บทที่ 9
ค่ายทหารของบริตกลับฟื้นคืนสู่ความมีชีวิตอีกครั้งก่อนที่แสงดาวดวงสุดท้ายจะทันเลือนหายจากท้องฟ้าเสียด้วยซ้ำแต่ตลอดคืนที่ผ่านมา โจนน์ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เลย เนื้อตัวสั่นระริกอยู่ภายใต้เสื้อคลุมบางเบายามที่จ้องมองสวรรค์มืด อธิษฐานขอให้พระจ้าทรงยกโทษให้กับความโง่เขลาเบาปัญญาของตนเอง และขอให้พระองค์ทรงประทานพระเมตตาแก่เบรนน่าผู้น่าสงสารผู้ต้องมาพลอยรับเคราะห์กรรมในครั้งนี้เพียงเพราะเธออยากเดินเล่นบนภูเขาด้วย
“เบรนน่า” เธอกระซิบเรียกน้องสาวเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวของพวกทหารดังขึ้นกว่าเดิม “ตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้ว”
“ถ้าบริตมันสอบสวนละก้อให้พี่เป็นคนตอบเองนะ”
“ค่ะ” เสียงตอบนั้นแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม
“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยากรู้อะไรบ้าง แต่รู้สึกอยู่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เราไม่ควรบอกให้มันรู้ บางทีอาจจะพอเดาได้ตอนที่มันตั้งคำถามแล้วก็อาจจะทำให้มันเข้าใจไขว้เขวไปได้ด้วย”
แสงแรกของยามอรุณรุ่งฉาบฉายขึ้นตรงปลายฟ้าเป็นสีชมพูเรืองเรื่อ ไม่นานทหารสองคนก็เข้ามาในเต๊นท์เพื่อให้พี่น้องสองสาวได้มีเวลาจัดการกับธุรกิจส่วนตัวเพียงชั่วครู่ในราวป่าข้างค่าย หลังจากนั้นก็พาโจนน์กับเบรนน่าไปพบบริต
“เดี๋ยว... ” โจนน์ร้องเมื่อเข้าใจในเจตนาของทหารผู้นั้น “คือ... น้องสาวฉันไม่ค่อยสบาย”
ทหารคนหนึ่งในจำนวนสองคนรูปร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นซึ่งรู้จักกันในชื่อ “เอริค” มองเธอด้วยสายตาราวจะกินเลือดกินเนื้อก่อนจะเดินจากไป แต่อีกคนหนึ่งไม่ฟังเสียงยังพาเบรนน่าออกจากเต็นท์ไปจนได้ จากรอยแยกตรงประตูเต็นท์นั้น โจนน์เห็นสายตาที่เปี่ยมด้วยแววตัณหาของพวกทหารยามที่มองน้องสาว แล้วก็รู้สึกราวหัวใจจะสลายลง
เวลาครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปนั้นดูช่างช้าเสียเหลือเกินในความคิดของโจนน์ แต่เมื่อเบรนน่ากลับมาเธอก็ค่อยคลายใจลงบ้าง เพราะดูเหมือนน้องสาวจะไม่ได้รับการลงโทษทัณฑ์ทางร่างกายแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” โจนน์ถามอย่างร้อนใจเมื่อทหารยามเดินจากไปแล้ว “เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรเธอใช่ไหมเบรนน่า”
สาวน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ แต่แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา
“เปล่าหรอก” เธอตอบด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “แต่เขาโมโหที่ฉัน... ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้... ฉันกลัวเหลือเกินโจนน์ แล้วเขาก็ตัวใหญ่ท่าทางดุร้ายมากด้วย... ฉันก็เลยได้แต่ร้องไห้อยู่ยังงั้น ยิ่งทำให้เขาโมโหใหญ่”
“อย่าร้อง” โจนน์ปลอบโยน “เรื่องมันจบแล้วละ” เธอแกล้งกล่าวเท็จออกไปหวังจะให้น้องสาวสบายใจขึ้นเมื่อมาถึงเวลานี้ การพูดโกหกดูจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอไปเสียแล้ว โจนน์คิดอย่างเศร้าใจ
สเตฟานตวัดประตูเต๊นท์ของพี่ชายให้เปิดออก และเดินองอาจเข้าไปภายใน
“พระเจ้า แม่นั่นมันสวยจังเลยนะ” เขาหมายถึงบรนน่าผู้เพิ่งเดินออกจากเต็นท์ไป “น่าเสียดายที่บวชเป็นชีเสียนี่”
“ยังหรอก” รอยซ์พูดห้วน ๆ อย่างอารมณ์ไม่ดี “เห็นบอกว่าเพิ่งจะเป็นแม่ชีฝึกหัดเท่านั้น”
“แล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ”
รอยซ์ เวสท์มอร์แลนด์ เป็นนักรบที่กรำศึกมานานจนลืมไปแล้วว่าในโลกนี้ยังมีศาสนาอยู่ โลกของเขานับแต่วัยเด็กคือสนามรบ เขาจึงอธิบายสภาพการเป็นชีของเบรนน่าโดยเปรียบเทียบกับศัพท์ทหารที่เขาพอเข้าใจอยู่
“แม่ชีฝึกหัด ก็หมายถึงคนที่ยังไม่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณอุทิศตนเพื่อพระเจ้า”
“แล้วพี่เชื่อหรือว่าเขาจะพูดความจริง”
สีหน้าของรอยซ์เครียดขรึมเมื่อกระดกเหล้าเข้าปาก
“ฉันว่าตอนนี้เขากลัวจนเกินกว่าจะมาสร้างเรื่องโกหกกลัวจนพูดไม่ออกเสียด้วยซ้ำ”
สเตฟานเขม็งตามองหน้าพี่ชายอยู่ บอกไม่ถูกว่าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความอิจฉาหรือรำคาญที่พี่ชายไม่อาจหาความจริงได้มากกว่านั้น
“แล้วก็ยังสวยเกินกว่าจะขู่ตะคอกสอบถามสินะ”
รอยซ์ตวัดสายตามองหน้าน้องชายอย่างเยาะหยัน แต่ขณะนี้เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่า
“ฉันอยากรู้ว่าปราสาทแคชเชอร์น่ะ มีการป้องกันที่แน่นหนามากน้อยสักแค่ไหน และอยากรู้ด้วยว่าพวกมัน กำลังแสวงหาความช่วยเหลือจากใคร เวลานี้เราจำเป็นต้องรู้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์สำหรับเรามากที่สุด ไม่เช่นนั้นแกนั่นแหละที่จะต้องกลับไปแคชเชอร์อย่างเช่นที่อาสาไว้เมื่อวานนี้” เขากระแทกเหยือกเหล้าลงบนโต๊ะโครมใหญ่ “ไปเอาตัวนังพี่สาวมา”
เบรนน่ารีบกระถดถอยหลังเมื่อเจ้ายักษ์ใหญ่เอริคเดินเข้ามาในเต็นท์อีกครั้ง แผ่นดินดูจะสั่นสะเทือนด้วยฝีเท้าที่กระแทกกระทั้นลง
“ได้...ได้โปรดเถอะ... อย่าพาฉันกลับไปหาเขาอีกเลย...”
แต่เอริคไม่ได้สนใจในตัวเบรนน่าเลยแม้แต่น้อย เขาเดินตรงเข้าไปหาโจนน์ กระชากแขนให้ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปทันที
บริตเดินกลับไปกลับมาอยู่ในเต็นท์อย่างงุ่นง่าน แต่ก็ชะงักฝีเท้าลงทันทีที่ร่างของโจนน์ถูกผลักเข้ามาดวงตาเครียดเขม็งคู่นั้นกวาดไปทั่วเรือนร่าง ขณะที่เธอยืนอย่างทระนงองอาจอยู่ต่อหน้า โดยที่มือทั้งสองถูกมัดไพล่ไว้ข้างหลัง แม้ว่าสีหน้าของเธอจะราบเรียบราวไร้ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น แต่รอยซ์ก็อดพิศวงไม่ได้ที่เห็นแววในดวงตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความดูหมิ่นเหยียดหยาม และและจ้องหน้าเขาอยู่อย่างไม่พรั่น ไม่ได้มีวี่แววว่าเธอจะหลั่งน้ำตาเสียด้วยซ้ำ
ทันใด เขาก็นึกถึงคำร่ำลือเกี่ยวกับลูกสาวคนโตของแคชเชอร์ แม้ว่าคนน้องจะได้รับสมญาว่าเป็น “อัญมณีแห่งสก๊อตแลนด์” แต่คำร่ำลือนั้นก็บ่งบอกอยู่ว่าสำหรับคนนี้แล้วเป็นคนที่ชาเย็น มีสายเลือดผู้ดีที่หยิ่งและทระนงในศักดิ์ศรี จนไม่มีชายใดจะกล้าแตะต้อง
ยิ่งกว่านั้น เธอก็ยังบอกปฏิเสธคำขอแต่งงานอันเป็นผลให้ต้องถูกส่งตัวไปอยู่ในสำนักนางชี เนื่องจากใบหน้าของเธอจะมุกขะมอมด้วยคราบฝุ่น จึงไม่อาจบอกได้ว่ามีความสวยมากน้อยเพียงไร แต่ที่แน่ชัดก็คือไม่อาจเปรียบเทียบกับความสวยของคนน้องได้ ทั้งอารมณ์กับความรู้สึกก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนน้องนั้นเอาแต่ร้องไห้ แต่สำหรับคนนี้กลับจ้องมองหน้าเขาอย่างไม่ลดละ
“นี่เธอสองคนเป็นพี่น้องกันจริง ๆ น่ะหรือ” เขาอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้
“ใช่” โจนน์เชิดหน้าตอบ
“มันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ” เขาทำเสียงราวหัวเราะเยาะหยัน “เป็นพี่น้องแท้ ๆ เลย” เขาถามย้ำ “ตอบ” เขาตวาดเมื่อเห็นเธอนิ่งเฉย
โจนน์ ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วประหวั่นพรั่นพรึงกว่าที่แสดงออกหลายเท่า เพราะไม่แน่ใจเขาจะทำอย่างไรกับเธอภายหลังจากที่ไต่สวนแล้วเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง
“เป็นน้องบุญธรรม” เธอตอบออกไปตามความจริง แต่แล้วก็พยายามหักห้ามความกลัวไว้ “นี่... ฉันคิดอะไรไม่ออกหรอกนะถ้ามือถูกผูกไว้ยังงี้ มันเจ็บแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นตรงไหนเลย”
“เธอพูดถูก เพราะที่น่าจะผูกน่ะ มันควรจะเป็นตีนมากกว่า” เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนที่เธอใช้เท้าเตะหน้าท้องเต็มแรง
อาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความหงุดหงิดนั่นเอง ที่ทำให้มุมปากของโจนน์หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างนึกขัน รอยซ์ทันเห็นท่าทางที่เธอแสดงออกแล้วก็ให้แปลกใจยิ่งนัก แม้แต่บรรดานักรบทั้งหลายก็ยังต้องยอมสยบต่อเขา แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเชิดหน้าและยังยิ้มอย่างไม่พรั่นอีกด้วย ราวกับเธอพอใจที่ได้ทำให้เขาโมโหเสียด้วยซ้ำ และมันทำให้ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง
“เอาละ เลิกพูดกันดี ๆ เสียที...” เขาย่างสามขุมเข้ามาหา
อารมณ์ขันของโจนน์ดูจะเลือนหายไปอย่างฉับพลันเช่นกัน เธอเริ่มก้าวถอยหนีโดยไม่รู้ตัว แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่
“ฉันต้องการคำตอบจากเธอสักสองสามข้อ สิ่งแรกที่อยากรู้ก็คือที่ปราสาทของพ่อเธอน่ะ มีทหารคุ้มกันอยู่มากน้อยแค่ไหน”
“ไม่รู้” โจนน์ตอบห้วน ๆ เธอถอยหลังอีกก้าว ทั้งที่ไม่ได้อยากจะทำเช่นนั้นเลย
“พ่อเธอรู้หรือเปล่าว่า ฉันกำลังจะบุกปราสาทนั่นแล้ว”
“ฉันไม่รู้”
“นี่... เธอกำลังจะทำให้ฉันหมดความอดทนแล้วนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อยากจะให้ฉันสอบถามจากน้องสาวเธอเอาเองอีกหรือไง”
