บทที่3 - 2
ด้วยท่าทีท้าทายนั้นทำให้จิรชามองออกในทันทีว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่คนที่ขับรถไม่ประสีประสาแต่เป็นพวกที่พ่อแม่มีอันจะกินและไม่สนว่าการกระทำของตนจะทำให้ใครเดือดร้อน...เธอเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด
ตาคู่หวานมองตามพร้อมกับกำพวงมาลัยแน่นอย่างสะกดกลั้น ใจจริงเธออยากจะขับชนให้รู้แล้วรู้รอดหากแต่ไม่อยากจะทำอะไรที่มันรุนแรงทว่าก่อนที่จิรชาจะได้นับถึงสิบมือข้างหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาจากฝั่งคนขับก่อนที่จะกำมือและโชว์เพียงนิ้วกลางส่งมาให้
มือบางตบพวงมาลัยระบายความโกรธก่อนจะเหยียบคันเร่งจนเข็มบนหน้าปัดเคลื่อนไปจนถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ คราวนี้เธอไม่ได้แซงอีกฝ่ายหากแต่พุ่งเข้าชนท้ายอย่างหาเรื่อง
โครม!
ในเมื่อแซงไม่ได้เพราะสมถะรถของอีกฝ่ายดีกว่าก็ชนเสียเลย เธอยอมจ่ายค่าเสียหายแต่จะไม่ยอมให้ไอ้คนกวนประสาทนั่นรอดพ้นไปได้ กล้ามาชูนิ้วกลางหยามเธอแบบนี้มันต้องโดนซะบ้าง
“รู้จักลูกสาวผู้กำกับเจตพงษ์น้อยไปแล้วเว้ย”
เพราะความบ้าบิ่นของจิรชาในที่สุดรถคู่กรณีก็เสียหลักและต้องจอด หญิงสาวระบายยิ้มด้วยสะใจขณะที่เลี้ยงเข้าไปจอดริมถนน
เจ้าของรถยาริสสีเทาดำเป็นชายร่างสูงโปร่งคาดเดาจากใบหน้าอายุอานามน่าจะยังไม่ถึงสามสิบ...แค่ยี่สิบสามก็ไม่แน่ใจว่าถึงหรือไม่
ชายคนนั้นลงจากรถมาตรวจสอบความเสียหายของรถตัวเองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แลดูหัวเสียไม่น้อยเลย คนทำให้ชายหนุ่มคู่กรณีหัวเสียได้ยิ้มสะใจอีกครั้งขณะที่หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่งข้อความหาเพื่อนซึ่งทำงานที่เดียวกันเพื่อบอกว่าวันนี้อาจจะเข้าสายหน่อยก่อนจะเปิดประตูและก้าวลงจากรถอย่างมาดมั่น
“เฮ้ย เป็นบ้าอะไรวะ” ชายหนุ่มโวยวายลั่นทันที่หญิงสาวปรากฏตัว เธอไม่ตอบแต่ก้าวเข้าไปประชิดตัวและอาศัยจังหวะไม่ทันระวังตัวของชายหนุ่มซัดเข้าไปเต็มรักก่อนจะผลักให้ร่างสูงล้มลงไปใส่กระโปรงรถและจับแขนข้างหนึ่งบิดมาไขว้หลังให้หน้าของชายหนุ่มแนบไปกับกระโปรงรถ
“โอ๊ย”
“เจ็บมั้ย ไอ้คนที่แกชนเขาก็เจ็บเหมือนกัน แล้วเป็นบ้าอะไรทำไมไม่ลงไปดูเขา รู้มั้ยการกระทำเหมือนกินหญ้าเป็นอาหารของแกมันทำให้คนเขาเดือดร้อนไปหมดน่ะ รู้มั้ยหะไอ้เวร”
“โอ้ย ปล่อยกูนะเว้ย ไม่อย่างนั้นมึงได้เจอพ่อกูแน่”
“พ่อมึงใหญ่นักเหรอ” เธอถามไปอย่างใส่อารมณ์ก่อนจะดึงร่างสูงขึ้นมาและลากออกไปห่างจากรถ “พ่อมึงจะใหญ่ขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้ถ้ากูโยนมึงไปกลางถนนตอนนี้ จะลองมั้ย”
“ยะ อย่านะ อย่านะพี่ ผมขอโทษ ขอโทษครับพี่” พอบอกว่าจะโยนคนที่ตอนแรกมีท่าทีเก่งกล้าก็แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวขึ้นมาทันตา
ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าของรถที่ไล่ตามมาเป็นผู้ชายพอหญิงสาวลงมาจากรถยังนึกกระหยิ่มในใจว่าคงจะจัดการได้ง่ายแต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่...เขาไม่ควรเสียมารยาทกับผู้หญิงที่น่ากลัวแบบนี้ ไว้รอมีคนมาช่วยก่อนเถอะเขาจะเอาคืนให้หงอไปเลย
“ขอโทษครับพี่ ผมผิดไปแล้ว พี่จะให้ผมทำอะไรก็ได้ ปล่อยผมเถอะนะครับพี่”
“ปล่อยเหรอ เหอะ ปล่อยกลางถนนนั่นมั้ยล่ะ”
“ผะ ผมผิดไปแล้วครับ” ชายหนุ่มยังคงพร่ำบอกด้วยความหวาดกลัวก่อนจะยิ้มโล่งใจเมื่อรถตำรวจวิ่งเข้ามาจอดไม่ห่างจากที่ตนอยู่ ขอแค่มีตำรวจอยู่ผู้หญิงคนนี้ก็คงไม่กล้าทำอะไรเขา รอให้ถึงโรงพักก่อนเถอะเขาจะฟ้องพ่อให้มาจัดการให้หมด
นายตำรวจหนุ่มฉกรรจ์พร้อมกับลูกน้องในเครื่องแบบอีกสองคนมุ่งตรงมายังจุดที่จิรชาอยู่ หนึ่งในสองคนที่เดินตามมาเข้ามารับตัวชายหนุ่มมาจับกุมไว้ขณะที่จิรชายักไหล่ให้
“ไอ้หมอนี่ขับรถชนวินแล้วก็เฉี่ยวรถฉันแล้วยังทำให้เกิดอุบัติเหตุ ฉันตามมันมาแต่มันชูนิ้วกลางใส่ฉัน ฉันเลยขับรถชนรถมัน จะแจ้งข้อหาก็แจ้งมาเลยพร้อมเคลียร์”
“ดุจังเลยนะ ไม่กล้าจีบแล้วเนี่ย” แทนที่นายตำรวจหนุ่มจะตอบรับหรืองุนงงและตกใจกับสิ่งที่หญิงสาวบอกเล่าเขากลับเอ่ยมาพร้อมกับใบหน้าเจ้าชู้ยักษ์...แน่นอน เขารู้จักกับเธอคนนี้อยู่แล้ว
และจิรชาเองก็รู้จักกับนายตำรวจหนุ่มเช่นกัน ก็แหงละ นี่มันลูกน้องของพ่อที่เป็นตำรวจของเธอนี่ หญิงสาวค้อนให้ก่อนจะเอ่ยอย่างตัดสัมพันธ์
“อย่ามาทำเจ้าชู้ ไม่อิน”
“โธ่ ใจร้ายจัง ไม่รับมุกเลย แต่ช่างเถอะ...ยังไงก็ขอเชิญไปให้ปากคำที่สถานีแล้วกันนะครับ” ร้อยตำรวจเอกเมฆาเอ่ยพร้อมกับหันไปสั่งการลูกน้องให้นำตัวคนก่อเหตุไปขึ้นรถและให้อีกคนนำรถคันก่อเหตุไปที่สถานีตำรวจท้องที่ซึ่งก็เป็นสถานีที่เขาประจำอยู่
จิรชาพ้นลมหายใจอย่างโล่งอก เธอพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นลูกคุณหนูที่พ่อแม่กว้างขวางหรือมีอิทธิพลอยู่บ้างและการจัดการดำเนินคดีกับอีกฝ่ายคงยากแต่พอเมฆาปรากฏตัวขึ้นความกังวลของหญิงสาวก็จางหายไป...สถานีตำรวจที่เมฆาประจำอยู่มีผู้กำกับเจตพงษ์ผู้เป็นพ่อของเธออยู่ พ่อของเธอกล้าชนกับอิทธิพลอยู่แล้วดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าไอ้บ้านั่นจะลอยนวล ผู้กำกับเจตพงษ์น่ะกัดไม่ปล่อยหรอก
คนมีพ่อเป็นผู้กำกับยักไหล่ก่อนจะกลับไปที่รถเพื่อจะไปยังสถานีตำรวจด้วยความรู้สึกสะใจแม้ว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้เธออาจจะต้องเจอกับผู้เป็นพ่อที่มักจะสร้างความกระอักกระอวนให้กันได้บ่อย ๆ ก็ตามที
