บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

แม้ว่าอาหารจะถูกเก็บไปนานแล้ว แต่รอยซ์ก็ยังคงนั่งอยู่ในห้องโถง จับตามองดูเปลวไฟในเตาผิงอย่างใจลอยในตอนแรกเขาตั้งใจไว้ว่า คืนนี้จะเป็นคืนแรกที่เขาได้ร่วมภิรมย์กับโจนน์ แต่แล้วมันก็มีปัญหาและเรื่องต่าง ๆ เข้ามามากมาย ซึ่งแต่ละเรื่องนั้นล้วนแล้วแต่ต้องการการตัดสินใจจากเขาทั้งสิ้น

แม้ว่าขณะนี้จะดึกมากแล้ว แต่เขาก็ยังตั้งใจจะขึ้นไปหาเธอบนห้องนอนอยู่ แต่ก็รู้อยู่ว่าในอารมณ์เช่นนี้การจะได้เธอมาเป็นของเขาก็คงจะทำได้ด้วยการใช้กำลังบังคับเท่านั้น ซึ่งเขาไม่ปรารถนาจะให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อยังจดจำความอ่อนหวานนุ่มนวล ยามที่เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาได้

กอดเฟรย์กับออสเทซเดินเข้ามาในห้องโถง หน้าตาชื่นบานแจ่มใส ซึ่งบอกให้รู้ว่าเขาได้ปลดเปลื้องความต้องการตามธรรมชาติกับนางบำเรอที่อยู่ในปราสาทมาเรียบร้อยแล้ว ความคิดบางอย่างผ่านเข้ามาในสมอง รอยซ์มองหน้ากอดเฟรย์และเอ่ยขึ้นว่า

“สั่งทหารยามให้ตรวจตราทุกคนที่จะผ่านเข้ามาในประตูปราสาทอย่างละเอียด และรายงานให้ผมรู้โดยตรง”

อัศวินผู้นั้นผงกศีรษะรับคำสั่ง แต่สีหน้าของเขาบอกความฉงนเมื่อเอ่ยออกมาว่า

“ถ้าคุณคิดถึงเรื่องแคชเชอร์ละก้อ กว่าที่พวกมันจะรวบรวมกำลังทหาร แล้วก็เดินทางมาถึงที่นี่ได้ก็เห็นจะอีกตั้งเดือนละมั้ง”

“ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องการถูกบุกเข้าโจมตีหรอก แต่เป็นห่วงเรื่องที่ว่าอาจจะมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายเอากับเราก็ได้ ถ้าแคชเชอร์คิดจะโจมตีฮาร์ดินละก้อ เท่ากับเขาเสี่ยงกับการเสียลูกสาวถึงสองคนในการสู้รบ จะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากน้ำมือคนของเขาเองหรือว่า... เขาอาจจะคิดเอาเองว่าเป็นฝีมือเราก็ตาม... ” รอยซ์หยุดเว้นระยะไปเป็นครู่

“ในสถานการณ์อย่างนี้เราไม่ห่วงเรื่องการโจมตีแน่นอน แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นมันไม่มีทางเลือกก็จะต้องหาวิธีที่จะเอาตัวลูกสาวออกไปให้ได้ และการจะทำยังงั้นได้เขาจะต้องส่งคนเข้ามาในนี้เพื่อดูช่องทางเสียก่อน แต่ผมก็ได้สั่งหัวหน้าคนรับใช้ไว้แล้วว่าไม่ให้รับคนใช้เพิ่ม นอกเสียจากจะเป็นพวกที่อยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น”

เมื่ออัศวินทั้งสองพยักหน้าอย่างเข้าใจ รอยซ์ก็ลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังบันไดหินตรงสุดปลายห้องโถง แต่แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น หันมามองอัศวินทั้งสองอยู่

“เออ... ว่าแต่สเตฟานน่ะ พูดหรือทำอะไรให้คุณทั้งสองคิดว่าเขาเริ่มจะเกิด... ความสนใจในตัวแม่สาวน้อยคนนั้นมั่งหรือเปล่า” คิ้วเข้ม ๆ ขมวดเข้าหากัน

อัศวินทั้งสองซึ่งสูงอายุกว่าสเตฟานด้วยกันทั้งคู่ ต่างมองหน้ากันแล้วก็หันมามองรอยซ์ ต่างส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่เห็นมีอะไรนี่ คุณถามทำไม” ออสเทซเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น

“ก็เพราะว่า... ” รอยซ์ตอบอย่างระมัดระวัง “เมื่อตอนบ่ายวันนี้เขาพูดจาออกรับแทนแม่สาวคนนั้นเต็มที่ตอนที่ผมสั่งให้พี่น้องสองคนแยกจากกันน่ะสิ” เขายักไหล่ก่อนจะหันหลังเดินขึ้นบันไดไปสู่ห้องนอนของตน...

ในชุดเสื้อนอนผ้าขนสัตว์สีครีม โจนน์ยืนอยู่ตรงหน้าต่างเล็ก ๆ ภายในห้องนอน ทอดสายตาเหม่อมองเทือกเขาที่เขียวครึ้มด้วยป่าไม้ซึ่งอยู่เลยกำแพงปราสาทออกไป ในท่ามกลางแสงแดดยามเช้าเธอจับตามองแนวกำแพงอันเป็นปราการที่แน่นหนารายล้อมอยู่รอบตัวปราสาท ครุ่นคิดหาทางที่จะหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ... พยายามจะมองให้เห็นประตูลับสักแห่ง

เธอเชื่อว่าที่ปราสาทแห่งนี้ย่อมจะต้องมีประตูลับเช่นเดียวกับที่แคชเชอร์ซึ่งอำพรางไว้ด้วยพุ่มไม้ใบหนาปราสาทแห่งไหนก็จะต้องมีประตูลับด้วยกันทั้งนั้น เพื่อที่ว่าผู้คนที่อยู่ในปราสาทจะได้ใช้เป็นเส้นทางในการหลบหนี เมื่อมีข้าศึกศัตรูจู่โจมเข้ามา

แต่นอกจากจะไม่เห็นประตูอย่างที่ว่านั่นแล้ว กำแพงที่มีความหนาสิบฟุต ก็ยังไม่มีรอยแยกที่เธอกับเบรนน่าจะแทรกตัวผ่านออกไปได้เลย และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองบนกำแพงก็เห็นทหารยามเดินตรวจตราอยู่บนทางเดินขวักไขว่ สายตาของพวกเขากวาดไปทั่วถนนเบื้องล่างและแนวสันเขาที่รายล้อมตัวปราสาทอยู่ ทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกจนช่ำชองกับเส้นทางที่ข้าศึกจะยกเข้ามาโจมตีได้

ซึ่งนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ท่านเอิร์ลเจ้าของปราสาทแห่งนี้ไม่ได้ละเลยต่อความปลอดภัยแม้แต่น้อย ทหารยามที่รักษาการณ์ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม ต่างยืนยามอยู่ห่างจากกันไม่ถึงยี่สิบฟุตเสียด้วยซ้ำ

ท่านเอิร์ลได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า บัดนี้ท่านบิดาได้รับการแจ้งให้ทราบแล้วว่า ทั้งตัวเธอและเบรนน่าได้ตกเป็นเชลยที่เขาควบคุมตัวไว้ ถ้าท่านพ่อมีความประสงค์จะบุกเข้ามาช่วยเหลือเธอจริง การเดินทางจากแคชเชอร์มาถึงปราสาทฮาร์ดินแห่งนี้จะใช้เวลาไม่เกินห้าวัน แต่ท่านพ่อจะบุกปราการที่มีทหารคอยดูแลอย่างแน่นหนาเช่นนี้มาได้อย่างไร

เธอมองไม่เห็นทางเลย และมันก็ทำให้เธอต้องหันมาเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดอยู่ในใจโดยตลอดอีกครั้งว่าทำอย่างไรจึงจะหลบหนีออกไปจากที่นี้ได้

เสียงท้องร้องเตือน ทำให้โจนน์คิดขึ้นมาได้ว่า ตั้งแต่เที่ยงวันวานเธอยังไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องเลย เธอจึงหันออกจากหน้าต่างเพื่อลงมือแต่งตัว และลงไปยังห้องโถงชั้นล่าง บอกกับตัวเองอยู่ว่า การอดอาหารมันไม่ใช่หนทางในการแก้ปัญหาแต่อย่างใดทั้งสิ้น

เธอเดินตรงไปยังหีบใส่เสื้อผ้าที่พวกคนรับใช้ได้แบกเข้ามาตั้งไว้ให้ในห้องตั้งแต่เมื่อเช้า รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าเธอไม่ลงไปแล้ว ท่านเอิร์ลจะต้องขึ้นมาลากตัวลงไป แม้ว่าเขาจะต้องพังประตูเข้ามาก็ตาม

เช้าวันนี้เธอได้อาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวถึงเท้า และทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้นมาก

หีบเสื้อผ้าใบแรกเต็มไปด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ซึ่งเป็นสมบัติของท่านผู้หญิงเจ้าของปราสาทคนเดิมกับธิดาทั้งหลายเสื้อผ้าหลายชุดทำให้โจนน์คิดถึงมารดาเลี้ยงกับป้าเอลิเนอร์ผู้น่ารัก มันเป็นแบบที่นางชอบ แม้ว่าเสื้อผ้าหรูหราเหล่านี้จะหมดสมัยไปแล้ว แต่มันก็ตัดเย็บด้วยแพรไหมที่ได้รับการปักประดับด้วยไข่มุกและอัญมณีอันมีค่าแต่เนื่องจากแต่ละชุดไม่เหมาะที่จะสวมใส่ในโอกาสนี้ ไม่เหมาะกับสภาพการเป็นเชลยที่นี่ โจนน์จึงเปิดหีบใบต่อไป

ความเป็นผู้หญิงทำให้เธออุทานออกมาด้วยความตื่นใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าหลากหลายที่อยู่ในหีบใบนี้ หยิบชุดขนสัตว์แต่ละชุดออกมาด้วยความระมัดระวัง

เธอเพิ่งจะแปรงผมเสร็จตอนที่คนรับใช้ขึ้นมาเคาะตรงหน้าประตูห้อง และร้องบอกอยู่ว่า

“คุณหญิงเจ้าคะ ท่านลอร์ดให้ดิฉันมาเรียนว่า ถ้าคุณหญิงไม่ลงไปที่ห้องโถงภายในห้านาทีนี้ละก้อ ท่านจะขึ้นมาเอาตัวคุณหญิงลงไปเองเจ้าค่ะ”

โจนน์ไม่อยากให้สาวใช้คิดว่าเธอจะรับฟังคำขู่นั้นด้วยอาการกลัวลาน จึงร้องตอบออกไป

“กลับไปเรียนท่านเอิร์ลว่าฉันกำลังจะลงไปอยู่แล้ว”

โจนน์รอเวลาอยู่อีกครู่ใหญ่จึงได้เดินออกจากห้องนอน บันไดที่ทอดลงไปสู่ห้องโถงชั้นล่างค่อนข้างแคบชัน ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่ปราสาทแคชเชอร์ ที่ต้องออกแบบไว้เช่นนั้นก็เพื่อป้องกันเวลาที่ข้าศึกบุกขึ้นบันไดมา ความแคบของช่องทางย่อมไม่สะดวกในการแกว่งดาบเข้าประหัตประหารทหารในปราสาทที่ทำการต่อสู้อยู่ได้

รอยซ์นั่งจับตามองบันไดเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมา สีหน้าเครียดเคร่งด้วยความไม่พอใจที่ต้องรอเธออยู่นานมาก ขณะนี้ในห้องโถงแทบจะไม่มีใครเหลืออยู่ นอกจากอัศวินไม่กี่คนที่ยังอ้อยอิ่งอยู่กับเหล้าเอล และคนรับใช้ที่กำลังช่วยเก็บโต๊ะอาหารที่อัศวินหลายคนได้ลุกออกไปแล้ว

พอกันที... เวลาของเธอหมดลงแล้ว... รอยซ์คิดอย่างตัดสินใจ เลื่อนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ด้วยฤทธิ์แรงแห่งโทสะ...

แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักงันไป เพราะผู้กำลังเดินลงมาจากบันไดในชุดสีเหลืองราวแสงตะวัน คือโจนน์ แคชเชอร์ การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบสุภาพสตรีในราชสำนักทำให้สภาพของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่โจนน์ที่เขาเคยเห็นจนคุ้นตา ในยามนี้เธอคือหญิงสาววัยรุ่นผู้งามสง่าเรือนผมที่หวีแสกกลางสีแดงแกมทองนั้นเป็นลอนยาวสยายลงมาจนถึงสะเอว เป็นภาพที่งามประทับใจเขาเป็นที่สุด

คอเสื้อที่เป็นตัววีแหลมลงนั้นเผยให้เห็นเนินทรวงที่เอิบอิ่มด้วยวัยสาว เนื้อผ้าที่เนียนนุ่มทิ้งตัวลงตามแนวโค้งของเนินสะโพก แขนเสื้อพองพลิ้วลงมารัดรอบอยู่ตรงขอบข้อมือ ดูอ่อนหวานนุ่มนวลและเน้นความเป็นผู้หญิงของเธอยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel