เขาครางออกมาด้วยความพอใจและจุมพิตนั้นก็ดื่มด่ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เมื่อรอยซ์ถอนริมฝีปากออกลมหายใจของเขาหอบกระชั้น และโจนน์ก็มีความรู้สึกราวกับร่างกายถูกหลอมละลายอยู่ด้วยเปลวพิศวาสอันรุนแรง ปลายนิ้วลูบไล้อยู่กับใบหน้าอย่างอ่อนโยน เนื้อตัวสั่นระริกด้วยฤทธิ์แรงเสน่หามันคล้ายกับมีความรานร้าวเกิดขึ้นในหัวใจ เมื่อปลายนิ้วสัมผัสลงตรงรอยแผลเป็นที่ยังแดงก่ำตรงสันกราม

“ฉันเสียใจเหลือเกิน” เธอกระซิบเสียงพร่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel