บทที่ 6
สำนักนางชี... เมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมา โจนน์เดินออกจากสถานที่แห่งนั้นด้วยความมีชีวิตจิตใจ แต่ขณะนี่เธอกำลังมีความรู้สึกราวกับตนเองได้สิ้นชีวิตลงแล้ว
“กลับไปก่อนเถอะ พี่ยังไม่อยากกลับหรอก...พี่ยัง...ยังไม่อยากกลับไปที่นั่น อยากจะขึ้นไปนั่งคิดอะไรเล่นบนเนินเขาสักพัก
“ฉันเกรงว่าแม่ชีอธิการจะไม่พอใจนะ ถ้าเราไม่กลับเข้าวัดก่อนมืดน่ะ และนี่ตะวันมันก็กำลังจะชิงพลบแล้วด้วย” เบรนน่าพยายามให้เหตุผล ซึ่งก็เป็นเช่นนี้เสมอมาในทุกครั้งที่โจนน์จะทำสิ่งที่ขัดต่อกฎข้อบังคับ เบรนน่าก็จะพยายามประนีประนอมชี้แจงแสดงเหตุผลให้พี่สาวเข้าใจ
เบรนน่า เป็นสาวน้อยผู้มีจิตใจอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย สะสวยด้วยเรือนผมสีบลอนด์ ดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อน ในสายตาของโจนน์แล้ว น้องสาวบุญธรรมคนนี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมแก่ความเป็นกุลสตรีทุกประการ ยิ่งกว่านั้นเธอก็ยังเป็นคนค่อนข้างเหนียมอาย ในขณะที่โจนน์เต็มไปด้วยความห้าวหาญ อารมณ์รุนแรง
ซึ่งถ้าปราศจากโจนน์แล้ว เบรนน่าจะไม่รู้จักคำว่า “ผจญภัย” เลย และถ้าปราศจากเบรนน่าที่เธอจะต้องให้ความคุ้มครองป้องกัน โจนน์คงจะออกผจญภัยอีกหลายครั้งหลายครา เมื่อเป็นเช่นนี้ หญิงสาวทั้งสองจึงมีความผูกพันในกันและกัน และพยายามที่จะคุ้มครองป้องกันซึ่งกันและกันในทุกโอกาส
เมื่อได้ยินพี่สาวพูดออกมาอย่างนั้น เบรนน่าก็เกิดความลังเลขึ้นในใจ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดเสียงสั่น ๆ ออกมาว่า
“งั้นเอาเป็นว่าฉันอยู่ด้วยก็แล้วกัน เพราะถ้าปล่อยให้พี่อยู่คนเดียวเดี๋ยวก็จะเกิดลืมเวลาขึ้นมา กลับเข้าวัดมืดค่ำเกินไป”
คำพูดของน้องสาวทำให้โจนน์ได้คิด ในราวป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยภยันตรายจากสัตว์ร้ายนานาชนิด เธออาจจะถูกหมีตะปบจนถึงแก่ความตายได้ แม้ในยามนี้โจนน์อยากจะอยู่ตามลำพังสักเพียงไร แต่เธอก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าถ้ายังขืนอยู่ข้างนอก เบรนน่าก็จะต้องหวาดหวั่นกับโทษทัณฑ์ที่จะได้รับจากแม่ชีอธิการอยู่ดี
“อย่าเลย เรากลับกันดีกว่า”
แต่เบรนน่า ด้วยความอยากเอาใจพี่สาวไม่ยอมรับฟังคำปฏิเสธนั้น เธอคว้าข้อมือพี่สาวพาเดินเลี้ยวไปทางซ้ายอันเป็นทางขึ้นสู่เนินเขาที่สามารถมองลงมาเห็นสำนักนางชีเป็นครั้งแรกที่เบรนน่าเป็นผู้นำและโจนน์กลับต้องตกเป็นผู้ตาม
ขณะเดียวกัน ในราวป่าข้างเส้นทางสายนั้น เงาร่างของผู้ชายสองคนเคลื่อนตัวติดตามสองสาวไปอย่างเงียบกริบ...
เมื่อสองพี่น้องขึ้นมาถึงทางแยก ซึ่งเส้นทางสายหนึ่งทอดขึ้นสู่ยอดเขาและเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างแคบชันโจนน์ก็เกิดหงุดหงิดที่รู้สึกว่าตนออกจะสงสารตัวเองมากเกินไปแล้วและเธออดที่จะปรารภกับเบรนน่าไม่ได้ว่า
“เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกันนะที่พี่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าสาวของแม็คเฟอร์สันในครั้งนี้... อย่างน้อยการแต่งงานกับแม็คเฟอร์สันก็เท่ากับเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยเหลือคนในเผ่าเรา”
“ฉันว่าการเสียสละของพี่ครั้งนี้เหมือนโจน ออฟ อาร์ค ไม่มีผิด” เบรนน่าตอบอย่างกระตือรือร้น “ เพราะโจน ออฟ อาร์ค น่ะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สามารถนำผู้คนไปสู่ชัยชนะได้”
“เพียงแต่ว่า พี่จะต้องแต่งงานกับแม็คเฟอร์สันเท่านั้น”
“แล้วก็ต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าวีรสตรีคนนั้นหลายเท่า” เบรนน่าเสริม
ซึ่งทำให้โจนน์ถึงกับหัวเราะออกมา อย่างน้อยเบรนน่าก็ยังเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจความรู้สึกของเธอยามนี้
เบรนน่ารู้สึกดีใจยิ่งนักที่สามารถทำให้พี่สาวหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง จึงหาเรื่องต่าง ๆ มาชวนพูดคุยเพื่อให้พี่สาวอารมณ์ดีขึ้น จนกระทั่งขึ้นมาถึงสันเขาซึ่งกั้นแนวเขตอยู่ด้วยป่าทึบ เบรนน่าก็เอ่ยขึ้นว่า
“เอ้อ...แล้วที่ท่านพ่อบอกว่าพี่หน้าตาเหมือนท่านแม่น่ะหมายความว่ายังไงล่ะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” โจนน์เหลียวหน้าเหลียวหลังสัญชาตญาณลึกลับบอกเธออยู่ว่า ขณะนี้เธอกับน้องสาวกำลังถูกจับตามองความเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งสร้างความกระวนกระวายใจให้เกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เธอกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว รู้สึกหนาวสะท้านราวกับถูกสายลมเย็นเยือกพัดมาต้องตัว แต่ก็พยายามปัดความคิดนั้นออกจากสมองแสร้งทำเป็นไม่สนใจกับมันเสียเมื่อเสริมว่า
“ครั้งหนึ่ง แม่ชีอธิการเองก็เคยพูดกับพี่ว่า หน้าตาพี่น่ะไม่เหมือนคนอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่ออกจากสำนักนางชีไปแล้ว พี่จะต้องระวังให้มาก อย่าให้รูปร่างหน้าตาของตัวเองกลับกลายมาเป็นอาวุธประหัตประหารตัวพี่”
“ก็แล้วทั้งหมดนั่นมันหมายความว่ายังไงกันล่ะ”
“ไม่รู้สิ” โจนน์ยักไหล่อย่างไม่สนใจ เริ่มออกเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง “แล้วเธอล่ะมีความรู้สึกว่าหน้าตาพี่มันเป็นยังไง” เธอตวัดสายตามองหน้าเบรนน่าอยู่ “พี่น่ะไม่เคยเห็นหน้าตาตัวเองมาตั้งสองปีแล้ว นอกจากบางครั้งจะก้มลงมองเงาสะท้อนในบ่อน้ำ ทำไมหน้าตาพี่มันเปลี่ยนไปมากนักงั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” เบรนน่าหัวเราะเบา ๆ “แม้แต่อเล็กซานเดอร์เองก็จะมาเรียกพี่อย่างที่เขาเคยเรียกมาแล้วไม่ได้อีกต่อไป เขาจะมาบอกว่าสีผมของพี่เหมือนสีหัวแครอทไม่ได้อีกแล้วด้วย”
“เบรนน่า... ” โจนน์ขัดขึ้นเพราะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เธอเสียใจมากไหมที่อเล็กซานเดอร์ต้องมาตายลงอย่างนี้ เพราะเขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอแล้วก็... ”
“อย่าพูดเรื่องนั้นอีกเลยพี่” เบรนน่าขอร้อง “ที่จริงฉันก็ร้องไห้เหมือนกันนะตอนที่ท่านพ่อแจ้งข่าวให้รู้ แต่น้ำตามันน้อยและฉันก็อดละอายใจไม่ได้ เพราะฉันไม่เคยรักเขาอย่างที่น้องควรจะรักพี่ชายของตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะไม่รักตอนนี้นะ เมื่อก่อนก็ไม่เคยรักเลย... อเล็กซานเดอร์น่ะชั่วร้ายนัก อันที่จริงมันก็ไม่ถูกต้องหรอกที่เราจะพูดถึงคนตายแบบนั้น แต่ฉันก็หาข้อดีเกี่ยวกับตัวเขาเพื่อจะหยิบยกขึ้นมาพูดไม่ได้เหมือนกัน... ” หางเสียงของเธอขาดหายไป สายลมพัดกรรโชกแรงขึ้น สาวน้อยกระชับเสื้อคลุมให้แนบตัว มองหน้าโจนน์เหมือนขอร้องให้เปลี่ยนเรื่องพูดเสีย
“เอ้า... จะบอกได้หรือยังล่ะว่าหน้าตาพี่เป็นยังไง” โจนน์รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเอาใจ กอดไหล่น้องสาวไว้
ขณะนั้นทั้งสองหยุดเดินลงเนื่องจากข้างหน้าคือป่าทึบครอบคลุมลงไปตามลาดแห่งแนวเนิน และแล้ว รอยยิ้มอ่อน ๆ ก็กระจายขึ้นทั่วใบหน้าของเบรนน่าขณะพิจารณาใบหน้าของพี่สาวบุญธรรมอยู่
“พี่น่ะเป็นผู้หญิงที่สวยมากทีเดียวนะโจนน์”
“ขอบใจที่ชม แต่เธอเห็นอะไรที่มันผิดปกติในตัวพี่มั่งล่ะ” โจนน์คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ “อะไรสักอย่างที่มันอาจจะทำให้พวกผู้ชายปฏิบัติต่อพี่ต่างกว่าผู้หญิงอื่นน่ะ”
“ไม่มีนี่...” สาวน้อยประสานสายตาอยู่กับพี่สาว “จริง ๆ แล้วฉันไม่เห็นมีอะไรที่มันจะผิดปกติอย่างที่พี่ว่า เลย”
แต่ถ้าเธอถามผู้ชายอาจจะได้รับคำตอบที่แตกต่างไปกว่านี้ เพราะโจนน์ แคชเชอร์ นั้นอาจจะไม่สวยเมื่อมองผาด ๆ แต่ถ้ายิ่งพิศก็ยิ่งเห็นความงามอันล้ำเลิศที่ประสมประสานกันอยู่บนใบหน้านั้น ใบหน้าที่มีเสน่ห์อันล้ำลึกและทำให้ผู้ชายไม่อาจละสายตาจากเธอได้ ริมฝีปากที่ค่อนข้างกว้างนั้นราวจะเชิญชวนให้ประทับจูบ ลงดวงตาคู่สีฟ้าเข้มเปล่งแสงราวพลอยไพลินอันล้ำค่า เรือนผมเป็นสีแดงทองที่เนียนนุ่มปานเส้นไหม และยังเรือนกายที่เพรียวระหงบอบบางควรค่าแก่การทะนุถนอม
“ดวงตาพี่เป็นสีฟ้าเข้มสวยมาก... ” เบรนน่าเอ่ยออกมาอย่างพยายามจะอธิบายถึงภาพลักษณ์ที่ปรากฏแก่สายตาในยามนี้ให้พี่สาวฟัง และโจนน์ก็อดหัวเราะไม่ได้
“มันก็เป็นสียังงี้มาตั้งแต่เกิดแล้วละ” เธอตอบออกไป
เบรนน่าขยับปากจะพูดต่อ แต่ทันใด... เสียงที่หลุดลอดออกมาจากลำคอกลายเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเสียงนั้นขาดหายลงกลางคันเมื่อมีมือสากกระด้างของผู้ชายเอื้อมมาอุดไว้ พร้อมกันผู้ชายคนนั้นก็ลากร่างเธอเข้าไปในราวป่า
สัญชาตญาณแห่งการป้องกันตัวทำให้โจนน์ก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว คาดว่าอันตรายจะต้องเข้ามาถึงตัวทางด้านหลัง แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียแล้ว เธอทั้งดิ้นรนเตะถีบพร้อมกับส่งเสียงร้องอยู่ใต้อุ้งมือที่สวมถุงหนาของผู้ชายคนที่จับตัวเธอไว้
ขณะเดียวกัน ร่างของเบรนน่าก็ถูกจับโยนขึ้นพาดกับหลังม้าราวกระสอบแป้ง จากอาการที่มองเห็นอยู่ทำให้เจนนี้รู้ได้ทันทีว่าน้องสาวเป็นลมด้วยความตกใจไปแล้ว แต่โจนน์ใช่ว่าจะยอมให้ใครมาจับได้ง่าย ๆ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นจะเหวี่ยงร่างเธอขึ้นหลังม้า เธอก็เหวี่ยงตัวลงทางด้านข้างตกลงไปกองอยู่บนพื้นดินที่มีใบไม้แห้งทับถมกันอยู่ และคลานสี่เท้าอยู่ใต้ท้องม้าตัวนั้น พอหลุดออกมาได้ก็ถลันลุกขึ้นยืน แต่เขาก็คว้าร่างเธอได้อีกครั้ง และโจนน์ก็ตะกุยเล็บลงบนใบหน้า สะบัดตัวอย่างรุนแรงเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุม
“คุณพระช่วย... ” ผู้ชายคนนั้นอุทานออกมา สีหน้าของเขาบอกความโกรธจัด พยายามคว้าไขว่อย่างไม่ยอมแพ้โจนน์ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเต็มที่พร้อมกับเตะถีบเขาอย่างสุดแรงเกิด แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะลดน้อยถอยลงทุกที เธอได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้ชายคนนั้น แต่เขาก็ปล่อยให้เธอเป็นอิสระอยู่เพียงครู่สั้น ๆ
โจนน์ถือเป็นโอกาสกระโจนหนี เธออาจจะไปได้ไกลและอาจจะเอาตัวรอดได้ถ้ารองเท้าบู๊ทที่สวมอยู่จะไม่พันเข้ากับรากไม้ทำให้เธอถึงกับถลาคว่ำลง ศีรษะกระแทกเข้ากับแง่หิน
“เฮ้ย... ส่งเชือกมาที” เสียงน้องชายของบริตตะโกนบอกเพื่อนของตน รอยยิ้มเครียดขรึมฉาบอยู่บนใบหน้าของสเตฟาน เวสท์มอร์แลนด์ ขณะที่ใช้เชือกเส้นนั้นพันผูกลงรอบร่าง ตรึงแขนทั้งสองของเธอไว้ข้างตัวและตลบมาผูกไว้กลางลำตัว
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็อุ้มร่างนั้นขึ้นพาดหลังม้าก่อนจะกระโดดขึ้นโผนม้าออกจากที่นั้นอย่างเร่ง
