บทที่ 2
ในยามนี้รอยซ์บังเกิดความรู้สึกราวกับเธอเป็นใครอีกคนหนึ่ง แต่เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่เข้มคู่นั้นก็ยืนยันว่าเธอคือ โจนน์ แคชเชอร์ คนเดิม
เธอเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า และความต้องการที่เขามีต่อเธอ ไม่ว่าจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเพียงไรก็กลายเป็นสิ่งที่บังคับอยู่ว่า เขาจะต้องได้เธอมาเป็นของเขาให้จงได้ รอยยิ้มอย่างชื่นชมฉาบขึ้นบนใบหน้าเมื่อเขาเอ่ยออกมาว่า
“เธอเปลี่ยนไปมาก”
“คงเหมือนกิ้งก่าสินะเจ้าคะ” คำย้อนของเธอทำให้รอยซ์ต้องกลั้นหัวเราะไว้
“ฉันหมายถึงว่า แต่งตัวอย่างนี้แล้วดูเธอแปลกตาไปมากจริง ๆ ”
โจนน์ไม่ทันสังเกตเห็นแววแห่งความแหนหวงที่ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นั้นยามที่มันกวาดไปทั่วเรือนร่างทั้งนี้เพราะเช้าวันนี้เธอเองก็สังเกตเห็นอยู่ว่า เขาเองก็หล่อมากเมื่ออยู่ในชุดทูนิคสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งตัดเย็บจากผ้าขนสัตว์เนื้อดี ช่วงไหล่นั้นผึ่งผาย ตรงช่วงเอวที่เป็นเข็มขัดปักประดับด้วยเส้นไหมเงิน และมีดาบสั้นซึ่งปลอกประดับด้วยไพลินเม็ดเขื่องเหน็บอยู่ตรงเอว
เป็นครู่เธอจึงรู้สึกว่าเขากำลังจับตามองเรือนผมเธออยู่ มันทำให้โจนน์นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่มีผ้าประดับศีรษะ จึงจับหมวกฮู้ดที่เย็บติดอยู่กับคอเสื้อขึ้นมาสวมทับมันล้อมกรอบนวลหน้า และทิ้งชายลงตรงช่วงไหล่อย่างอ่อนหวาน
“สวยเหลือเกิน” รอยซ์พึมพำออกมา “แต่ฉันชอบให้เธอปล่อยผมแบบเดิมมากกว่า”
โจนน์รู้สึกอ่อนใจขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงว่า วันนี้เขาเริ่มหว่านเสน่ห์ใส่เธออีกครั้งแล้ว เธอรู้สึกว่าเวลาที่เขาโมโหเธอยังสามารถจัดการกับเขาได้ง่ายกว่าที่เขาจะมาทำดีกับเธอเช่นนี้
“ท่านเองก็คงจะทราบอยู่นะเจ้าคะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็นเมื่อเขาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอทรุดตัวลงนั่ง “ว่าจะมีก็แต่ผู้หญิงวัยรุ่น หรือคนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวเท่านั้นที่เปลือยเรือนผมได้ สำหรับหญิงสาวแล้วสมควรจะต้องปกปิด... ”
“เสน่ห์กับความงามไว้ใช่ไหม” สายตาของเขายามนี้วนเวียนอยู่แต่เรือนผม ใบหน้าและทรวงอกของเธอเท่านั้น
“เจ้าค่ะ”
“นั่นเป็นวิธีที่อีฟยั่วให้อดัมหลงเสน่ห์งั้นหรือ” เขายั่วล้อ และโจนน์ซึ่งกำลังเอื้อมไปที่ชามใส่พอร์ริดจ์ก็ตอบสั้น ๆ ว่า
“เจ้าค่ะ”
“อ้าว... ก็ไหนว่าอีฟให้อดัมกินแอปเปิ้ลไงล่ะ ตอนนั้นเขากำลังหิวไม่ใช่หรือ ไม่ได้มีอารมณ์รักสักหน่อย” เขายังยั่วเย้าต่อ
โจนน์นึกไปถึงว่าเธอเองก็เคยอยู่ในอ้อมแขนของเขามาถึงสองครั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่ยอมให้คำพูดของเขาเข้ามามีอิทธิพลต่อจิตใจของเธอได้อีก เธอหยิบยกปัญหาที่ค้างคาอยู่ในใจขึ้นมาพูดด้วยการใช้น้ำเสียงอย่างระมัดระวัง
“ท่านจะเลิกห้ามไม่ให้ฉันกับน้องสาวพบกันได้หรือยังล่ะเจ้าคะ”
“แล้วเธอปรับปรุงความประพฤติของตัวได้หรือยังล่ะ” เขาเลิกคิ้วถาม
วันนี้โจนน์รู้สึกเหมือนกันว่าเธอใจเย็นอย่างประหลาดแม้ว่าท่าทีทระนงของเขาจะสร้างความโมโหให้เกิดขึ้น แต่เก็บังคับจิตใจไว้ว่าเธอจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เขาเห็น
“ได้แล้วเจ้าค่ะ”
รอยซ์ดูจะพอใจกับคำตอบนั้น เขาหันไปทางคนรับใช้ออกคำสั่งว่า
“ไปเรียนคุณหญิงเบรนน่าว่าพี่สาวของเธอมารออยู่ที่โต๊ะอาหารนี่แล้ว” จากนั้นเขาก็หันกลับมาทางโจนน์ “ลงมือกินได้แล้ว”
“ฉันกำลังรอท่านอยู่ค่ะ”
“ฉันไม่หิว” เขาตอบออกไป ทั้งที่เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ที่ผ่านมาเขายังหิวจนแสบท้อง แต่บัดนี้ราวกับการได้เห็นหน้าเธอมันช่วยให้อิ่มขึ้นมาได้
โจนน์จึงเริ่มลงมือกินอาหารโดยไม่พูดจาตอบโต้ต่อไปอีก แต่เพียงครู่ก็รู้สึกว่าเขากำลังจับตามองเธออยู่ ทำให้ชะงักอาหารที่กำลังจะส่งเข้าปาก
“ท่านมองอะไรเจ้าคะ”
แต่ไม่ทันที่รอยซ์จะตอบอะไรออกไป คนรับใช้ที่ส่งให้ไปตามเบรนน่าก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณหญิงขอรับ... น้องสาวของคุณหญิง... รีบขึ้นไปดูอาการเถอะขอรับ เธอไอหนักเหลือเกิน เสียงไอนั่นก็น่ากลัวมากทีเดียวนะขอรับ”
“คุณพระช่วย... ไม่... ” โจนน์หน้าตาซีดเผือดขึ้นมาทันที “ต้องไม่ใช่ตอนนี้...ต้องไม่ใช่ที่นี่...”
“เธอพูดอะไร” รอยซ์ซึ่งเผชิญเหตุการณ์เฉพาะหน้าในสนามรบมามากมาย เอื้อมมาจับมือเธอไว้อย่างใจเย็น
“เบรนน่าเป็นโรคในทรวงอกเจ้าค่ะ” โจนน์พูดเป็นเชิงอธิบาย “อาการตอนแรกเริ่มจะไอหนักมาก ไอจนหายใจไม่ออกทีเดียว”
เธอพยายามจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเขา แต่รอยซ์จูงเธอออกจากห้องนั้น
“คงมีทางรักษาให้ค่อยยังชั่วได้หรอกนะ” เขาพูดเหมือนปรารภกับตนเอง
“ที่นี่คงไม่มีทางหรอกค่ะ” โจนน์รู้สึกตกใจยิ่งนัก “ป้าเอลิเนอร์ของฉันมีความรู้เกี่ยวกับตัวยาสมุนไพรแล้วก็มีความสามารถในการรักษาโรคเก่งกว่าใครในสก๊อตแลนด์ ยาแบบเดียวกันนั่นจะมีอีกแห่งหนึ่งก็ที่สำนักนางชีเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ตัวยามันมีอะไรมั่งล่ะ บางที... ”
“ฉันไม่รู้เลย” โจนน์ร้องฉุดให้เขาวิ่งตามเธอขึ้นบันไดไปด้วย “รู้แต่ว่าจะต้องเอายาสมุนไพรมาต้มจนควันขึ้นแล้วเบรนน่าก็จะสูดควันนั่นเข้าไป จะช่วยให้อาการคลายลงได้”
รอยซ์ผลักประตูห้องนอนของเบรนน่าให้เปิดออกและโจนน์ก็วิ่งผวาเข้าไปที่เตียงนอน ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของน้องสาว
“โจนน์... ” เบรนน่าเรียกพี่สาวเสียงแผ่ว จับมือโจนน์ไว้แน่น แต่ก็พูดได้เพียงแค่นั้นเพราะเกิดอาการไออย่างหนักจนตัวโยน “ฉัน... ฉัน... ไม่... สบายอีกแล้ว” เธอร้องอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
“ไม่ต้องตกใจนะ... ” โจนน์ปลอบโยน โน้มตัวลงปัดปอยผมตรงหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อให้น้องสาว “ไม่ต้องกลัว... ”
เบรนน่าเลื่อนสายตาไปมองบุรุษที่ยื่นตระหง่านอยู่เหนือเตียง
“เราต้องกลับบ้านนะโจนน์” เธอหันไปมองหน้าเขา “ฉัน... ” เธอไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง สีหน้าบ่งบอกความทุกข์ทรมานอย่างหนัก “ฉัน...ต้องการยา... ”
โจนน์หันไปมองหน้ารอยซ์อย่างวิงวอน
“อนุญาตให้น้องฉันกลับบ้านเถอะนะเจ้าคะ... ”
“ไม่... ฉันคิดว่า...”
โจนน์ผลุดลุกขึ้นยืน ทำมือเป็นสัญญาณให้รอยซ์เดินตามเธอออกไปนอกห้อง และรีบปิดประตูตามหลังลง เพื่อเบรนน่าจะได้ไม่ได้ยินเรื่องที่พูดจากันอยู่ สีหน้าของเธอยามเผชิญหน้ากับเขานั้นบอกความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าเบรนน่าไม่ได้ยาขนานนั้นเขาจะต้องตายแน่ เมื่อคราวก่อนหัวใจหยุดเต้นมาทีหนึ่งแล้ว”
จริง ๆ แล้วรอยซ์อยากเชื่อว่า สาวน้อยผมบลอนด์กำลังเสี่ยงอยู่กับความตาย แต่ดูเหมือนโจนน์จะเชื่อมั่นในเรื่องนี้ และเท่าที่เขาเห็นด้วยสายตาตนเอง ก็ดูเหมือนเบรนน่าจะไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใดเลย
โจนน์สังเกตเห็นอาการลังเลที่เกิดขึ้นกับเขา ท่าทางของเขาเหมือนจะปฏิเสธ โจนน์บอกกับตัวเองว่าเธอจะต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะให้เขาใจอ่อนลงให้ได้
“ท่านเคยบอกว่าฉันเป็นคนจองหอง...ซึ่งฉันก็ยอมรับนะคะว่าตัวเองเป็นยังงั้นจริง ๆ” เธอทาบฝ่ามือลงบนแผงอก “แต่ถ้าท่านยอมปล่อยเบรนน่าไป ฉันขอรับรองว่าจะทำทุกอย่างที่ท่านสั่งให้ทำ แม้แต่มันจะเป็นงานชั้นต่ำเช่นการขัดถูพื้นหรืออะไรก็ตาม ฉันจะทำอาหารให้ท่านกินด้วยนะคะ ฉันขอสาบานว่าจะตอบแทนบุญคุณท่านครั้งนี้อย่างเต็มที่”
รอยซ์ก้มลงมองฝ่ามือเล็ก ๆ ที่ทาบอยู่กับแผงอกในยามนี้ และความปรารถนาในตัวเธออย่างรุนแรงก็บังเกิดขึ้น และนั่นเป็นเพียงอิทธิพลจากมือของเธอเท่านั้น เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จึงมีอิทธิพลเหนือจิตใจเขานัก แต่เขาก็เข้าใจในความต้องการที่ตนเองมีต่อเธอ แต่เขาอยากจะได้เธอมาด้วยความเต็มใจ
แต่การจะทำอย่างนั้นได้เขาจะต้องทำในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการทำอย่างที่สุด นั่นคือ... จะต้องปล่อยตัวประกันคนหนึ่งไป...
