2 หมั้น
2
หมั้น
สายตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นระยะ ขณะร่างบางปรับเบาะรถซุปเปอร์คาร์ให้นั่งได้สบายมากยิ่งขึ้น ก่อนขาเรียวสวยจะถูกยกขึ้นมาไขว่กันเอาไว้ด้วยท่วงท่าน่ามอง ทำให้ระดับการทำลายล้างหัวใจดูรุนแรงมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า
ร่างเล็กหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายของตนขึ้นมากดเล่น โดยไม่สนใจว่าผิวขาวเนียนน่าสัมผัสของเรียวขา ได้โผล่พ้นรอยผ่าด้านข้างของกระโปรงออกมา ทำให้แผ่นดินอดที่จะลอบมองและกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศภายในรถซึ่งถูกปรับเอาไว้ให้เย็นสบาย ไม่ได้ทำให้หัวใจของผู้ชายอกสามศอกมีอุณหภูมิลดลงเลยสักนิด
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้สบเข้ากับดวงตาสีเทาหม่นเป็นประกายของคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็เล่นเอาเข็มทิศชีวิตเขารวนไปหมดจนพูดหรือทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง กว่าจะดึงสติของตนเองกลับมาได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว
“พี่จอดรถแล้วเปลี่ยนให้แก้มเป็นคนขับแทนดีไหมคะ?”
หลังรถหรูเคลื่อนตัวออกมาจากสนามบินได้สักพักหนึ่ง บุคคลที่นั่งเงียบมาตลอดทางก็เอ่ยขึ้น ด้วยอาการที่ชักเริ่มจะหมดความอดทนกับผู้ชายข้างๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับให้กับเธอ
“ทะ ทำไมเหรอ?”
แผ่นดินเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าอยู่ดีๆ สาวสวยจะหันมาพูดด้วย
“พี่จะได้นั่งลวนลามแก้มด้วยสายตาได้ถนัดมากขึ้นไงคะ หึ!”
ใบหน้าสวยคมตวัดสายตาหันไปมอง คนที่กำลังทำท่าเหมือนถูกจับได้ว่ากระทำความผิด แผ่นดินดูเลิ่กลั่กอย่างชัดเจน จนทำให้แก้มหอมแค่นเสียงหัวเราะออกมาในลำคอเบาๆ
“…”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบเนื่องจากไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เพราะการกระทำของเขามันโจ่งแจ้งออกขนาดนี้ เขาเพียงแค่กระแอมออกมาเบาๆ แก้เขิน แล้วหันกลับไปโฟกัสถนนเบื้องหน้าตนเองต่อ แต่ก็ยังไม่วายที่จะชำเลืองมองเธออยู่ดี
เป็นใครก็คงทำใจยอมเชื่อกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่ได้ เมื่ออยู่ๆ เด็กสาวที่มีอายุห่างจากตนเองถึงสี่ปี ซึ่งเขาจำได้ว่ามีหน้าตาบ้านๆ ชอบทำตัวเงียบขรึมแถมยังเป็นคนขี้อายสุดๆ จะกลายเป็นสาวสวยสุดมั่นที่เปรี้ยวเข็ดฟันตรงสเป็คเขาได้ถึงขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกนักหรอก ที่แผ่นดินจะมองแล้วมองเล่าให้มั่นใจว่ามันไม่ใช่ความฝัน
หลังโลดแล่นอยู่บนท้องถนนมาร่วมชั่วโมง รถซุปเปอร์คาร์สีดำสนิทก็ได้เคลื่อนตัวเข้ามาจอดภายในลานกว้างหน้าบ้านหลังหนึ่ง ทันทีที่รถจอดสนิทแก้มหอมจึงเปิดประตูลงจากรถไปยืนเบื้องล่าง โดยมีร่างสูงของแผ่นดินลงตามมาติดๆ
“ยกกระเป๋าเข้าไปในบ้านให้แก้มด้วย”
ร่างระหงสาวเท้าเดินเข้าไปบ้านหลังใหญ่ทันทีที่ออกคำสั่งเสร็จ ทิ้งแผ่นดินยืนมองตามแผ่นหลังเนียนด้วยสายตางงงัน
“เดี๋ยวนะ นี่ฉันกลายเป็นคนรับใช้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
คิ้วสองข้างขมวดย่นพลางบ่นพึมพำกับตนเองด้วยความไม่เข้าใจ พลันถอนหายใจยาวๆ ออกมาด้วยอารมณ์ที่เริ่มไม่ดีเท่าไหร่นัก
แต่เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนตรงหน้า ซึ่งตอนนี้เดินลิ่วเข้าไปในบ้านแล้ว จึงทำได้แค่เพียงเดินไปเอากระเป๋าของเธอลงจากรถ และลากตามร่างบอบบางเข้าไปในบ้านอย่างจำใจ
“กลับมาแล้วเหรอลูก แม่คิดถึงจังเลย”
เมื่อเข้ามาด้านในบ้าน กชกรซึ่งนั่งรออยู่นานแล้วก็รีบลุกขึ้น และเดินเข้าไปหาลูกสาวเพียงคนเดียวของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส สองมือหย่อนคล้อยตามวัยโอบกอดร่างบอบบางด้วยความคิดถึง เนื่องจากไม่ได้พบเจอหน้าลูกเป็นเวลาหลายปี
“คิดถึงเหมือนกันค่ะแม่ ว่าแต่พ่อไปไหนคะเนี่ย?”
เมื่อถูกผู้เป็นแม่โอบกอดจนอิ่มใจแล้ว แก้มหอมจึงผละกายออกก่อนสอดส่องสายตาพลางเอ่ยถามถึงผู้เป็นพ่อทันที
“ไปตีกอล์ฟกับคุณลุงเจนภพน่ะลูก เนี่ยแม่ก็ว่าจะไปหาคุณป้าดาริณอยู่พอดี ว่าแต่ลูกกลับมาจากสนามบินยังไง พี่แผ่นดินเขาไม่ได้ไปรับลูกหรอกเหรอ?”
“ก็กลับมากับพี่เขาน่ะแหละค่ะ”
“อ้าว แล้วตอนนี้พี่เขาอยู่ไหนล่ะ? ไม่เห็นเข้ามาด้วยกัน”
กชกรชะเง้อคอมองไปทางด้านหน้าประตู เพื่อมองหาว่าที่ลูกเขยของตน แต่ถูกลูกสาวดึงความสนใจกลับมาเสียก่อน
“น่าจะยืนช็อกอ้าปากค้างอยู่หน้าบ้านเรามั้งคะ? ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“อะ ฮึ่ม!!”
ร่างสูงที่กำลังเป็นหัวข้อบทสนทนากระแอมออกมาดังๆ เพื่อส่งสัญญาณว่าตนเองมีตัวตนอยู่ตรงนี้ หลังจากเดินลากกระเป๋าเดินทางของแก้มหอมเข้ามาในบ้าน และแอบได้ยินเธอกำลังว่าเหน็บแนมเขาอยู่
“ทำไมเราไปใช้พี่เขาลากกระเป๋าเข้ามาให้แบบนั้นล่ะลูก คนรับใช้ที่บ้านมีตั้งเยอะแยะ ยัยลูกคนนี้นี่ ขวัญๆ ไปรับกระเป๋าเดินทางจากคุณแผ่นดินหน่อยสิ”
กชกรตำหนิลูกสาวเล็กน้อย และรีบหันไปเอ่ยสั่งสาวใช้ซึ่งทำหน้าที่ของตนเองอยู่ไม่ห่างมากนัก เธอจึงรีบเดินเข้าไปรับกระเป๋าเดินทางจากแผ่นดินโดยไว
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า เรื่องเล็กน้อย”
แผ่นดินตอบรับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนหันไปมองใบหน้าสวยของร่างเล็ก ซึ่งยืนเบะปากให้เขาอยู่ทางด้านหลังแม่ของเธอ
“งั้นก็ขอบใจเรามากนะลูก งานก็ยุ่งยังอุตส่าห์ไปรับยัยแก้มที่สนามบินอีก แถมถือกระเป๋าเข้ามาส่งน้องในบ้านด้วย”
“ครับ ไม่เป็นไร”
“ปะ เดี๋ยวไปบ้านโน้นกันดีกว่า พอดีน้าจะไปหาแม่ของเราอยู่พอดี”
ทุกคนทำท่าจะหันหลังเดินออกจากบ้าน ทว่าแก้มหอมกลับเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน ใบหน้าของกชกรจึงตึงขึ้นเมื่อถูกผู้เป็นลูกสาวขัดใจ
“แก้มไม่ไปนะคะ พอดีนัดเพื่อนเอาไว้ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย”
“กลับมาก็จะไปหาเพื่อนเลยนะ อยู่บ้านบ้างก็ได้”
“ก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งสิบปีแล้วนี่คะ คิดถึงกันก็เป็นเรื่องปกติไหม?”
“งั้นก็ไปกับแม่ก่อน แม่กับคุณป้าดาริณมีเรื่องสำคัญจะพูดกับเรา อย่าเสียมารยาท”
“ก็ได้ค่ะ”
เมื่อตกลงกันได้แล้วทั้งสาวคนจึงเดินออกมาจากบ้าน โดยมีแผ่นดินรั้งอยู่ท้ายสุด
“เตรียมใจไว้บ้างก็ดีนะ จะได้ไม่ช็อก หึหึ”
อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ก้มลงไปกระซิบชิดริมใบหูของคนที่เดินอยู่ด้านหน้าเขา ส่งผลให้เธอต้องเอี้ยวตัวหลบด้วยความตกใจกับความใกล้ชิดเกินไป
“เรื่องอะไร?”
แก้มหอมหันไปถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ใบหน้าสวยมีรอยย่นระหว่างคิ้วปรากฏ ดวงตาคมเฉี่ยวจับจ้องคู่สนทนาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่บอกหรอก ฉันรอดูสีหน้าตกใจของเธอตอนนั้นดีกว่า คงจะตลกไม่ใช่น้อย หึ!”
ทิ้งคำพูดแฝงนัยไว้ให้อีกฝ่ายขบคิดเสร็จสรรพ แผ่นดินก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี และรีบสาวเท้าเดินหนีร่างบางไปในทันที ทิ้งให้หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง
ทั้งสามคนเดินลัดเลาะบริเวณทางเดินบนสนามหญ้าข้างบ้าน ก่อนแทรกตัวผ่านประตูรั้วบานเล็ก ซึ่งเชื่อมระหว่างบ้านของทั้งสองเข้าด้วยกัน ไปยังบ้านอีกหลังซึ่งเป็นของแผ่นดิน
“มากันแล้วเหรอ? ไหนดูสิลูกสะใภ้ฉันสวยขึ้นสมคำร่ำลือหรือเปล่า?”
ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาเข้าไปด้านในตัวบ้าน ดาริณก็รีบปรี่เดินสวนออกมา และพุ่งตรงไปหาแก้มหอมซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสุด
มือของหญิงที่ดูมีอายุแต่ยังคงเต่งตึงจากการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี จับไหล่เนียนทั้งสองข้างของว่าที่ลูกสะใภ้พลางหมุนไปมา ราวกับกำลังพิจารณาสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์ที่ตนเองชื่นชอบ
“แม่ครับ เก็บอาการหน่อย”
แผ่นดินปรามแม่ตนเองเบาๆ เพราะเธอดูตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้าเกินไป ต่างจากเขาที่มีท่าทีเหนื่อยหน่าย
จะไม่ให้เธอดีใจได้อย่างไร ลูกชายกำลังจะมีเมียเป็นตัวเป็นตนสักที หลังจากมีข่าวฉาวกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าในเกือบทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้
เล่นเอาคนเป็นแม่ถึงกับความดันขึ้น ไมเกรนจับจนปวดหัวไปหมด เพราะเครียดและคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ จนในที่สุดเธอก็มีความคิดดีๆ ที่จะเอาลูกสาวของเพื่อนสนิทตนเองมากำราบเจ้าลูกชายตัวร้าย
“จิ๊! แกนี่ ไปๆ เข้าไปในบ้านกันดีกว่าหนูแก้มหอม นั่งเครื่องมาตั้งนานน่าจะเมื่อย”
ดาริณหันไปส่งสายตาขัดใจใส่ลูกชายตนเอง ก่อนกลับมาส่งยิ้มหวานพร้อมโอบประคองบุคคล ที่ตนเองหมายมั่นจะเอามาเป็นลูกสะใภ้ และพาเดินเข้าไปยังด้านในตัวบ้านหลังใหญ่ โดยมีเสียงเหน็บแนมจากแผ่นดินดังตามหลังมาติดๆ
“เห่อขนาดนี้ไม่เอาเข้ามาอยู่ในบ้านเลยล่ะแม่”
“เอ่อ…เห็นคุณแม่บอกว่าคุณป้ามีธุระอะไรจะคุยกับแก้มเหรอคะ”
แก้มหอมที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และคำพูดแปลกๆ จากหญิงวัยกลางคนตรงหน้า จึงรีบเอ่ยถามเพื่อหาความกระจ่างให้ตนเองทันที หลังจากที่เธอถูกพามานั่งลงบนโซฟาตัวหรู ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องรับแขกขนาดใหญ่โตโอ่โถง
“อ้าว เธอยังไม่ได้บอกหนูแก้มหอมหรอกเหรอ?”
ดาริณหันไปเอ่ยถามเพื่อนสนิทของตน ที่นั่งอยู่บนโซฟาถัดจากว่าที่ลูกสะใภ้ไป
“ยังเลย ฉันอยากให้เธอเป็นคนบอกยัยแก้มเองมากกว่า”
สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกและท่าทีดูล่อกแล่กลนลานของผู้เป็นแม่ ทำให้แก้มหอมรู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่นัก
“เธอเป็นแม่หนูแก้มนะ เธอสมควรจะบอกมากกว่า”
“แต่มันเป็นความคิดของเธอนะ เธอแหละบอก”
“ไม่เอา เธอแหละบอก”
“เธอน่ะแหละ…”
“โอ๊ย! คุณแม่คะ คุณป้าคะ แก้มเวียนหัว มีอะไรจะบอกก็บอกมาพร้อมๆ กันเลยค่ะ แก้มรอฟังอยู่”
ร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนที่กำลังเถียงกันอยู่เริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา จึงเอ่ยเสียงดังขัดคนทั้งคู่พลางยกมือปราม
“…”
แม้กชกรและดาริณจะเงียบลงแล้ว ทว่ายังไม่ยอมเลิกโยนหน้าที่ในการบอกกล่าวเรื่องราวบางอย่างให้เธอได้รับรู้สักที
ผู้ใหญ่สองคนสะกิดกันไปกันมา จนในที่สุดแผ่นดินที่กำลังยืนพิงพนักโซฟาตัวตรงข้าม ดูเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ ก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับพฤติกรรมของพวกท่าน
“เขาจะให้เธอหมั้นกับฉัน”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในความเงียบสงัด ทำให้ทุกอย่างรอบกายหยุดนิ่งราวกับกดปุ่มสต๊อป
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนนั่งยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจในสิ่งที่แผ่นดินได้พูดออกมา ส่วนเจ้าของดวงตาสีเทาหม่นที่กำลังเบิกกว้าง พร้อมอ้าปากค้างกำลังตกใจในสิ่งที่ตนเองพึ่งได้ยิน
“หมั้น?”
แก้มหอมทวนคำที่แผ่นดินเอ่ยไปเมื่อครู่ออกมาเบาๆ พลางลากสายตามองหน้าบุคคลทั้งสามไปมาอย่างหาคำตอบ
“ใช่”
“กับพี่เหรอ?”
เรียวนิ้วถูกยกขึ้นชี้ไปยังร่างกำยำ คนถูกชี้ก็ทำเพียงแค่ยิ้มเล็กๆ พร้อมพยักหน้า
“ถูก”
“ไม่จริงใช่ไหม…?”
“จริงแท้อย่างแน่นอน”
แผ่นดินย้ำคำตอบทุกคำถามที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่ม ทำให้ใบหน้างามถึงกับซีดเผือดอย่างหวาดหวั่นในสิ่งที่ได้ฟัง
“พี่แผ่นดินแค่ล้อแก้มเล่นใช่ไหมคะแม่? ที่แม่ให้แก้มรีบกลับมาหลังจากเรียนจบ ไม่ใช่เรื่องนี้ใช่ไหมคะ?”
แก้มหอมรีบหันไปขอคำตอบจากผู้เป็นแม่ ซึ่งกำลังนั่งยิ้มแห้งๆ ให้กับเธออยู่ข้างๆ ก่อนเธอจะหันกลับไปอีกทาง ก็พบเข้ากับพฤติกรรมที่ดูยินดีปรีดาจนออกอาการชัดเจนของดาริณ จึงรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูด ไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างที่เธอคาดหวังเอาไว้
“เขาไม่มีเวลาว่างมานั่งกุเรื่องหลอกเธอกันหรอกนะ ก็แค่หมั้น จะตกใจอะไรนักหนา”
แผ่นดินเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เรียกสายตาคมดุจากเจ้าของดวงตาสีเทา ให้ตวัดไปมองด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
“ไม่มีทาง! ยังไงแก้มก็ไม่หมั้นกับผู้ชายคนนี้เด็ดขาด!!”
ร่างบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนประกาศก้องด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด และเมื่อเอ่ยจบ สองขาเรียวยาวบนรองเท้าส้นเข็มสีแดงสดก็ก้าวฉับๆ ออกจากตรงนั้นทันที
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผมนะครับ ขอตัว…”
แผ่นดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะเล้น และหันหลังเดินออกจากบ้านมาอีกคน ทิ้งให้หญิงวัยกลางคนทั้งสองนั่งหน้ามุ่ยกันอยู่ที่โซฟา
