บทที่ 3
“ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะ... ” โจนน์กวาดสายตามองหน้าเขาอยู่อย่างวิงวอน คิดเอาเองว่าการนิ่งเฉยของเขาคือการบอกปฏิเสธ “ฉันขอคุกเข่าลงต่อหน้าท่าน... ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะ ขอแต่เพียงให้ท่านบอกมาเถอะว่าต้องการอะไร”
“ทุกอย่างเลยงั้นเรอะ” น้ำเสียงของเขาห้วนห้าว แต่มันก็เปี่ยมอยู่ด้วยความหวัง และโจนน์ก็พยักหน้ารับอย่างแรง
“ทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ ฉันพร้อมที่จะแต่งปราสาทแห่งนี้ให้สวยงามพอจะรับเสด็จได้ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ ฉันจะสวดมนต์อธิษฐานในทุกครั้งที่ท่าน... ”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ” เขาขัดขึ้นก่อนที่เธอจะทันพูดจบ
“งั้นก็บอกมาสิเจ้าคะว่าท่านต้องการอะไร” เธอถามอย่างสิ้นหวังและร้อนใจเต็มที
“เธอ” เขาตอบเพียงคำเดียว และมือของโจนน์ก็ตกจากแผงอก “ฉันไม่ต้องการให้เธอคุกเข่าทำงานอย่างที่ว่าหรอก ฉันต้องการได้เธอมาเป็นคู่นอนของฉันด้วยความเต็มใจด้วย”
โจนน์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เธอมองเห็นอยู่ว่าการที่รอยซ์ปล่อยเบรนน่าไปนั้น เขาแทบจะไม่ได้เสียสละอะไรเลย แต่เขากลับเรียกร้องให้เธอเสียสละทุกสิ่ง การที่เธอยอมเสียเกียรติมอบตัวให้กับเขานั้นมันเท่ากับเธอเป็นได้เพียงแค่นางบำเรอเท่านั้น... มันเท่ากับเธอทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลให้ย่อยยับด้วยน้ำมือของตนเอง จริงอยู่... เธอเคยเสนอตัวให้เขามาแล้วครั้งหนึ่ง... หรือไม่ก็เกือบจะเป็นเช่นนั้น... แต่สิ่งที่เธอกระทำลงไปมันหมายถึงการช่วยชีวิตผู้คนในเผ่าอีกนับพัน และคนเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เธอรักทั้งสิ้น
และยิ่งกว่านั้น ตอนที่เธอเสนอตัวออกไป มันก็เป็นยามที่เธอกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับรสจูบและการเล้าโลมของเขา แต่ขณะนี้เธอมองเห็นแล้วว่าข้อต่อรองที่เขากำลังเสนอมานั้นคืออะไร
ทางเบื้องหลัง เสียงไอของเบรนน่ารุนแรงขึ้นกว่าเดิมและโจนน์ก็ตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นหวาดหวั่นทั้งตัวเธอและน้องสาว
“ว่ายังไง เราจะตกลงกันได้ไหมล่ะ” เขาถามอย่างใจเย็น
โจนน์เชิดหน้าขึ้น สีหน้าของเธอยามนี้เหมือนถูกแทงข้างหลังจากบุคคลที่เธอไว้วางใจที่สุด
“ฉันมองท่านผิดไปมากทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านลอร์ด” เธอพูดอย่างเจ็บใจ “ตอนที่ท่านปฏิเสธฉันเมื่อสองวันก่อนฉันยกย่องนับถือท่านมาก เพราะตอนนั้นถ้าท่านจะให้สัญญาลมๆ แล้งๆ ยอมรับในสิ่งที่ฉันเสนอให้ แล้วท่านก็ยังบุกเข้าโจมตีแคชเชอร์ได้อยู่ดี ฉันก็คงไม่มีทางทำอะไรท่านได้เลย แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ฉันก็มองเห็นอยู่ว่าท่านเป็นคนไม่มีเกียรติคนป่าเถื่อนย่อมไม่มีเกียรติอยู่แล้ว”
รอยซ์มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชมที่แม้เธอจะอยู่ในสภาพจนตรอก แต่กระนั้นเธอก็ไม่ยอมลดทิฐิมานะเลยแม้แต่น้อย มันทำให้เขายิ้มออกมาไม่ได้
“ทำไม ข้อเสนอของฉันน่ะมันน่าขยะแขยงนักงั้นหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ยกมือขึ้นจับต้นแขนเธอไว้ “ที่จริงแล้วฉันไม่จำเป็นต้องต่อรองอะไรกับเธอเลยนะโจนน์ ซึ่งเธอเองก็รู้อยู่ ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาฉันจะจัดการกับเธอด้วยวิธีรุนแรงก็ย่อมทำได้”
โจนน์รู้ว่า ที่เขาพูดออกมานั้นมันเป็นความจริง แต่กระนั้นความชิงชังในตัวเขาก็ยังคงอยู่ เธอต้องต่อสู้กับความรู้สึกในใจตนเองที่จะไม่หลงเคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียงยามที่เขาพูดต่อ
“ฉันต้องการเธอ ซึ่งถ้ามันจะทำให้ฉันกลายเป็นคนป่าเถื่อนในสายตาของเธอก็ให้มันเป็นไป เพียงแต่ว่า ... ฉันไม่ต้องการความรู้สึกที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างเรา ถ้าเราสามารถพูดจากันได้ ฉันจะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุดรับรองว่าเธอจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยเมื่อเรานอนร่วมกันในเตียง มันอาจจะมีบ้างก็แต่เฉพาะครั้งแรกเท่านั้นหลังจากแล้วเธอก็จะมีแต่ความสุข”
ถ้ามันเป็นคำพูดของอัศวินธรรมดา ๆ คนหนึ่งเขาจะต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม แต่เมื่อคำพูดประโยคนี้หลุดออกมาจากปากนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินอังกฤษ ผลกระทบที่มันเกิดขึ้นย่อมรุนแรงนัก โจนน์ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า เนื้อตัวอ่อนเปียกลงเมื่อนึกถึงรสจุมพิตและความรู้สึกประหลาดล้ำยามที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ว่าไง... เธอจะรับข้อเสนอของฉันไหมล่ะ” รอยซ์ถามย้ำ นิ้วมือเรียวราวมือผู้หญิงลูบไล้อยู่กับต้นแขนราวไม่ตั้งใจ ครั้งนี้ดูจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับผู้หญิงอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล
โจนน์ลังเลใจอยู่เป็นครู่ รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางเลือกและแล้วเธอพยักหน้ารับต่อคำต่อคำพูดของเขาออกไป
“เธอแน่ใจนะ”
โจนน์รู้ว่าเขาหมายถึงความเต็มใจของเธอด้วย และครั้งนี้อาการลังเลดูจะใช้เวลานานกว่าครั้งแรก เธออยากจะเกลียดเขาเสียเหลือเกิน แต่ขณะที่ยืนเผชิญหน้ากับเขาเช่นนี้มันคล้ายกับมีความขัดแย้งบังเกิดอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ถ้าเขาเป็นคนอื่นที่จับตัวเธอมาเช่นนี้ เธอคงจะได้รับเคราะห์กรรมที่ไม่อาจประมาณได้ เธอประสานสายตากับเขาอย่างไม่พรั่น แม้ถึงคราวที่ต้องยอมจำนนเธอก็จะยอมอย่างมีศักดิ์ศรี
“ฉันแน่ใจ”
“งั้นฉันก็จะเชื่อคำพูดของเธอ” เขาตอบ และเสียงไออย่างรุนแรงก็ดังมาจากห้องเบรนน่าอีกครั้ง
โจนน์มองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ครั้งก่อนเมื่อเธอให้คำมั่นสัญญากับเขา รอยซ์กลับทำราวกับว่าคำพูดของเธอไม่มีความหมายแต่อย่างใดเลย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรอยู่แล้ว แม้แต่พ่อของเธอเองก็ยังมองเห็นว่าคำพูดของผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งไม่มีความหมาย
แต่เมื่อมาถึงเวลานี้ ดูเหมือนเอิร์ลเวสท์มอร์แลนด์เปลี่ยนใจเสียแล้วซึ่งสร้างความพิศวงให้กับเธอไม่น้อยมันทำให้เธอต้องออกไปว่า
“ฉันให้สัญญา” และเขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“งั้น ฉันก็จะเข้าไปในห้องนั่นกับเธอ และเธอก็บอกน้องสาวได้เลยว่าเราจะส่งตัวเขาไปที่สำนักนางชี แต่หลังจากบอกล่าวกันแล้วฉันไม่อนุญาตให้เธอกับน้องพบกันอีก”
“อ้าว... ทำไมล่ะ” โจนน์ร้องอย่างตกใจ
“เพราะฉันว่าตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาที่นี่ น้องสาวของเธอไม่ได้รู้ความเป็นไปในปราสาทฮาร์ดินมากพอที่จะเก็บไปรายงานให้ท่านพ่อของเธอรู้ได้หรอก เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องการให้เธอเอาความคิดใด ๆ ไปใส่สมองเขามากกว่านั้น... เธอน่ะคำนวณได้แม้กระทั่งความหนาของแนวกำแพงนั่นมากน้อยเท่าไหร่และรู้ด้วยว่าทหารทั้งหมดในกองทัพของฉันมีเท่าไหร่ จริงไหม”
“ไม่... ฉันจะไม่ไป... ถ้าพี่ไม่ไปด้วย... ” เบรนน่าร้องเมื่อรู้ว่าจะต้องถูกส่งตัวกลับสำนักนางชีเพียงลำพัง “โจนน์จะต้องไปกับฉันด้วย... ” สายตาเธอจับอยู่ที่ใบหน้าของเวสท์มอร์แลนด์ ในยามนี้โจนน์สัมผัสความร้อนใจของเบรนน่าที่แทบไม่ได้คิดถึงอาการเจ็บป่วยของตนเองเลย
แต่อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารของเวสท์มอร์แลนด์หนึ่งร้อยคนโดยมีสเตฟาน เวสท์มอร์แลนด์ เป็นหัวหน้าก็ขึ้นมาพร้อมที่จะเดินทางออกจากปราสาทแห่งนั้น
“รักษาตัวให้ดีนะ” โจนน์โน้มตัวลงไปหาเบรนน่าซึ่งนอนอยู่ในเกวียนมีที่นอนฟางปูลาดพร้อมหมอนหนุนศีรษะ
“ฉันคิดว่าเขาจะอนุญาตให้พี่ไปด้วยเสียอีก” เบรนน่าไอออกมาอย่างรุนแรง เมื่อค่อยยังชั่วขึ้นก็ตวัดสายตามองหน้าท่านเอิร์ลอย่างเคียดแค้น
“อย่าพูดเลย เดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่า ๆ ” โจนน์ประคองน้องให้นอนลง
รอยซ์ทำมือเป็นสัญญาณ และขบวนม้าก็เริ่มเคลื่อนออกจากที่ โจนน์ถอยห่างออกมา ธงสีน้ำเงินมีรูปหัวกะโหลกกระดูกไขว้อยู่ตรงกลางโบกสะบัดอยู่ในสายลมโจนน์รู้ว่า สัญลักษณ์ของบริตจะปกป้องเบรนน่าให้พ้นอันตรายจนกว่าจะถึงพรมแดน หลังจากนั้นถ้าทหารของลอร์ดเวสท์มอร์แลนด์ถูกโจมตี ชื่อของเบรนน่าจะเป็นเครื่องคุ้มกันตัวเธอได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้น รอยซ์ก็เดินกลับเข้าไปในปราสาทโดยมีโจนน์เดินตามไปด้วย สีหน้าของเธอบอกความปริวิตก
“ถ้าเธอห่วงเรื่องที่ฉันจะทวงสัญญาจากเธอตอนนี้ละก้อเลิกห่วงได้ เพราะว่าฉันมีงานเร่งด่วนต้องทำจนถึงเวลาอาหารค่ำ”
แท้ที่จริงแล้วโจนน์ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเท่าไรนัก
“ไม่... ไม่ใช่... ฉันเพียงแต่รู้สึกแปลกใจว่า... ทำไมอัศวินที่เพิ่งเดินทางออกจากปราสาทครู่นี้ถึงได้ถือธงที่มีตราสัญลักษณ์ของท่าน ทำไมถึงไม่ใช้ธงของพระเจ้าแผ่นดินล่ะเจ้าคะ”
“ก็เพราะว่าทหารพวกนั้นเป็นทหารของฉันไม่ใช่ของพระเจ้าแผ่นดินน่ะสิ” เขาตอบเรื่อย ๆ ราวไม่สนใจ
โจนน์ชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินอยู่ เธอไม่โง่จนถึงกับจะไม่รู้ว่า พระเจ้าเฮนรีที่ 7 นั้นทรงตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ว่า ขุนนางคนใดที่มีกองทหารเป็นของตนเองถือว่าเป็นศัตรูแผ่นดิน
“แต่... เท่าที่ฉันรู้มา พวกขุนนางจะมีทหารของตัวเองไม่ได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“แต่สำหรับฉัน ทรงถือว่าเป็นข้อยกเว้น”
“เพราะอะไรหรือเจ้าคะ”
“บางที... ” เขาเลิกคิ้วมองหน้าเธออย่างเยาะหยัน “อาจจะเป็นเพราะทรงไว้วางพระราชหฤทัยละมัง” เขาไม่ได้ให้ความกระจ่างกับเธอมากกว่านั้น
