บทที่ 8
ยที่สูงใหญ่ ผมดำสนิท สวมเสื้อคลุมสีดำที่ปลิวไสวอยู่ทางด้านหลังด้วยแรงลมราวกับมีจิตวิญญาณของมันเองแสงจากคบเพลิงที่ส่ายไหว ทำให้ใบหน้าของเขาน่าดูน่ากลัวขึ้นกว่าความเป็นจริง และยิ่งในยามที่มันอาบอยู่ด้วยฤทธิ์แรงแห่งโทสะเช่นนี้ยิ่งทำให้ดูโหดเหี้ยมดุดัน
ความเหี้ยมเกรียมฉายแสงอยู่ในดวงตา เปลวเพลิงประจุอยู่ในแววตาจนแดงก่ำ และยิ่งประกอบเข้ากับช่วงไหล่ที่หนั่นแน่นด้วยกล้ามเนื้อ แผงอกกว้างนั้น ทำให้โจนน์แน่ใจยิ่งขึ้นว่า บริตสามารถทำได้ในสิ่งที่ล้วนเป็นความอำมหิตโหดร้าย
จงตายอย่างกล้าหาญ... จงตายอย่างนักรบ...
เมื่อความคิดดังกล่าวผ่านเข้าไปในสมอง โจนน์ก็สะบัดหน้าฝังเขี้ยวลงตรงข้อมือเขาเต็มเหนี่ยว
เธอมองเห็นความวาวโรจน์ฉายแสงขึ้นในดวงตาคู่นั้นเพียงชั่วแวบ ก่อนที่ฝ่ามือกำยำจะตวัดเปรี้ยงลงบนใบหน้ากระทบเข้ากับซีกแก้มจนโจนน์ล้มคว่ำลง สัญชาตญาณทำให้หญิงสาวขดตัวเพื่อป้องกันตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็รอเวลาอยู่ แม้ว่าความเจ็บปวดทำให้ทุกปลายประสาทสั่นเร่าขึ้น
เสียงมนุษย์ร่างยักษ์กึกก้องอยู่เหนือร่าง เพียงแต่ว่าครั้งนี้มันมีความสงสัยแฝงอยู่ด้วย
“ฉันอยากรู้นักว่าแกไปทำอะไรมา” รอยซ์ถามน้องชายอย่างกราดเกรี้ยว “แค่ที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหามันยังไม่พออีกหรือไง เวลานี้พวกทหารมันอดอยากอ่อนเพลียจะแย่กันอยู่แล้ว แต่แกยังไปจับอีนังสองคนนี้มาก่อความเดือดร้อนให้กับฉันอีก”
ก่อนที่น้องชายจะทันตอบอะไรออกมา รอยซ์ก็หันไปออกคำสั่งให้คนอื่น ๆ ออกไปให้พ้นจากที่นั้น และแล้วก็มองมายังร่างของพี่น้องสองสาวอีกครั้ง สังเกตเห็นว่าคนหนึ่งยังหมดสติอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ขดตัวนิ่งราวลูกบอลล์เนื้อตัวสั่นระริกด้วยความตกใจกลัว จะอย่างไรก็ตาม เขามีความสนใจในผู้หญิงเจ้าอารมณ์คนนั้นมากกว่าคนที่หมดสติ
“ลุกขึ้น” เขาสั่งเสียงกร้าวใช้ปลายรองเท้าบู๊ทเขี่ยร่างโจนน์ “เมื่อกี้นี้ยังเก่งนักนี่ ตอนนี้จะมานอนตัวสั่นอยู่ ทำไม ลุกขึ้น... ”
โจนน์คลายตัวออกช้า ๆ ใช้มือข้างหนึ่งยันร่างพยุงตัวลุกขึ้น แต่ก็ยังซวนเซไปมา รอยซ์หันไปทางน้องชาย
“ฉันกำลังรอฟังคำตอบของแกอยู่ สเตฟาน”
“ผมจะตอบก็ได้ แต่ว่าเลิกตะโกนใส่หน้าผมยังงี้เสียทีสิ ผู้หญิงสองคนนี้คือ…”
“นางชี” รอยซ์สวนกลับไปทันที จับตามองเครื่องหมายกางเขนที่ห้อยอยู่ตรงคอของโจนน์ และแล้วก็กวาดสายตามองไปทั่วร่างสังเกตเสื้อผ้าชุดที่เธอกับน้องสาวสวมใส่อยู่ ความสำนึกในอะไรบางอย่างทำให้เขาแทบจะสะอึกออกมาด้วยความละอายใจ “พระเจ้า... นี่เจ้าไปจับนางชีมาบำเรอความสุขของพวกทหารหรือไง” น้ำเสียงของเขากราดเกรี้ยวยิ่งนัก “ข้าอยากจะฆ่าเสียนักกับไอ้ความโง่เง่าของเจ้าครั้งนี้...นี่มันอะไรกันโว้ย... ”
“อย่าโวยวายไปหน่อยเลยน่า เดี๋ยวพอผมเล่าให้ฟังว่าอะไรเป็นอะไรพี่ก็จะไม่ด่าว่าผมยังงี้หรอก” สเตฟานพูดเรียบ ๆ “ฟังให้ดีนะพี่ชายที่รัก...ผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพี่ขณะนี้น่ะคือ เลดี้โจนน์ ลูกสาวคนโตผู้เป็นสุดที่รักของลอร์ดแคชเชอร์ยังไงล่ะ” เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจ
รอยซ์จ้องหน้าน้องชายอย่างแปลกใจ มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวกำและคลายสลับกันอยู่ ขณะที่เขาพิจารณาใบหน้าที่ขะมุกขะมอมของโจนน์
“ฉันว่า แกนี่ท่าจะบ้าไปแล้วละมั้งสเตฟาน หรือไม่ก็เชื่อข่าวลือที่มันกระหึ่มอยู่รอบตัวมากเกินไป ไม่ก็คงจะต้องได้ยินได้ฟังอะไรสักอย่างที่มันผิด ๆ มาแน่ เพราะที่ฉันรู้มาน่ะ มันมีคำร่ำลือมานานนักหนาแล้วว่าลูกสาวคนโตของแคชเชอร์น่ะ เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในแผ่นดินเชียวนะ”
“ไม่เคยมีใครมาหลอกผมได้หรอก นี่ละลูกสาวตัวจริงของเขา ผมได้ยินคำยืนยันนั่นจากปากของเขาเองเสียด้วยซ้ำ”
นิ้วแข็ง ๆ เอื้อมมาจับปลายคางให้โจนน์เงยหน้าขึ้น รอยซ์พิจารณาใบหน้าของเธออยู่ในท่ามกลางแสงไฟที่วับแวม คิ้วเข้ม ๆ คู่นั้นขมวดเข้าหากัน และแล้วรอยยิ้มอย่างเหยียดหยันก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
“ใครกันนะที่ช่างพูดเสียเหลือเกินว่าเธอเป็นคนสวย” เขามีเจตนาจะเหยียดหยามเธออย่างเห็นได้ชัด “นี่น่ะเรอะอัญมณีเม็ดงามแห่งสก๊อตแลนด์”
เขาทันเห็นแววแห่งความโกรธเคืองฉายฉาบขึ้นบนใบหน้าโจนน์ ขณะที่เธอสะบัดหน้าหนีไปเสียทางหนึ่ง แต่แทนที่จะชื่นชมในความกล้าหาญของเธอ บริตกลับโมโหทุกครั้งที่เขาได้ยินชื่อแคชเชอร์ ความเดือดดาลจะผุดพลุ่งขึ้นความแค้นราวเปลวเพลิงที่โหมกระพืออยู่ในอก
“ตอบฉันมาสิ” เขาตวาดใส่ด้วยเสียงดังลั่น
ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นกับเบรนน่านั้น แทบจะทำให้เธอเป็นบ้า สาวน้อยมีความคิดอยู่ว่า โจนน์ยอมรับคำประณามนั้นอย่างสงบ ทั้งที่มันเป็นความผิดของเธอเองแท้ๆ เธอเกาะชายเสื้อคลุมพี่สาวไว้ยึดเป็นหลักประคองตัวขึ้น และยืนแนบร่างอยู่กับพี่สาวราวเป็นฝาแฝดกันมาตั้งแต่เกิด
“พวกเขาไม่ได้เรียกโจนน์ยังงั้นหรอก... ” เบรนน่าร้องออกไปอย่างละล่ำละลัก มีความรู้สึกอยู่ว่า การนิ่งเงียบของโจนน์เท่ากับเป็นการยอมรับในทุกคำพูดของผู้ชายคนนี้ “นั่นมันเป็นชื่อที่พวกเขาเรียกข้าต่างหากล่ะ”
“ก็แล้วเธอเป็นใครกันล่ะ” เสียงตวาดกราดเกรี้ยวดังสนั่นอยู่ในหู
“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น” โจนน์ระเบิดออกมา หมดหวังที่จะฝันว่าเบรนน่าจะได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระถ้าบริตรู้ว่าเธอเป็นแคชเชอร์คนหนึ่ง “ผู้หญิงคนนี้คือซิสเตอร์เบรนน่าแห่งวัดแบร์บริต”
“จริงหรือเปล่า” บริตหันไปกระชากเสียงถามเบรนน่า
“ก็ใช่น่ะสิ” โจนน์กลับเป็นผู้ตอบแทน
“ไม่จริง...” เบรนน่าตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาออกไปพร้อมกัน
รอยซ์ เวสท์มอร์แลนด์ กำมือแน่น ต้องหลับตาลงไว้เพื่อไม่ให้ตนเองลุแก่โทสะอีกครั้ง บอกตัวเองอยู่ว่านี้มันเป็นฝันร้านอันเหลือเชื่อจริง ๆ
ภายหลังจากที่การสู้รบสิ้นสุดลง เสบียงที่จะใช้เลี้ยงทหารก็หมดตาม ไม่มีแม้แต่ร่มไม้ชายคาให้พักพิงและความอดทนก็พลอยสิ้นสุดตามไปด้วย
และขณะนี้ก็ยังมามีเรื่องนี้อีก...สมองที่สับสนทำให้เขาไม่อาจคิดอะไรได้โดยตลอดปลอดโปร่ง ไม่อาจจะหาคำตอบที่จริงแท้แน่นอนจากหญิงสาวสองคนนี้ได้ เขาเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจอย่างที่สุด เนื่องจากสามวันสามคืนที่ผ่านมาไม่ได้หลับนอนเลย เขาตวัดสายตามองไปทางเบรนน่าอีกครั้ง
“ถ้าเจ้าหวังจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปอีกสักชั่วโมงละก้อจงตอบความจริงแก่ข้าโดยเร็ว” แววตาคู่นั้นราวจะตรึงร่างเบรนน่าไว้ “ตอบมาสิว่าเป็นลูกสาวของลอร์ดแคชเชอร์ใช่หรือไม่ใช่กันแน่”
เบรนน่ารู้สึกฝืดคอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีเสียงหลุดลอดออกมาจากลำคอแม้แต่น้อย ได้แต่ยืนก้มหน้าและพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ แต่อย่างน้อยมันก็สร้างความพอใจให้กับรอยซ์ได้บ้าง สายตาที่เปี่ยมด้วยแววมาดร้ายของเขาตวัดมองไปทางแม่ชีสาวผู้ว่องไวปราดเปรียวราวนังแมวป่า และแล้ว... ก็หันไปออกคำสั่งกับน้องชาย
“ผูกไว้ทั้งสองคนแล้วก็ตัวเข้าไปไปไว้ในเต็นท์ สั่งให้เจ้าเอริคมันเป็นยามเฝ้าไว้ นังสองคนนี่จะได้ไม่เป็นเหยื่อทหาร ฉันต้องการให้มันมีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้เช้าเพราะยังต้องสอบสวนปากคำอีกมาก”
คำพูดประโยคนั้นวนเวียนอยู่ในสมองของโจนน์ขณะนอนทอดกายอยู่ในเต็นท์เคียงข้างเบรนน่า ทั้งข้อมือข้อเท้าถูกผูกไว้อย่างแน่นหนา สายตาเหม่อมองดูท้องฟ้าที่ดาดาษด้วยหมู่ดาว ครุ่นคิดอยู่แต่ว่าในการสอบปากคำของบริตนั้น เขาจะตั้งคำถามอะไรกับเธอบ้าง เขาจะทรมานเธอกับน้องสาวด้วยกรรมวิธีใด เขาต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่
แต่สิ่งหนึ่งที่โจนน์ออกจะแน่ใจก็คือ พรุ่งนี้แล้วที่ชีวิตของเธอกับน้องต้องสิ้นสุดลง
“โจนน์...” เบรนน่ากระซิบเสียงสั่น “พี่คงไม่คิดว่าเขาจะฆ่าเราพรุ่งนี้หรอกนะ”
“เปล่าเลย” โจนน์ตอบออกไปทั้งที่รู้ว่าเธอกำลังโกหกตัวเองเช่นกัน
