ตอนที่ 3: คำสาปของครอบครัววิฬาร์ภากร
“คุณปู่ไปที่ไหนมาเหรอคะ” ยัยพลอยถามแมวบริติช ช็อตแฮร์ที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ
“ปู่ออกไปเดินเล่นแถวนี้มาน่ะ” เสียงของชายชราดังออกมาจากปากของแมวบริติช ช็อตแฮร์
“เอ๊ะ!!! มันอันตรายไม่ใช่เหรอคะคุณปู่ ออกไปเดินข้างนอกทั้งๆ ที่เป็นแมวแบบนี้” ยัยพลอยถามแมวบริติช ช็อตแฮร์ด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ก็ร่างแมวมันเคลื่อนไหวสะดวกกว่าน่ะ ส่วนร่างคน ปู่รู้สึกปวดเข่า เวลาเดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก” แมวบริติช ช็อตแฮร์ตอบพร้อมกับกระโดดออกจากอ้อมกอดของยัยพลอย ก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ประจำตัว
“ว่าแต่ตาพสิษฐ์ แกไม่คิดจะทักทายปู่บ้างเหรอไง” แมวบริติช ช็อตแฮร์ปรายตามองมาที่ผม ก่อนจะเอี้ยวตัวเลียขนทางด้านหลังของตัวเอง
“สวัสดีครับคุณปู่” ผมยกยิ้มที่มุมปากมองท่าทางแบบแมวๆ ของคุณปู่
“หึ!!!” แมวบริติช ช็อตแฮร์หันหน้ามามองผม ก่อนจะก้มลงเลียอุ้งเท้าของตัวเองบ้าง ซึ่งเมื่อพวกเราเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาทันที ราวกับเรื่องราวแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วภายในครอบครัวของพวกเรา
เมื่อพูดถึง 'ครอบครัววิฬาร์ภากร' เป็นหนึ่งในครอบครัวที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดครอบครัวหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากความร่ำรวยจากการทำธุรกิจส่งออกพืชผลทางการเกษตรรายใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็ต่างพูดถึง
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้คนภายนอกได้พบเห็นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ครอบครัววิฬาร์ภากรยอมเปิดเผยให้ผู้คนภายนอกได้รับรู้เท่านั้น
สำหรับต้นตระกูลของครอบครัววิฬาร์ภากรมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยตระกูลวิฬาร์ภากรนี้มีบันทึกว่าก่อตั้งครอบครัวมายาวนานมากกว่าประวัติศาสตร์การสร้างประเทศไทยเสียอีก เรียกได้ว่าครอบครัววิฬาร์ภากรได้ผ่านมาทุกยุคทุกสมัยและอยู่ยาวมาจนถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
และถึงแม้ว่าครอบครัววิฬาร์ภากรจะเป็นครอบครัวที่โด่งดัง แต่สมาชิกส่วนใหญ่ในครอบครัวมักชอบเก็บตัวและไม่ชอบออกงานสังคมเป็นอย่างมาก
สำหรับครอบครัวของผม งานสังคมส่วนใหญ่จะมีเพียงคุณแม่และน้องสาวของผมเท่านั้นที่มักจะไปปรากฏตัวออกงานสังคมให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ส่วนทางด้านคุณปู่ คุณพ่อและผม รวมไปถึงผู้ชายคนอื่นๆ ในตระกูลวิฬาร์ภากรก่อนหน้านี้มักจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครได้พบเห็นได้ง่ายๆ บางคนถึงขั้นหายหน้าหายตาไปจากสื่อหลายปี จนหลายคนถึงกับลืมเลือนพวกเขาไปเลยว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัววิฬาร์ภากร
และสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายในครอบครัววิฬาร์ภากรเลือกที่จะไม่ปรากฏตัวให้ใครได้พบเห็น เนื่องจากว่าครอบครัวของพวกเรามีความลับบางอย่างที่ต้องปกปิดเอาไว้จากผู้คนภายนอก
ซึ่งความลับที่ครอบครัวของพวกเราได้ปกปิดไว้นั่นก็คือ การกลายร่างเป็น 'แมว' !!! ในสมาชิกของครอบครัวที่เกิดมาเป็นผู้ชาย
สืบเนื่องมาจากต้นตระกูลของพวกเราได้ทำพันธสัญญากับเสือสมิงในยุคโบราณเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พวกเขาจะช่วยรักษาต้นตระกูลของพวกเราให้รอดพ้นจากความโหดร้ายในยุคอดีตที่มืดมน
และจากพันธสัญญานี้เองได้เปลี่ยนเป็นคำสาปทำให้ผู้ชายทุกคนที่เกิดมาในครอบครัวถูกสาปให้กลายร่างเป็น 'แมว' ในคืนวันอาทิตย์ตั้งแต่ช่วงเวลา 4 ทุ่มไปจนถึงช่วงเวลาตี 4 ของวันจันทร์
และจากคำสาปที่เปลี่ยนให้ผู้ชายทุกคนในตระกูลกลายร่างเป็นแมวนี้เอง ทำให้พวกเราได้เลือกตั้งชื่อนามสกุลของพวกเราว่า 'วิฬาร์ภากร' ซึ่งมีความหมายว่า 'แมวผู้ยิ่งใหญ่'
นอกจากผลของคำสาปที่ทำให้ผู้ชายในครอบครัววิฬาร์ภากรกลายเป็นแมวในคืนวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มไปจนถึงเวลาตี 4 ของวันจันทร์แล้ว
ถ้าหากว่าผู้ชายเหล่านี้มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์แล้วยังไม่สามารถหา 'ของกิน' บางอย่างมาใช้แก้คำสาปได้แล้วล่ะก็พวกเขาจะต้องกลายเป็นแมวไปตลอดชีวิต
ซึ่ง 'ของกิน' ที่ใช้แก้คำสาปนี้เป็นของกินที่เฉพาะเจาะจงต่อแมวตัวนั้นๆ เท่านั้นถึงจะช่วยแก้คำสาปได้ และช่วยเพียงไม่ให้พวกเขาถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแมวไปตลอดชีวิตเท่านั้น
แต่จะคำสาปจะยังคงทำให้พวกเขากลายเป็นแมวในคืนวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มไปจนถึงเวลาตี 4 ของวันจันทร์เหมือนเดิม
ยกตัวอย่างเช่น คุณปู่ของผมมีร่างแมวเป็นแมวบริติช ช็อตแฮร์ เเละของกินแก้คำสาปของคุณปู่คือ ชาเอิร์ลเกรย์
เมื่อคุณปู่ของผมได้ดื่มชาเอิร์ลเกรย์ไปแล้ว มันจึงทำให้คำสาปที่จะทำให้คุณปู่เปลี่ยนเป็นแมวไปตลอดชีวิตนั้นหายไป หลงเหลือเพียงแค่หากอาทิตย์ไหนที่คุณปู่ลืมหรือตั้งใจที่จะไม่ดื่มชาเอิร์ลเกรย์ ในคืนวันอาทิตย์ถัดไป เขาจะกลายร่างเป็นแมวบริติช ช็อตแฮร์
แต่ถ้าหากว่าคุณปู่ในร่างแมวบริติช ช็อตแฮร์ได้ดื่มชาเอิร์ลเกรย์ ในเช้าวันรุ่งขึ้นคุณปู่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นคุณปู่ในร่างคนอีกครั้ง
ส่วนคุณพ่อของผม 'คุณพศุตม์ วิฬาร์ภากร' มีร่างแมวคือแมว สฟิงซ์ แมวไร้ขนที่โด่งดัง และถึงแม้ว่าภายนอกแมวสฟิงซ์จะดูเหมือนเป็นแมวไร้ขน แต่ที่จริงแล้วแมวสฟิงซ์มีขนอันอ่อนนุ่มและละเอียดสั้นๆ ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกาย
รูปร่างของแมวสฟิงซ์ของคุณพ่อมีรูปร่างบอบบาง กล้ามเนื้อแน่น ช่วงอกหนากลม ช่วงขาเรียวยาวและดูโก่งออกมาจากช่วงอกหนากลม มีหางยาวเรียว ผิวหนังบางส่วนบนหัว ข้างลำตัว และขามีรอยย่น แต่บริเวณอื่นเรียบและตึง ไม่มีหนวดและขนตา
และคุณแม่ของผมมักจะชอบเรียกคุณพ่อในร่างแมวว่า ‘หนังไก่’ เพราะตัวของคุณพ่อย่นเหมือนหนังไก่ที่ถูกถอนขนนั่นเอง
ส่วนของกินที่ใช้แก้คำสาปให้คุณพ่อคือ 'ปลาเทราต์' ปลาที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาและยุโรป และเพื่อป้องกันไม่ให้คุณพ่อของผมกลายร่างเป็นแมวสฟิงซ์ให้คุณแม่เรียกว่า 'หนังไก่' คุณพ่อมักจะให้แม่ครัวทำอาหารที่ประกอบขึ้นมาจากปลาเทราต์อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งมื้อเสมอๆ
สำหรับของกินบนโลกของเราที่มีอยู่มากมายหลายร้อยหลายล้านอย่าง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าของกินชนิดไหนที่สามารถใช้แก้คำสาปได้
ในอดีตครอบครัววิฬาร์ภากรได้ทำการศึกษาและนั่นทำให้พวกเราได้ค้นพบความลับอย่างหนึ่งว่าของกินที่ใช้แก้คำสาปนั้นจะต้องมาจากสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์แมวชนิดนั้นๆ
ยกตัวอย่างคุณปู่ที่เป็นแมวบริติช ช็อตแฮร์ เป็นแมวที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ ดังนั้น ของกินที่ใช้แก้คำสาปต้องมีที่มาหรือต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษเช่นเดียวกัน
และนั่นจึงทำให้ผมเห็นแมวบริติช ช็อตแฮร์ขนสีเทาหนานุ่มกำลังดื่มชาเอิร์ลเกรย์ที่มาจากประเทศอังกฤษอยู่ในตอนนี้
ส่วนคุณพ่อที่เป็นแมวสฟิงซ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแคนาดา มีของกินแก้คำสาปคือ ปลาเทราต์ ปลาที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแคนาดานั่นเอง
สำหรับคุณปู่และคุณพ่อถือว่าเป็นคนที่โชคดีอย่างมากที่สามารถหาของกินมาแก้คำสาปของพวกเขาได้ก่อนอายุ 30 ปี เพราะว่าในอดีตผู้ชายหลายคนในครอบครัวของพวกเราต้องกลายร่างเป็นแมวไปตลอดชีวิต เนื่องจากว่าพวกเขาไม่สามารถตามหาของกินมาแก้คำสาปได้
ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าสายพันธุ์แมวของพวกเขามีถิ่นกำเนิดที่ไม่สามารถระบุได้ หรือแม้กระทั่งไม่สามารถออกเดินทางไปตามหาของกินเพื่อนำมาใช้แก้ไขคำสาปของพวกเขาได้ เพราะว่าการเดินทางเเละขนส่งในอดีตนั้นไม่ได้สะดวกสบายเหมือนอย่างในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้คำสาปของครอบครัววิฬาร์ภากรนั้นไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นแมวที่มีอยู่ในความเป็นจริงเท่านั้น แต่แมวในอุดมคติหรือแมวในเทพนิยายก็สามารถเกิดขึ้นมาในครอบครัวของพวกเราได้เช่นกัน แต่มันก็เป็นกรณีที่พบเห็นได้ยากมากๆ
ยกตัวอย่างเช่นปู่ทวดของพวกเราที่กลายเป็นแมวเชสเชียร์ แมวตัวป่วนที่มีรอยยิ้มอันสยองขวัญในการ์ตูนเรื่องอลิซในดินแดนมหัศจรรย์
แต่ถึงแม้ว่าปู่ทวดของพวกเราจะรู้ว่าเขามีร่างแมวเป็นแมวเชสเชียร์ และรู้ว่าไม่มีทางที่จะหาของกินมาแก้คำสาปได้ แต่ดูเหมือนว่าปู่ทวดจะไม่เสียใจเลย เพราะว่าความสามารถต่างๆ ของแมวเชสเชียร์มันเหมือนกับในการ์ตูนที่พวกเราเคยดูเลย ซึ่งนั่นก็คือการล่องลอย การหายตัวไปที่ไหนก็ได้และการเป็นอมตะ
และนั่นทำให้ปู่ทวดมีความสุขและสนุกสนานกับชีวิตที่เป็นแบบนี้มาก เเละพวกเราก็ไม่รู้ว่าในตอนนี้ปู่ทวดกำลังท่องเที่ยวอยู่ที่ส่วนไหนของโลกใบนี้จากความสามารถดังกล่าว
และจากกรณีของปู่ทวดไม่แน่ว่าในอนาคตครอบครัวของเราอาจจะถูกคำสาปทำให้ลูกหลานกลายเป็นแมวหุ่นยนต์ตัวสีฟ้าที่จากโลกอนาคตก็ได้ใครจะไปรู้
“ว่าแต่ตาพสิษฐ์ หลานหาของกินแก้คำสาปได้หรือยัง” แมวบริติช ช็อตแฮร์มองมาที่ผมหลังจากที่ดื่มชาเอิร์ลเกรย์เสร็จ
“ยังเลยครับคุณปู่” ผมยกยิ้มที่มุมปากตอบคุณปู่
แต่ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นผมยิ้ม แต่เรื่องที่ผมยังไม่สามารถหาของกินมาแก้คำสาปได้นั้น มันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนในครอบครัวของผมเป็นกังวลอย่างมาก
“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ” ผมหัวเราะเบาๆ
“จะไม่ให้พวกเราเป็นห่วงได้ยังไง ผ่านวันเกิดอายุ 29 ปีของลูกมาตั้ง 6 เดือนแล้ว และเหลือเวลาอีกแค่ 6 เดือนเท่านั้น พวกเรายังตามหาของกินแก้คำสาปของลูกไม่เจอเลย” คุณพ่อหันมามองผมด้วยแววตาห่วงใย
“น้องก็จะช่วยพี่ตามหาอีกแรงนะคะ” ยัยพลอยหันหน้ามามองผมด้วยสายตาที่จริงจังและห่วงใย ผิดกับของกินที่เธอส่งมาแกล้งผมซะเหลือเกิน
“ขอบใจมาก” ผมยิ้ม
“เอ๊ะ...ไอ้ลูกคนนี้ จริงจังกับการหาของกินแก้คำสาปบ้างก็ได้ แล้วงานน่ะ ช่วงนี้ให้พ่อเขากลับไปช่วยลูกทำก็ยังได้ ลูกจะได้มีเวลาออกท่องเที่ยวและตามหาของกินแก้คำสาป พวกเราเป็นห่วงลูกนะ” คุณแม่พูดด้วยความกังวลและเป็นห่วง
“นั่นน่ะสิ เหลือเวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้น พ่อว่าลูกควรเอาเวลานี้ไปมาตามหาของกินแก้คำสาปได้แล้ว อีกอย่างพ่ออยากให้ลูกมีแฟน” คุณพ่อพูดออกมาจนทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่ เนื่องจาก 29 ปีที่ผ่านนี้ ผมยังไม่เคยมีแฟนหรือคนรักเลย เพราะมัวแต่จริงจังกับชีวิตการทำงาน
“ได้ครับคุณพ่อ เอาไว้ผมจะพิจารณานะครับ” ผมยกยิ้มที่มุมปาก และนั่นทำให้ทุกคนได้แต่มองมาที่ผมด้วยสายตาที่ห่วงใยเหมือนเดิม เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าถ้าผมไม่ตอบตกลง ผมก็ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิมด้วยนิสัยที่ดื้อเงียบของผม
“พูดถึง 'ของกิน' พ่อก็อยากรู้เหมือนกันว่าของกินแก้คำสาปของลูกมันคืออะไร พวกเราตามหามาตั้งแต่ที่ลูกเกิดมาจนลูกจะอายุครบ 30 ปีแล้ว พวกเรายังตามหาไม่เจอเลย” คุณพ่อบ่นอย่างอารมณ์เสีย
“นั่นสิ แม่ก็อยากรู้จริงๆ ไม่ใช่ว่าลูกต้องไปกินฟอสซิลอึไดโนเสาร์หรอกนะ” คุณแม่พูดออกมาลอยๆ และนั่นทำให้ผมถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว
“เอาเถอะพวกเราหยุดพูดเรื่องเครียดๆ แล้วมากินข้าวกันเถอะ” แมวบริติช ช็อตแฮร์หันหน้ามามองผม ก่อนจะก้มลงดื่มชาเอิร์ลเกรย์ของเขาอีกครั้ง
ฮัดชิ้ว!!!!
“เอ๊ะ!!! จู่ๆ ก็จาม แปลกจริงๆ สงสัยขนแมวพวกนี้จะปลิวเข้าจมูกแน่ๆ วันนี้คงต้องรีบทำความสะอาดร้านแล้วก็พาเจ้าเหมียวพวกนี้ไปอาบน้ำซะแล้วสิ” …
