บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

ถ้าโจนน์จะจับสังเกตในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เธอก็อาจจะได้เห็นร่างบนหลังม้าที่วิ่งผ่านแนวป่าละเมาะย้อนกลับมาตามเส้นทางที่คู่ขนานอยู่กับถนนสายในหมู่บ้าน และตามหลังเธอมาติดๆ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเธอกำลังตระหนกหมกมุ่นครุ่นคิดถึงข่าวร้ายที่เพิ่งได้รับมา

“นี่แสดงว่าเจ้าบริตมันอยู่ใกล้ตัวเราแล้วสิ” ผู้หญิงคนหนึ่งร้องขึ้น กกกอดลูกน้อยในอ้อมแขนไว้แนบอก “ขอพระเจ้าทรงคุ้มครองเราด้วยเถิด”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า...มันจะเข้าโจมตีแคชเชอร์ต่างหากเล่า” ผู้ชายคนหนึ่งตอบมาด้วยเสียงอันดัง “มันต้องการขย้ำแคชเชอร์มากกว่า สำหรับแบร์บริตนี่น่ะเป็นแค่ทางผ่านของมันเท่านั้นละ”

ทันใดในบรรยากาศก็ดูราวจะถูกครอบงำอยู่ด้วยความตื่นกลัว ทุกคนต่างมองเห็นภาพแสงไฟที่ลุกโชติช่วง มองเห็นการสังหารหมู่ มองเห็นความตายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเด็ก ๆ ต่างวิ่งเข้ามาห้อมล้อมโจนน์ไว้ เกาะแขนขาเป็นพัลวันด้วยความตื่นกลัว

ในทัศนะของชาวสก๊อต ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ดีมีเงินหรือต่ำต้อยยากจนก็ตาม ต่างก็มีความเห็นตรงกันอยู่ประการหนึ่งว่า แบร์บริต นั้นมีความร้ายกาจยิ่งกว่าปีศาจตัวจริงเป็นไหน ๆ มีแต่ความเหี้ยมโหด อำมหิต และที่แตกต่างกว่ากันก็ตรงที่ว่า ปีศาจนั้นยังได้ชื่อว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งความชั่วร้าย แต่แบร์บริต เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ สามารถทำได้ในทุกสิ่ง เป็นฆาตกรที่คุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของทุกผู้ และยังอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันอีกด้วย

โจนน์เต็มไปด้วยความอึดอัดกระสับกระส่ายต่อสภาพของบรรยากาศในยามนี้อย่างที่สุด เธอโอบร่างเล็ก ๆ ของเด็กเหล่านั้นไว้ และตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ทุกคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ได้รับรู้ในความคิดเห็นของเธอบ้าง

“ฉันคิดว่า... ยังไงเสียเขาก็จะต้องกลับไปหาเจ้านายกระหายเลือดของเขาแน่ เพื่อจะได้นอนเลียแผลที่เราฝากไว้ให้ที่คอร์นเวลล์ ขณะเดียวกันก็จะได้คุยโวโอ้อวดถึงชัยชนะของมัน ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยไงล่ะ และถ้ามันไม่ทำยังงั้น มันก็จะต้องเลือกโจมตีค่ายที่อ่อนแอกว่าแคชเชอร์เพราะไม่ยังงั้นมันก็ไม่มีอะไรไปอวดได้อยู่ดี”

ทั้งน้ำเสียงและคำพูด รวมทั้งท่าทีอันหยามหยันที่เธอแสดงให้ปรากฏทำให้ทุกคนต่างหันมามองเป็นตาเดียว การที่โจนน์กล่าวออกมาเช่นนั้น มิได้เป็นการเสแสร้งแสดงความกล้าหาญแต่ประการใด แต่เพราะเธอคือ แคชเชอร์คนหนึ่งแคชเชอร์ที่ไม่เคยหวั่นเกรงต่อศัตรูคนใดทั้งสิ้น เธอได้ยินคำกล่าวเช่นนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะยามที่บิดาอบรมสั่งสอนพี่ชายบุญธรรม และเธอก็รับมันเข้ามาไว้ในใจและจิตสำนึกของตนเองด้วย

ประการสำคัญก็คือ ท่าทางของชาวบ้านในยามนี้กำลังสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นกับพวกเด็ก ๆ ซึ่งเธอจะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนั้นไม่ได้

ดาซี่กระตุกชายกระโปรงโจนน์อยู่ เพื่อเรียกร้องความสนใจ และเอ่ยถามเสียงสั่นขึ้นว่า

“แล้วคุณหญิงไม่กลัวแบล็ค บริต เหรอ”

“ไม่กลัวเลย” โจนน์ตอบพร้อมกับยิ้มยืนยัน

“แต่ใคร ๆ เขาก็พูดว่า... ” เสียงหนุ่มน้อยที่ชื่อครีสเอ่ยขึ้นบ้าง “เจ้าแบร์บริต น่ะตัวมันสูงใหญ่เท่าต้นไม้เลยนะขอรับ”

“ขนาดนั้นเชียวเรอะ” โจนน์ถามพลางหัวเราะอย่างขบขันราวกับมันเป็นเรื่องตลกเสียเหลือเกิน “ถ้าเป็นยังงั้นจริงละก้อ มันคงน่าดูเหมือนกันนะ เพราะฉันเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตอนขึ้นม้าเขาจะทำยังไง สงสัยต้องมีคนรับใช้ถึงสี่คนคอยส่งเขาขึ้นหลังม้าแน่”

ภาพพจน์ที่เธอสร้างขึ้นทำให้พวกเด็ก ๆ เริ่มหัวเราะออกกันบ้างและโจนน์ก็ค่อยสบายใจขึ้น

“แต่ผมได้ยินมานะขอรับ... ” พ่อหนุ่มวิลล์เอ่ยขึ้นบ้าง “เขาบอกว่าแบร์บริต น่ะเอามือเปล่า ๆ พังกำแพงยังได้เลย แล้วก็กินเลือดด้วย”

“งั้นเขาก็ต้องเป็นยักษ์น่ะสิ” โจนน์มีดวงตาเป็นประกายด้วยความขบขัน “ไม่จริงหรอก เขาเพียงแต่เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นว่าคนคนนั้นน่ะ มีความดุร้ายแค่ไหนเท่านั้น ถ้าเมื่อไหร่เขามาถึงแบร์บริตละก้อ เราจะช่วยกันเอาเหล้าเอลให้เขาดื่มให้ตายไปเลย”

“พ่อผมบอกว่า... ” เด็กอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “เวลาที่เขาขี่ม้าไปไหนก็ตาม จะต้องมียักษ์ตัวหนึ่งขี่ม้ามาข้างๆเขาด้วยนะขอรับ เขาว่ายักษ์นั่นชื่อเอริคถือขวานเล่มใหญ่เอาไว้สับพวกเด็ก ๆ...”

“ช่าย... แล้วผมก็ได้ยินด้วยนะว่า... ” เด็กอีกคนหนึ่งแสดงความเห็นทันที แต่โจนน์ตัดบทเสียก่อนที่คำพูดจะลุกลามใหญ่โต ทำให้น่ากลัวมากกว่าที่เป็นอยู่

“เอายังงี้ดีกว่านะ ฉันจะเล่าให้พวกหนูฟังว่าที่ฉันได้ยินมาน่ะมันเป็นยังไง” ขณะที่เริ่มพูด เธอก็ต้อนพวกเด็ก ๆ ให้เดินไปทางสำนักนางชีด้วยพร้อมกัน “รู้ไหมว่าแบร์บริต น่ะแก่มากแล้ว เวลาจะมองอะไรทีจะต้องหยีตาด้วยนะ ไม่ยังงั้นมองไม่เห็นหรอก นี่เขาทำยังงี้... ” เธอแสร้งทำสีหน้าเป็นคนแก่หรี่ตาจนเกือบจะเหมือนคนตาบอดและพวกเด็ก ๆ ก็หัวเราะอย่างขบขัน

โจนน์ชวนพวกเด็ก ๆ พูดคุยด้วยเรื่องสนุกต่าง ๆ ไปตลอดทาง อย่างน้อยเธอก็ต้องการจะให้พวกเด็ก ๆ ได้รับรู้ไว้ว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ยินมาเกี่ยวกับ แบร์บริต นั้น ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระที่เกินกว่าจะเป็นจริงไปได้

แต่ในท่ามกลางเสียงหัวเราะอันเริงรื่นชื่นบานนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน ท้องฟ้ามืดมิดด้วยกลุ่มเมฆที่เคลื่อนตัวเข้าครอบคลุมอย่างรวดเร็วด้วยแรงลมอันเย็นเยือก เสื้อคลุมของโจนน์ปลิวไสวอยู่รอบตัวราวกับธรรมชาติจะสำเหนียกถึงความโหดอำมหิตของบุคคลที่ทุกคนกำลังกล่าวขวัญถึงไปด้วย

โจนน์กำลังจะเล่าถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแบร์บริต ให้พวกเด็ก ๆ ฟังอยู่แล้ว แต่ก็ต้องหยุดชะงักลงในทันที เพราะเมื่อมองตรงไปข้างหน้าเธอก็พบพบกับทหารกลุ่มหนึ่งที่อยู่บนหลังม้าตรงทางโค้งที่จะเลี้ยวเข้าสู่วัด และกำลังมุ่งหน้ามาทางเธอ

ขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นว่า มีสาวน้อยวัยเดียวกับเธอ และแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบแม่ชีฝึกหัด คือสวมเสื้อคลุมสีเทา สวมหมวกขาว นั่งอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับคนที่เป็นหัวหน้า รอยยิ้มเหนียมอายคือสิ่งที่ยืนยันในความรู้ของโจนน์

หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความดีใจอย่างเหลือล้นตั้งท่าจะวิ่งผวาออกไปต้อนรับ แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าการทำเช่นนั้นไม่เหมาะกับความเป็นกุลสตรีผู้ได้รับการอบรมมาอย่างดียิ่ง ทำให้เธอหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่สายตาจับอยู่ที่ร่างของบิดาก่อนจะเหลือบผ่านไปทางเหล่าทหารที่ขี่ม้าติดตามมา สายตาของเหล่าทหารที่มองมายังเธอนั้นมิได้บอกความชื่นชม ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่เคยแสดงให้เธอได้เห็นมาแล้ว นับแต่วันที่พี่ชายบุญธรรมป่าวประกาศเรื่องเกี่ยวกับเธอไปในทางที่ไม่ดี

โจนน์ออกคำสั่งให้เด็กทุกคนรีบกลับเข้าวัด และหยุดยืนรออยู่กลางถนน จนในที่สุดขบวนม้าก็หยุดลงตรงหน้าเธอ

ท่านบิดา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้แวะที่สำนักนางชีมาแล้วเนื่องจากได้รับตัวเบรนน่า น้องสาวบุญธรรมของเธอมาด้วยเหวี่ยงร่างลงจากหลังม้าก่อน แล้วจึงได้ยื่นมือขึ้นไปรับเบรนน่าลง แม้ว่าโจนน์จะร้อนใจใคร่จะได้ทักทายกับบิดาโดยเร็ว แต่กระนั้นก็ตระหนักดีว่า ในความยิ่งใหญ่ของบิดานั้น เขาจำเป็นจะต้องรักษาความเยือกเย็นสุขุมให้ปรากฏต่อหน้าเหล่าทหาร รอยยิ้มอ่อน ๆ ระบายอยู่บนเรียวปากของเลดี้โจนน์

ในที่สุด เขาก็หันมาทางเธอ กางแขนออกและโจนน์ก็โถมตัวเข้าสู่อ้อมอก กอดร่างบิดาไว้แน่น

“ท่านพ่อ...” น้ำเสียงของเธอละล่ำละลักด้วยความตื้นตันใจ “ลูกคิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน” เธอเกือบสะอื้นออกมา “นี่ก็เกือบสองปีแล้วนะคะที่ลูกไม่ได้เห็นหน้าท่านพ่อเลย ท่านพ่อสบายดีหรือเจ้าคะ...แต่ท่าทางท่านพ่อก็แข็งแรงมาก แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยละเจ้าคะ”

ลอร์ดแคชเชอร์ค่อยปลดแขนลูกสาวที่โอบอยู่รอบคอลงช้า ๆ ดันร่างให้ห่างออก ใช้สายตาสำรวจไปทั่วเรือนผมที่ยุ่งเหยิง นวลแก้มสีชมพูเรื่อ และเสื้อผ้าปอน ๆ ที่เธอสวมใส่อยู่ สายตาคู่นั้นทำให้โจนน์ประหวั่นอยู่ภายในภาวนาขอให้ท่านพ่อพอใจกับสภาพของเธอที่ท่านกำลังเห็นอยู่ในเวลานี้ และแน่นอน ในเมื่อท่านเองก็แวะที่สำนักนางชีมาแล้ว เพราะฉะนั้นรายงานความประพฤติของเธอที่บิดาได้รับมาย่อมจะต้องสร้างความพอใจให้เกิดขึ้นบ้าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel