บท
ตั้งค่า

9 การพบกันครั้งแรก

เซนยืนมองภาพอุบัติเหตุเบื้องหน้าด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง เขารู้ว่าเป็นฝีมือของน้องชายตนเอง แม้รู้สึกไม่ดีที่น้องของเขาฆ่าคนเป็นผักปลา แต่เซนก็ไร้ซึ่งความเสียใจหรือสงสารผู้เคราะห์ร้าย ในขณะที่เขาหันหลังและกำลังจะจากไป อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวเบื้องหลังภายในรถยนต์สีขาว มีร่างเล็กของเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ค่อยๆ คลานออกมาจากซากรถที่เริ่มจะมีประกายไฟลุก

“คุณอาคะ เห็นพ่อกับแม่หนูไหม?” เสียงเล็กๆ เอ่ยถามกับชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ด้วยดวงหน้าใสซื่อ แม้พึ่งผ่านอุบัติเหตุใหญ่มาร่างเล็กของเธอก็ไร้ซึ่งร่องรอยขีดข่วน ราวกับว่าเด็กน้อยไม่ได้อยู่ภายในรถคันนั้น

“…” เซนค่อยๆ หันหลังกลับไปมองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาแป๋วแหววคู่นั้น พลันหัวใจก็กระตุกวูบอย่างไร้สาเหตุ

“เห็นพ่อกับแม่หนูไหมคะ?” เสียงใสๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้งทำให้สติของเซนถูกดึงกลับมา หลังจากหลุดลอยไปกับความน่ารักและไร้เดียงสาของเด็กหญิงตัวน้อย

“นอนตายอยู่ตรงนั้นไง” เซนเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะย่อตัวนั่งยองๆ ข้างเด็กน้อย พลางเอ่ยตอบคำถามพร้อมชี้นิ้วไปยังร่างไร้วิญญาณของชายหญิงคู่นั้น ที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นพ่อและแม่ของเธอ

เด็กน้อยค่อยๆ หันไปมองตามทิศทางที่เซนชี้ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะสบสายตาเข้ากับร่างพ่อและแม่ของเธอนั้น เซนก็จับศีรษะของเธอให้หันกลับมามองทางเขาแทน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่อยากให้เธอได้เห็นภาพสะเทือนใจเบื้องหน้า…มันเป็นเพราะเหตุใดกันนะ?

เด็กหญิงตัวน้อยมึนงงไปชั่วขณะ เธอค่อยๆ เงยหน้าสบสายตากับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตน เธอรู้สึกว่าเขาน่าไว้ใจและไม่น่ากลัวเลยสักนิด ถึงแม้เขาจะมีผมสีดำสนิทที่ยาวสยาย แต่มันก็ดูนุ่มสลวยและน่าสัมผัส ใบหน้างดงามครึ่งซีกที่ถูกปิดบังอีกครึ่งเอาไว้ ด้วยหน้ากากสีดำเรียบหรูก็ชวนน่าดูไปอีกแบบ ดวงตาเรียบเฉยสีแดงดั่งเลือดกลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนแปลกๆ แม้เล็บของเขาจะดูยาวแหลมแต่ก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว เด็กน้อยยกมือขึ้นสัมผัสมือหนาด้วยความสนอกสนใจ ทำให้เซนแปลกใจกับการกระทำนั้นเป็นอย่างมาก

“หนูตัดเล็บให้ไหมคะ?” เธอจับมือเขาพลิกไปมาเพื่อดูเรียวเล็บที่แหลมคม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความใสซื่อ

“หึๆ” เซนตกใจในสิ่งที่เด็กน้อยเอ่ยถาม ก่อนที่ความขบขันจะเข้ามาแทนที่ เขาหลุดหัวเราะออกมาในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะเสมองไปทางอื่นอย่างไม่เข้าใจในท่าทางของเด็กหญิงตรงหน้า

ถ้าเป็นคนอื่นคงจะวิ่งหนีเขาหรือถอยห่างไปนานแล้ว เนื่องจากเขารู้ตัวดีว่ารูปลักษณ์ของเขามันประหลาดขนาดไหน แต่เธอกลับ…บอกว่าจะตัดเล็บให้เขา แถมยังสัมผัสมือของเขาอย่างไม่มีท่าทางว่าจะหวาดกลัวแม้แต่น้อย

“ดอกกุหลาบบนตัวคุณอาสวยจัง” ในขณะที่เซนกำลังจมอยู่กับความรู้สึกแปลกใจ เด็กหญิงตรงหน้าคนนี้ก็ทำให้เขาตกใจเข้าไปอีก เมื่ออยู่ๆ เธอก็ขยับเข้ามาใกล้ และสัมผัสผิวเนื้อที่อกด้านซ้าย ซึ่งมีรอยจารึกรูปดอกกุหลาบประทับอยู่

แปล๊บ!

ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้าไปในหัวใจที่ด้านชามาเป็นพันปี มันจุกและปวดหนึบในอกแต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ทนไหว เซนมองการกระทำเบื้องหน้าของเด็กหญิงด้วยความตะลึงงัน เธอค่อยๆ ลูบไล้นิ้วมือเล็กลงบนกลีบดอกกุหลาบที่โผล่พ้นออกมาจากสาบเสื้อ ซึ่งถูกปลดกระดุมไว้ประมาณสามเม็ด เพื่อให้ใส่แล้วรู้สึกสบายมากขึ้น พลันสายตาของเขาก็สังเกตเห็น ว่ากลีบดอกกุหลาบที่ถูกปลายนิ้วเล็กนั้นเลื่อนผ่านแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แต่เพียงไม่นานนักมันก็กลับมาเป็นสีดำดั่งเดิม

เปรี๊ยะ!

อยู่ๆ ก็มีเสียงซากรถยนต์ลั่นดัง เมื่อเซนเงยหน้าขึ้นไปดู ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้รถที่เด็กหญิงตัวน้อยพึ่งคลานออกมา เขาสังเกตเห็นว่ารถคันนี้กำลังจะระเบิด หากนั่งอยู่ในระยะนี้เด็กคนนี้อาจไม่รอดเป็นแน่ ชั่วขณะที่กำลังคิดก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น เด็กน้อยคนนั้นถูกคว้าตัวเข้ามาไว้ในอ้อมอกของเซน พร้อมกับที่เขากางบาเรียสีดำทะมึนออกมาป้องกันร่างกายโดยรอบเอาไว้ เมื่อเหตุการณ์สงบร่างสูงจึงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก ก็พบว่าเด็กน้อยที่เขากอดอยู่ได้สลบคาอ้อมอกเขาไปซะแล้ว ไม่กี่อึดใจต่อมา ก็มีเสียงหวอของรถตำรวจและรถพยาบาลดังขึ้นไม่ห่าง เซนค่อยๆ อุ้มร่างเล็กและเดินออกมายังจุดที่คิดว่าน่าจะปลอดภัย ก่อนจะวางเธอเอาไว้บนพื้นด้วยความเบามือ เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยบนร่างกายเธอแล้วว่าไม่ได้รับอันตรายใดๆ ร่างกายของเขาก็หายวับไปกับควันดำทันที

10 ปีต่อมา

เด็กหญิงที่ประสบอุบัติเหตุและสูญเสียพ่อแม่ในคืนนั้น ได้เติบใหญ่ขึ้นจนมีอายุราวๆ สิบแปดปีได้ เธอถูกรับเลี้ยงโดยคุณย่าซึ่งเป็นแม่ของพ่อเธอ และอยู่อาศัยกันในบ้านหลังเล็กๆ นอกเมือง ไร้ญาติคนอื่น ๆ มาสนใจไยดี ย่าของเธอเริ่มอายุมากแล้วและมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เด็กสาวไม่กล้าที่จะไปโรงเรียน และปล่อยท่านไว้เพียงลำพังได้ในระยะเวลานานๆ เธอจึงต้องเทียวไปเทียวกลับในช่วงเวลาพักกลางวัน เพื่อมาดูว่าย่าของเธอยังปกติดีอยู่หรือไม่ อีกทั้งเธอยังต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ดึกๆ ดื่นๆ หลังจากที่ย่าเธอนอนหลับไปแล้วอีก เนื่องจากรายได้หลักของบ้านก็มาจากสองมือสองเท้าของเธอคนเดียว

“ไอริส หนูไม่ต้องเป็นห่วงย่าหรอกลูก ไปทำงานเถอะ” หญิงชราหน้าตาเหี่ยวย่นดูจิตใจดี เอ่ยบอกหลานสาวที่กำลังนั่งปลอกผลไม้ใส่จานอยู่

“ไม่เป็นไรค่ะย่า เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาทำงานหนูค่อยไปก็ได้” เธอเงยหน้าจากการปลอกผลไม้ขึ้นมายิ้มละมุนให้ผู้เป็นย่า

“เฮ้อ… เมื่อไหร่ย่าจะตายๆ ไปสักทีก็ไม่รู้ อยู่ไปก็เป็นภาระให้หลาน” หญิงชายเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยใจในชีวิตที่เหลืออยู่ของตน

“ทำไมย่าพูดอย่างนั้นล่ะค่ะ ถ้าไม่มีย่าอยู่หนูจะอยู่ต่ออย่างไง” ไอริสทำสีหน้าเศร้า เธอรู้สึกเสียใจที่ย่ามองว่าตนเองเป็นภาระของเธอ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอมีความสุขมาก ที่อย่างน้อยๆ ในชีวิตของเธอก็ยังมีที่พึ่งทางใจ แม้เธอจะเหนื่อยแต่เธอก็มีความสุขและไม่เคยท้อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

“เอ้ออ ย่าขอโทษนะลูกนะ” ผู้เป็นย่ารู้สึกผิดที่ทำให้หลานของตนมีสีหน้าที่เศร้าสลด เธอจึงยิ้มน้อยๆ ให้หลานก่อนจะหยิบผลไม้ที่เด็กสาวปลอกเอาไว้ให้ขึ้นมาใส่ปากกิน เวลาผ่านล่วงเลยไปสักพักก็หมดเวลาที่เธอจะอยู่ต่อ ไอริสจึงค่อยๆ หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากตอนนี้ย่าของเธอได้ผล็อยหลับไปแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลากำลังโพล้เพล้ เด็กสาวรีบวิ่งไปยังร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานพาร์ทไทม์อยู่ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามนาทีเธอจึงต้องรีบไปสแกนนิ้วเริ่มงาน เมื่อมาถึงเธอฉิวเฉียดกับการเข้างานสาย เพื่อนร่วมงานที่รอเปลี่ยนกะอยู่ก็แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจออกมา

“ทีหลังมาให้มันเร็วกว่านี้หน่อยนะ!” หล่นถอดเอี๊ยมออก และเหวี่ยงลงบนเคาน์เตอร์ด้วยความไม่สบอารมณ์ตรงหน้าไอริส

“ขอโทษค่ะๆ” หญิงสาวก้มหัวขอโทษเพื่อนร่วมงานเล็กน้อย แม้เธอจะไม่รู้ว่าเธอผิดอะไร เพราะเธอสแกนนิ้วก่อนเริ่มงานตั้งหนึ่งนาที แต่เพื่อความสบายใจในการทำงานที่นี่ อะไรยอมได้ก็ควรจะยอมไปก่อน อีกอย่างเธอพึ่งจะได้เข้ามาทำงานที่นี่ด้วยจึงไม่อยากมีปัญหา

เพื่อนร่วมงานคนนั้นเหลือบสายตามามองไอริสด้วยความหมั่นขี้หน้า ก่อนจะเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้ไอริสอยู่คนเดียวเพียงลำพัง เนื่องจากร้านสะดวกซื้อนี้เป็นร้านเล็กๆ ในเมือง จึงไม่จำเป็นต้องมีพนักงานเยอะมาก เพราะลูกค้าก็ไม่ได้มีมากมายนัก เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนเริ่มดึกสงัด หญิงสาวจึงพลิกนาฬิกาที่ข้อมือดูก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว แต่ยังไร้ซึ่งเงาของเพื่อนร่วมงานอีกคนที่ต้องมาเปลี่ยนกะกับเธอ

กริ๊ง

“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น เพื่อเตือนคนในร้านให้รู้ว่ามีลูกค้ากำลังเข้ามา ไอริสเอ่ยตอนรับทักทายด้วยคำพูดเดิมๆ ที่เธอได้พูดกับลูกค้าคนอื่น ๆ และเมื่อหันไปมองก็พบเข้ากับชายร่างสูงใหญ่ ที่มีใบหน้าดุดันน่ากลัวเดินเยื้องย่างเข้ามาภายในร้าน

“ขอเบียร์หนึ่งกระป๋อง” ชายที่มีใบหน้าดุดันผู้นั้นเอ่ยบอกไอริส พลางยืนเคาะนิ้วรออยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์จ่ายเงิน สายตาของเขาทอดมองมาที่เธออย่างหยาดเยิ้ม

“คุณลูกค้าคะ รบกวนเดินไปหยิบเองได้ไหมคะ? ทางร้านมีนโยบายให้ลูกค้าบริการตัวเองน่ะค่ะ” ไอริสเอ่ยบอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ไม่! ไปหยิบให้ฉันเดี๋ยวนี้!!” ร่างใหญ่ผู้มีใบหน้าน่ากลัวตวาดใส่ไอริสเสียงดัง ทำให้หญิงสาวต้องยกมือขึ้นปิดหูด้วยความหวาดกลัวและตกใจ

“ค่ะๆ รอสักครู่นะคะ” ด้วยความที่หญิงสาวอยู่คนเดียวจึงไม่กล้าต่อต้านอะไร เธอจึงค่อยๆ เดินอ้อมเพื่อจะไปหยิบเบียร์กระป๋องที่ตู้แช่เย็นซึ่งอยู่ด้านในตัวร้าน แต่เมื่อเธอเดินเข้ามายังไม่ทันจะถึงตู้แช่ ก็รับรู้ได้ว่ามีใครบางคนเดินตามเธอมาติดๆ เมื่อหันหลังกลับไปมองก็พบกับชายหน้าโหดผู้นั้นยืนประชิดอยู่ด้านหลังเธอ

“แฮะๆ” มันแค่นเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาจากในลำคอ พลางยิ้มแสยะด้วยสีหน้าชั่วร้าย

“คุณจะทำอะไร? กรี๊ดดดดด” ไอริสกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนเธอ ก่อนจะดึงเข้ามาประชิดตัว “ปล่อยฉันนะไอ้บ้า!! ช่วยด้วยๆ” เธอพยายามกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ในขณะที่มันพยายามจะดึงเธอเข้ามาปลุกปล้ำ ทั้งสองต่อสู้กันไปมา แต่มีหรือผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะสู้แรงผู้ชายร่างใหญ่กำยำได้ มันผลักเธอจนล้มลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนจะปลดเข็มขัดที่ตนเองสวมอยู่ออก

“เป็นเมียพี่ซะดี คนสวย” มันพูดพลางเลียริมฝีปากไปมาด้วยความหื่นกระหาย ในขณะที่ไอริสก็พยายามกระเถิบถอยหนี จนหลังไปชนเข้ากับชั้นวางของที่อยู่ด้านใน

ทำยังไงดี ทำยังไงดี? เธอคิดในใจพลางมองไปรอบข้างเพื่อหาทางออก เพื่อนร่วมงานที่ต้องมาเปลี่ยนกะก็ยังไม่มา ดึกขนาดนี้ลูกค้าคนอื่นก็ไม่มีวี่แววว่าจะเข้ามาอีก หรือค่ำคืนนี้เธอจะเสียบริสุทธิ์ให้ผู้ชายป่าเถื่อนแสนน่ากลัวคนนี้กันนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel