บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

“รอยซ์คงแทบไม่เชื่อหูเลยว่า เราจะโชคดีมากถึงขนาดนี้” สเตฟานตะโกนคุยกับเพื่อนร่วมทางที่ขี่ม้าอยู่เคียงข้างและเชลยสาวที่กุมตัวมาได้ก็ถูกมัดอยู่ติดกับอานเช่นเดียวกัน

“คิดดูก็แล้วกัน.... ลูกสาวทั้งสองคนของแคชเชอร์ยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ วัยสาวที่สวยสะพรั่งนั่นน่ะมันเหมือนแอปเปิ้ลที่สุกงอมถึงเวลาที่ควรจะปลิดลงจากกิ่งได้แล้วเพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ตัวมายังงี้ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะมัวกลัวเกรงการต่อต้านจากแคชเชอร์อีกต่อไป มันจะต้องยอมแพ้ต่อเราอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น”

ในสภาพที่ถูกผูกมัดอย่างแน่นหนาติดอยู่กับอานม้า แต่ชื่อ “รอยซ์” ที่ได้ยินมันก็ทำให้เลือดในกายของโจนน์เย็นเฉียบลง

รอยซ์ เวสท์มอร์แลนด์... เอิร์ลแห่งแคลม์เบลล์ ก็คือบริตนั่นเอง กิตติศัพท์เกี่ยวกับตัวเขาที่เธอได้ยินมายังจำหลักอยู่ในความทรงจำอย่างแน่นหนา และมันทำให้ได้ตระหนักว่าบัดนี้เธอกับเบรนน่าถูกจับตัวมา โดยมนุษย์ผู้ชายที่มิได้คำนึงถึงสภาพที่ว่า เธออยู่ในฐานะนางชีแห่งวิหารเซนท์อัลบาน ซึ่งพวกเขาน่าจะรู้ได้จากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกับน้องสาวคือแม่ชีฝึกหัด อีกไม่นานก็จะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว

พวกมันเป็นมนุษย์ประเภทไหนกันแน่... โจนน์คิดอย่างประหวั่นพรั่นใจ พวกมันกล้าถึงขนาดจับกุมแม่ชีได้เชียวหรือ ไม่มีมนุษย์คนไหนจะกล้าทำถึงขนาดนี้ จะมีก็แต่ปีศาจกับพวกของมันเท่านั้น...

“คนนี้เป็นลมสลบเหมือนตายไปเลย” โทมัสตะโกนตอบมาด้วยเสียงปนหัวเราะ “น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลามากพอที่จะลิ้มรสผลไม้หอมหวานที่เราปลิดลงจากขั้วนี่ได้ข้าว่าคนที่เจ้าจับมาได้นั่นน่ะ ท่าทางรสชาติจะถึงอกถึงใจมากกว่านะ สเตฟาน”

“แต่คนที่เจ้าจับน่ะสวยกว่ามาก” สเตฟานตอบด้วยเสียงชาเย็น “และเจ้าจะชิมแม่สาวคนไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่ารอยซ์จะตัดสินว่าจะทำยังไงกับแม่สาวสองคนนี่”

แม้จะอยู่ในสภาพถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา แต่กระนั้นโจนน์ก็ยังส่งเสียงร้องต่อต้านอยู่ในลำคออย่างดุเดือดเธอภาวนาขอให้พระเจ้าทรงลงทัณฑ์ให้พวกมันตายเสียตั้งแต่อยู่บนหลังม้านี่เลย แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ทรงได้ยินคำภาวนาของเธอแม้แต่น้อย และม้าก็ยังควบตะบึงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อหมดหนทางที่จะทำอะไรต่อไปได้ เธอก็ภาวนาขอให้พระเจ้าทรงชี้ทางรอดให้กับเธอด้วย ในยามนี้จิตใจของเธอหมกมุ่นอยู่แต่ถ้อยคำที่เคยได้ยินได้ยินได้ฟังมา...เกี่ยวกับบริตทั้งสิ้น... คนอย่างเขาไม่เคยไว้ชีวิตเชลยคนไหนทั้งสิ้นมันจะทรมานจนกว่าจะตาย มันจะหัวเราะอย่างสะใจเมื่อเหยื่อของมันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วมันก็จะกินเลือด...เลือด...

ความขมขื่นในช่องท้องเคลื่อนขึ้นมาอุดตันอยู่ตรงลำคอ โจนน์เฝ้าพร่ำภาวนาด้วยหัวใจอันหวั่นไหว เพียง แต่ว่าครั้งนี้เธอมิได้อ้อนวอนขอหนทางในการหลบหนีเพราะรู้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางจะหลบหนีได้ แต่ขอให้ตัวเองได้ตายไปเสียโดยเร็วเพื่อที่ตนเองจะไม่ต้องทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งวงศ์ตระกูล เสียงพูดของท่านบิดากลับเข้ามาก้องในหูอีกครั้ง

“ถ้าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เจ้าต้องตายด้วยน้ำมือของศัตรูแล้ว จงเผชิญหน้ากับความตายนั้นด้วยความกล้าหาญ จงต่อสู้ให้สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นเผ่านักรบของเรา จงตายอย่างแคชเชอร์... ”

ทุกถ้อยคำนั้นราวกระหน่ำซ้ำเติมอยู่ในสมองครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อม้าชะลอฝีเท้าลง เธอก็แว่วเสียงที่ดังมาจากที่ไกล ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าขณะนี้การเดินทางได้บรรลุถึงค่ายทหารใหญ่แห่งหนึ่ง ความคั่งแค้นที่เกิดขึ้นในยามนี้ช่วยลดความกลัวลงได้มาก เธอยังสาว... ยังไม่สมควรตาย...มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้

และยังเบรนน่า... เบรนน่าผู้น่าสงสารจะต้องมาตายตามเธอไปด้วย โจนน์รู้สึกว่าทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดของเธอเพียงคนเดียว เธอจะต้องหาทางเผชิญหน้ากับพระเจ้าให้ได้เพื่อขอให้พระองค์ทรงตัดสินชีวิตเธออย่างยุติธรรมบ้าง พระองค์จะทรงปล่อยให้มนุษย์กระหายเลือดคนนั้นครอบครองแผ่นดินแห่งสันติสุขแห่งนี้ โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางการกระทำของมันบ้างเชียวหรือ

หัวใจของเธอเต้นระทึกดุจเสียงฝีเท้าม้าที่กระแทกกระทั้นอยู่กับพื้นแผ่นดินสนั่นหวั่นไหว โดยรอบตัวเธอยามนี้คือเสียงโลหะที่กระทบกัน และได้ยินเสียงคนที่จับเธอมาตะโกนอยู่ว่า

“รอยซ์... เราเอาอะไรมาให้อย่างหนึ่งแน่ะ”

ในสภาพที่ถูกจับมัดปิดตาไว้จนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ร่างของโจนน์ถูกยกขึ้นพาดบ่า เธอลองขยับแขนขาก็รู้สึกว่ามือทั้งสองถูกมัดไว้ และแล้ว เธอก็ได้ยินเสียงเบรนน่ากรีดร้องเรียกชื่อด้วยความตกใจจนอกสั่นขวัญหาย

“กล้าหาญหน่อยสิ เบรนน่า” โจนน์ร้องบอกน้องสาว แต่เสียงแทบจะไม่หลุดลอดออกมาจากผ้าที่มัดปิดปากไว้ เบรนน่าไม่มีทางจะได้ยินเสียงพูดของเธออย่างแน่นอน

และแล้ว ร่างของเธอก็ถูกจับวางกับพื้นดินและถูกผลักให้ก้าวออกไปข้างหน้า เนื่องจากแข้งขาชาและปวดร้าวทำให้โจนน์ถึงกับเซไป และล้มลงในท่าคุกเข่า... จงตายอย่างแคชเชอร์... ตายอย่างกล้าหาญ... ตายอย่างเลือดนักสู้... ข้อความดังกล่าววนเวียนอยู่ในสมอง ขณะที่เธอใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลุกขึ้นยืน

เหนือร่างเธอนั้น โจนน์ได้ยินเสียงบริตเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก... เธอรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า นั่นคือเสียงพูดของเขา เสียงที่ดุดัน เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวราวกับหลุดรอดขึ้นมาจากก้นบึ้งแห่งนรก

“อะไร ของกินงั้นเรอะ”

“ ... เขาว่ากันว่ามันกินเลือดเนื้อของคนที่มันฆ่า... ” คำพูดของโทมัส เด็กชายกำพร้าคนนั้นแว่วขึ้นในหูขณะเดียวกันเธอก็ได้ยินเสียงร้องของเบรนน่าที่กรีดขึ้นด้วยความตระหนก

เชือกที่ผูกมัดอยู่รอบร่างถูกกระชากให้หลุดอย่างฉับพลัน โจนน์ถลันขึ้นยืนด้วยอิทธิพลของความกลัวและความโกรธระคนกัน และทันใดนั้นด้วยมือที่กำแน่นที่เธอตวัดเข้าใส่ใบหน้าของบุรุษผู้ยืนตระหง่านอยู่ต่อหน้ากระแทกเข้ากับสันกรามของเขาเต็มแรง.... และเบรนน่าก็เป็นลมสลบไปในนาทีนั้น...

“ไอ้ปีศาจ... ” โจนน์ตะโกนออกไปอย่างหมดความเกรงกลัว “ไอ้คนป่าเถื่อน... ” เธอตวัดกำปั้นออกไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้มือข้างนั้นถูกจับชูขึ้นเหนือหัว “ไอ้ปิศาจชาติชั่ว...ต่ำช้ายิ่งกว่าซาตาน...”

“เฮ้ย... นี่มันอะไรกันวะ... ” รอยซ์ เวสท์มอร์แลนด์ตะโกนก้อง ตวัดแขนกระชากร่างเข้ามา และจับลอยขึ้นบนอากาศ แต่มันเป็นความผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ เพราะโจนน์ตวัดเท้าที่ลอยอยู่นั้นเข้าใส่หน้าท้องเขาเต็มแรงจนเกือบจะทำให้เขาล้มคว่ำลง

“อีวายร้าย... ” เขาตะโกนก้องออกมา ทั้งโมโห เจ็บและแปลกใจกับความเก่งกล้าของเธอ ซึ่งทำให้เขาต้องรีบปล่อยตัวเธอลง ตวัดหมวกที่เธอสวมอยู่ออกและกระชากผมจนหน้าหงาย “อยู่นิ่ง ๆ นะ” เขาตะโกนสั่งสนั่นหวั่นไหว

แม้แต่ธรรมชาติก็ดูจะต้องเชื่อฟังคำสั่งนั้น บรรดาเชลยทั้งหลายที่ถูกทหารของบริตจับมาได้ ต่างหยุดร้องขอความกรุณาลงทันที เสียงโลหะที่กระทบกันอยู่เงียบสนิทความเงียบอันน่าสะพรึงกลัวตกลงปกคลุมค่ายแห่งนั้นไว้ หัวใจของโจนน์เต้นระทึก หนังหัวเจ็บระบมรีบหลับตาลงรอรับการลงอาญาจากเขา ซึ่งอาจจะทำให้ถึงตายได้อย่างคนที่ปลงใจแล้ว

แต่เหตุการณ์มันมิได้เป็นเช่นนั้น...

หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกกึ่งกลัวกึ่งใคร่รู้ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้เห็นหน้าเขาอย่างแท้จริง ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel