บทที่ 4
เมื่อสองปีก่อน เพราะความประพฤติของเธอนั่นเองที่ทำให้ต้องถูกส่งตัวมาอยู่ที่สำนักนางชีแห่งนี้ และอีกหนึ่งปีต่อมา เบรนน่าก็ถูกส่งตัวตามมาอยู่ด้วย แต่ด้วยจุดประสงค์เพื่อความปลอดภัย ในขณะที่ท่านพ่อต้องออกสงครามมากกว่า
และภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดกวดขันของแม่ชีอธิการ ทำให้โจนน์เปลี่ยนนิสัยของตนเองได้บ้างประการสำคัญก็คือ เธอพอใจในความเข้มแข็งแห่งจิตใจของแม่ชีอธิการมาก จึงพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้เป็นที่พอใจ
แต่ขณะนี้ สายตาของบิดากำลังสำรวจไปทั่วเรือนร่างนับแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มันทำให้เธอเกิดความไม่แน่ใจว่า ในสายตาของบิดานั้น ท่านจะมองเห็นว่าบัดนี้เธอได้เปลี่ยนเป็นกุลสตรีสมกับที่ท่านได้คิดหวังตั้งใจไว้หรือจะเปรียบเทียบตัวเธอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งก่อนอยู่ และแล้ว...เธอก็ได้เห็นรอยยิ้มอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นในแววตาคู่นั้น
“เจ้าโตเป็นสาวขึ้นมากทีเดียว โจนน์”
เพียงคำพูดประโยคเดียวนั้น ก็ทำให้หัวใจของโจนน์ราวจะติดปีกบินได้ เพราะเป็นคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของบิดาผู้เข้มงวดกวดขัน และน่าจะถือได้ว่าเป็นคำชมที่มีค่าสูงสุดในชีวิต
“และลูกก็เปลี่ยนอะไรได้หลายอย่างด้วยเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” เธอพูดราวจะให้สัญญา ดวงตาเป็นประกาย “ลูกเปลี่ยนไปได้มากทีเดียว จริง ๆ นะเจ้าคะ”
“มันก็ยังไม่มากอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะโจนน์” คิ้วสีเทาเลิกสูงขึ้น เมื่อมองดูหมวกกับผ้าคลุมหน้าที่เธอยังถืออยู่ในมือ
“โอ... ” โจนน์หัวเราะและรีบอธิบาย “เมื่อกี้นี้ลูกกำลังเล่นซ่อนหาอยู่กับพวกเด็ก ๆ เจ้าค่ะ ถ้าจะใส่หมวกฮู้ดทับลงไปอีกชั้นมันก็คงไม่เหมาะ ท่านพ่อแวะที่วัดมาแล้วใช่ไหมเจ้าคะ แม่อธิการแอมโบรสว่ายังไงมั่งล่ะเจ้าคะ”
“ก็เล่าให้ฟังว่า...” แววในดวงตาคู่นั้นมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น “เจ้าน่ะชอบออกไปนั่งบนเนินเขา แล้วก็นั่งฝันอยู่ได้ทั้งวัน เหมือนเดิมนั่นแหละ ยิ่งกว่านั้นหลายครั้งที่เจ้านั่งสัปหงกในขณะทำพิธีนมัสการ คงจะเป็นเพราะว่า พระที่เทศน์สั่งสอนคงจะเทศน์ยาวไปหน่อยละมัง แต่นั่นมันเป็นธรรมดาสำหรับเจ้าอยู่แล้วนี่”
หัวใจของโจนน์ห่อเหี่ยวลงเมื่อได้รับทราบสิ่งที่แม่ชีอธิการรายงานต่อท่านบิดา แม่อธิการแอมโบรสผู้นี้มีหน้าที่ต้องดูแลทรัพย์สินและที่ดินของวัดไปด้วยพร้อมกัน จึงมีบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชามากมาย ดังนั้นความเคร่งครัดต่อหน้าที่ย่อมทำให้ท่านกลายเป็นคนที่เข้มงวดกวดขันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
เบรนน่านั้นกลัวแม่ชีอธิการยิ่งกว่าผู้ใดในชีวิต แต่โจนน์กลับรักใคร่ ดังนั้นข้อความที่แม่ชีอธิการรายงานต่อท่านพ่อจึงทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนคนที่โดนหักหลัง คำพูดประโยคต่อไปของบิดาก็พอจะทำให้เธอคลายใจลงได้บ้าง
“แม่อธิการก็ยังบอกพ่อด้วยว่า เจ้าน่ะทำตัวสมกับที่เป็นแคชเชอร์...ท่านย้ำว่าเจ้าน่ะเป็นแคชเชอร์ทั้งจิตใจและร่างกายทีเดียว แต่ว่านั่นมันก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนจะต้องรับรู้อยู่แล้วนี่” หางเสียงของบิดาเคร่งขรึมซึ่งทำให้โจนน์ใจไม่ดีขึ้นมาอีก
แต่กระนั้นเธอก็พยายามรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้าไม่ยอมให้บิดาจับความรู้สึกที่กำลังเกิดอยู่ในใจได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังคำนึงถึงสิทธิของตน สิทธิที่เป็นของเธออย่างชอบธรรม จนกระทั่งถึงวันที่บิดาแต่งงานใหม่กับมารดาของเบรนน่าผู้เป็นแม่หม้าย ทั้งนี้ก็เพราะหวังจะได้ลูกชายของนางซึ่งเขาอุปการะไว้เป็นบุตรบุญธรรมมาเป็นทายาท
อเล็กซานเดอร์ลูกชายคนโตของนางและยังเป็นพี่ของน้องชายอีกสองคน ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งทายาททั้งที่ตำแหน่งนั้นควรจะเป็นของโจนน์
อันที่จริง ความจริงดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่โจนน์พอจะทนได้ ถ้าอเล็กซานเดอร์จะปฏิบัติต่อเธออย่างดีหรือมีจิตใจเป็นธรรมบ้าง แต่โจนน์รู้ว่าเขาเป็นคนทรยศ เป็นนักวางแผนที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เธอรู้มาตลอด แม้ว่าบิดาและชาวเผ่าทั้งหลายจะมองไม่เห็นก็ตาม
ภายหลังจากที่เขาเข้ามาอยู่ในปราสาทแคชเชอร์เพียงปีเดียว เขาก็เริ่มกล่าวร้ายเกี่ยวกับตัวเธอต่าง ๆ นานา ซึ่งนับเป็นการวางแผนทำลายความชื่นชม ความรักและความเคารพที่บุคคลในเผ่ามีต่อเธออย่างแยบยล และในที่สุดชาวทั้งหลายก็กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อเธอ ความรักความศรัทธาที่โจนน์ต้องสูญเสียไปนั้นมันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับเธออย่างเหลือคณนา
เพราะแม้เมื่อถึงเวลานี้ สายตาของทุกคนก็ยังเหมือนกับมองผ่านร่างเธอไปโดยมองไม่เห็น โจนน์จำเป็นต้องยับยั้งตนเองไว้ ไม่ให้ขออภัยจากคนเหล่านั้นต่อสิ่งที่ทุกคนถือว่าเป็นความผิด ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นผู้ผิดเลยก็ตาม
วิลเลียมน้องชายคนกลางนั้นมีนิสัยเหมือนเบรนน่าอ่อนโยนและจิตใจดี ขณะที่มัลคอม คนเล็กสุดนั้นมีนิสัยถอดแบบมาจากอเล็กซานเดอร์อย่างไม่ผิดเพี้ยน
เสียงพ่อกล่าวต่อไปว่า
“และแม่อธิการก็ยังบอกพ่อด้วยว่า เจ้าน่ะมีจิตใจที่อ่อนโยน มีความเมตตากรุณามาก แต่ขณะเดียวกันเจ้าก็ยังรักอิสระอยู่...”
“แม่อธิการบอกกับท่านพ่อยังงั้นหรือเจ้าคะ... จริงหรือเจ้าคะ”
“ใช่” อันที่จริงโจนน์น่าจะดีใจที่ได้รับคำตอบเช่นนั้น แต่เธอกำลังจ้องมองหน้าบิดาอย่างแปลกใจ สีหน้าของเขาเครียดเคร่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่น้ำเสียงขรึมลงกว่าเดิม เมื่อกล่าวต่อว่า
“มันก็ดีแล้วนะโจนน์ ที่เจ้าเลิกนิสัยใจร้อนทำทุกอย่างด้วยความใจเร็วด่วนได้ลงเสียได้ พ่อดีใจที่เจ้าเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้” เขาหยุดเว้นระยะทำท่าราวกับไม่อยากพูดต่อ ซึ่งทำให้โจนน์อดใจไม่ไหว
“มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะท่านพ่อ”
“คือ... ” ท่านบิดาถอนหายใจยืดยาว “อนาคตของชาวเผ่าเราทั้งหลายมันก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของเจ้าต่อคำถามที่พ่อกำลังจะถามนั่นแหละ”
คำพูดประโยคนั้นสร้างความภาคภูมิใจให้กับโจนน์อย่างเหลือจะกล่าว แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าบิดาจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า... อนาคตของชาวเผ่าเราขึ้นอยู่กับเจ้า... มันเป็นคำพูดที่ทำให้หัวใจพองโตปลื้มปีติจนบอกไม่ถูก
นี่คือโอกาส...โอกาสที่เธอเฝ้าฝันมานานว่าสักวันหนึ่งจะเรียกร้องความศรัทธาจากชาวเผ่าทั้งหลายกลับคืนมา ในความฝันนั้น เธอเฝ้ามองเห็นภาพตัวเองที่ต่อสู้กับภยันตรายทั้งหลาย เพื่อปกป้องเผ่าของเธอไว้ด้วยความกล้าหาญเช่นการบุกเข้าไปจับตัวแบร์บริต ด้วยมือเปล่า แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อโอกาสมาถึงมือเช่นนี้แล้ว โจนน์พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเอง
“ท่านพ่อเจ้าคะ... ” เธอมองหน้าบิดาอย่างร้อนรนกระวนกระวาย “ท่านพ่ออยากจะให้ลูกทำอะไรล่ะเจ้าคะบอกมาเถอะ... ลูกยินดีที่จะทำแน่... บอกมาสิเจ้าคะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม... ”
“เจ้าจะแต่งงานกับเอ็ดดริค แม็คเฟอร์สัน ได้ไหม”
“อะไรนะเจ้าคะ” คำถามประโยคนั้นทำลายความฝันของโจนน์ให้แตกสลายลงในพริบตา เอ็ดดริค แม็คเฟอร์สัน นอกจากจะแก่กว่าบิดาแล้ว เขาก็ยังเป็นบุคคลที่น่ากลัวยิ่งนัก สายตายามที่มองมาทางเธอทุกครั้งจะทำให้โจนน์ขนลุกด้วยความขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก
“ตอบมาสิว่าเจ้าจะแต่งหรือไม่แต่ง”
“เพื่ออะไรล่ะเจ้าคะ” แม้เธอหวังจะเป็นอัศวินสักเพียงไร แต่กระนั้นก็ยังอดตั้งคำถามออกไปไม่ได้ และทำให้สีหน้าของบิดาเคร่งขรึมลงกว่าเดิม
“ลูกรัก เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การต่อสู้ที่คอร์นเวลล์และผลก็คือต้องเสียคนของเราไปกว่าครึ่ง อเล็กซานเดอร์เองก็ตายในสนามรบ เขาตายสมกับเป็นแคชเชอร์จริง ๆ” หางเสียงของลอร์ดแคชเชอร์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ต่อสู้จนเลือดหยาดสุดท้ายทีเดียว”
“ลูกดีใจที่ท่านพ่อรอดพ้นอันตรายมาได้เจ้าค่ะ” โจนน์มิได้เสียเวลาที่จะแสดงความเศร้าเสียใจกับการที่พี่ชายบุญธรรมต้องเสียชีวิตในสนามรบเช่นนั้นเลย ทั้งนี้เพราะเขาทำให้เธอต้องมีสภาพตกนรกทั้งเป็นมาแล้ว แต่ขณะนี้ทุกสิ่งที่เขาได้ทำไว้กับเธอได้กลายเป็นอดีต เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจำเป็นจะต้องทำให้บิดาเกิดความภาคภูมิใจในตัวเธอเช่นกัน “และลูกก็รู้ว่าท่านพ่อรักเขาราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ของตัวเองด้วย”
ท่านบิดาเพียงแต่พยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับการแสดงความเสียใจของเธอ และแล้วก็หันมาให้ความสนใจกับปัญหาเฉพาะหน้านั่นอีกครั้ง
