บทที่ 5 เลขาคนใหม่ (≧ ◡ ≦)
ผมถือกระเป๋าถือสีดำในนั้นมีสมุดเล่มเล็ก และปากกาคู่ใจที่ผมใช้เป็นประจำ นำมันมาเพื่อเขียนว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง เพราะไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรเลย รู้อย่างเดียวว่าได้อยู่ในตำแหน่งเลขานุการ ทั้งที่ผมสมัครไปอยู่ฝ่ายครีเอทีฟ เพราะเรียนคณะนิเทศศาสตร์เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของคณะ และชอบงานออกแบบมากๆ ด้วย และได้รางวัลในคณะหลายงานเลยทีเดียว
แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาอยู่ในแผนกเลขานุการด้วย หรือเป็นเพราะผมอ่านเขียนได้ถึงสี่ภาษา โดยภาษาที่เขาเขียนและอ่านได้ก็จะมี ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาอิตาลี ยังไม่รวมภาษาสเปนที่ผมสนใจอยู่ไม่น้อย ว่าจะซื้อหนังสือภาษาสเปนมาอ่านเพิ่มเติมอีกเล่ม
ผมทอดสายตามองอาคารกว้างโถงสูงถึงสามชั้น โดยตึกเป็นสีขาวทั้งตึก และยังมีต้นไม้สีเขียวประทับตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้อาคารดูสดชื่นขึ้น ผมจำได้ว่าโลโก้ของบริษัทมีคือ สีเขียวและสีขาว เพราะเจ้าของบริษัทนั้นเป็นรักษ์โลก
ว่าไปนั้น
ผมก้าวเดินมายังประชาสัมพันธ์ ผมมองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนตรงประชาสัมพันธ์พวกเขาจำได้ดีว่า ผมมาตรงนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว หลังจากได้มาสัมภาษณ์งานถึงสองครั้งแล้ว วันนี้ผมต้องมาพบคุณกีรติหรือคุณก้องที่เป็นหัวหน้างานของเลขานุการทั้งหมด และยังเป็นเลขาของประธานกรรมการ หรือเจ้าของบริษัทนั้นเอง
“สวัสดีครับคุณกีรติให้ผมมาพบเขาตรงนี้ครับเมื่อมาถึง” ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม และยกมือไหว้ทั้งสองคน ทั้งสองคนจึงยกมือไหว้รับ
“ได้โทรหาคุณกีรติไว้ไหมคะ” พนักงานสาวเอ่ยถามผม
“ผมโทรบอกแล้วครับ” ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“สักครู่นะ” พนักงานสาวเอ่ยบอก แล้วกดโทรศัพท์เพื่อโทรออก
“หัวหน้าเลขาอยู่ไหมคะ...ได้ค่ะ...”
เมื่อแล้วปลายสายก็ตัดไป พนักงานสาวจึงหันมาหาผมอีกครั้ง
“สักครู่ เดี๋ยวคุณกีรติจะลงมาหานะคะ” พนักงานสาวเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินไปยืนข้างๆ โต๊ะประชาสัมพันธ์เพื่อไม่ให้เกะกะ ไม่ถึงสามนาทีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็เดินตรงมาหาเขา เขาจึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เพราะว่าคนที่มาหาเขาคือหัวหน้างาน
“สวัสดีครับ คุณก้อง” ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้ย บอกเป็นครั้งที่สองแล้วไม่ต้องยกมือไหว เอ่ยทักทายอย่างเดียวพอ แล้วไม่ต้องเรียกว่าคุณมันดูเหินห่าง เรียกพี่เถอะน้อง” คุณก้องเอ่ยบอกผมด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจ กลัวเหลือเกินเจ้านายร้ายๆ เนี่ย
“ครับพี่ก้อง ว่าแต่วันนี้ผมต้องทำอะไรบ้างครับ” ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“อันดับแรก ฉันจะพานายไปดูแผนกต่างๆ ตึกนี้มีสิบเก้าชั้น นายคงเดินไหวใช่ไหม” พี่ก้องเอ่ยถามน้ำอุ่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้ครับ”
“ไปกันเลย เดี๋ยวฉันจะอธิบายข้อมูลต่างๆ ให้นายฟังเอง”
“ครับ”
พี่ก้องพาผมเดินดูรอบๆ อาคารและห้องต่างๆ ตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นเก้า ซึ่งตึกนี้มีประมาณยี่สิบห้าชั้น ยี่สิบชั้นที่เหลือเป็นห้องสำนักงานของบริษัทในเครือที่มีประมาณสี่บริษัท ส่วนสามชั้นบนสุดเป็นของคุณพยัคฆ์และครอบครัว และยังมีตึกที่แยกออกไปคือตึกที่พักของแม่บ้านและบอดี้การ์ด แบ่งออกอย่างชัดเจน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เดินไป เพราะเป็นที่หวงห้ามมีรั้วแน่นหน้า ถ้าไม่ได้เป็นแม่บ้านหรือบอดี้การ์ดก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ส่วนพนักงานของบริษัทก็ไปเช้าเย็นกลับเท่านั้น
“นี่คือแผนกเลขานุการของเรา เราจะมีกันอยู่สามคน คือตัวฉัน โต๊ะด้านขวาคือเจมส์ และโต๊ะด้านซ้ายคือใหม่ ส่วนฉันนั่งโต๊ะด้านด้านซ้ายสุด ส่วนนายนั่งโต๊ะด้านขวานะ” พี่ก้องบอกผม ผมมองไปยังพี่ๆ ที่ชื่อเจมส์ และพี่ใหม่ ผมอายุน้อยกว่าพวกพี่ๆ ผมจึงยกมือไหว้พวกเขาก่อน พวกเขาจึงยกมือกลับ
“น้องใหม่เหรอ ชื่อจักรพรรณใช่ปะ” พี่เจมส์เอ่ยถามผม
“ใช่ครับ เรียกผมว่าน้ำอุ่นเถอะครับ” ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีที่ได้รู้จักน้ำอุ่น ทำตัวตามสบายเลย พวกเราอยู่กันเหมือนพี่น้อง ไม่ต้องเกรงใจ” พี่ใหม่บอกผมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“พวกมึงสองตัวอยู่กันแบบกาสะลองซ้องปีบมากกว่ามั้ง” พี่ก้องบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน ทำให้ผมเผยรอยยิ้มไปด้วย
“มึงก็พูดเกินไป นี่ไปดูทั้งอาคารแล้วใช่ปะ” พี่เจมส์ถามพี่ก้องกับผม
“ห้าชั้นพวกกูก็ขาลากแล้ว พรุ่งนี้จะสอนเรื่องการทำเอกสาร วันนี้เปิดเครื่องดูงบดุลและการประชุมเถอะ” พี่ก้องบอกด้วยรอยยิ้ม และตบไหล่ผมเบาๆ พี่ก้องก้าวเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนผมก็เดินไปนั่งตรงโต๊ะข้างๆ พี่แก
“มึงคืนลิควิดกูมาหรือยัง” พี่เจมส์ถามพี่ใหม่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มองหาลิบขวิดบนโต๊ะและที่วางของ
“กูคืนไปแล้วไง” พี่ใหม่เอ่ยบอก ผมจึงกดปุ่มเปิดเครื่องไอเมค
“ไม่เห็นมีเลย มึงขโมยกูแล้วไม่คืนใช่ไหม” พี่เจมส์บอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“กูจะขโมยทำไม มันอยู่บนโต๊ะมึงนั้นไง ถ้าเป็นงู งูชกตายห่าไปแล้ว” พี่ใหม่บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง พี่ใหม่จึงมองไปยังด้านขวาของโต๊ะที่แฟ้มบังไว้อยู่ มีลิควิดวางอยู่หนึ่งแท่ง
“หาก่อนไอ้ห่าจิก” พี่เจมส์บอกด้วยน้ำเสียงดุ
“เอ่อกูขอโทษได้ปะละ” พี่ใหม่บอกด้วยรอยยิ้ม ผมถอนหายใจเบาๆ เถียงกันแบบเด็กประถม ถ้าเห็นทุกวันคงบันเทิงน่าดู
“เชื่อยังว่ามันรักกันแบบกาสะลองช้องปีบ” พี่ก้องบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน
“เชื่อแล้วครับ” ผมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะพี่ก้อง พี่ก้องจึงกดปุ่มเปิดลำโพงทันที
“สวัสดีครับแผนกเลขานุการ กีรติรับสายครับ” พี่ก้องเอ่ยบอกปลายสาย
“พาเลขาคนใหม่เข้ามาพบฉันสิ” ปลายสายเอ่ยบอกเช่นนี้ ผมรู้ทันทีว่าเขาคงเป็นคุณพยัคฆ์เจ้านายของผมแน่นอน และเขายังเป็นซีอีโอของบริษัทอีกด้วย
“ครับบอส” พี่ก้องเอ่ยบอกเช่นนี้ แล้วปลายสายก็ตัดสายทิ้งไปทันที พี่กล้องหันมามองผม
“คงยังไม่เคยเจอท่านสินะ แกพึ่งกลับมาจากฝรั่งเศส” พี่ก้องถามผม
“ครับ” ผมบอกตามตรงอย่างที่พี่ก้องพูด
“ไป เข้าไปหาท่านกัน” พี่ก้องเอ่ยบอก
“ว่าแต่แกมีอุปนิสัยอย่างไง ผมจะได้วางตัวถูก” ผมเอ่ยบอก
“คุณเสือ ก็เสือสมชื่อแหละ แกเป็นคนจริงจังกับการกับงานมากๆ ถ้าแกยังทำงานไม่เสร็จก็จะไม่กลับห้อง บางวันก็นอนในออฟฟิศนี่แหละ” พี่เจมส์บอก
“แกเป็นคนตรงต่อเวลามากๆ ถ้าไปช้ากว่าแก แกก็จะเดินออกทันทีและเพิ่มงานเป็นสองเท่า” พี่ใหม่บอก
“ทำไมดุจังอะ ผมเริ่มกลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจ แกจะไล่ผมออก” ผมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ถึงแกจะดุแบบนี้ แกก็ใจดีมากๆ สิ้นปีมีโบนัสให้หลายหมื่น ปีที่แล้วพวกเราก็ได้ตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่นหกคืนห้าวัน” พี่ใหม่บอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและเผยรอยยิ้มราวกับมีความสุข ถ้าเจ้านายดีก็ทำให้ลูกน้องมีความสุขไปด้วย
“ไปกันเถอะ” พี่ก้องบอกผม แล้วมองสำรวจตรวจตัวเองว่าเรียบร้อยไหม พอรู้ว่าตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินมาที่หน้าประตูบานใหญ่พร้อมกับพี่ก้อง พี่ก้องใช้มือเคาะประตูสามครั้ง
“เข้ามาได้” เสียงของคุณพยัคฆ์ตอบรับ ผมรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกประหม่าและกลัวนิดๆ ในใจที่จะได้เจอกับเจ้านายคนใหม่ ซึ่งคนเก่าของผมคือเจ้าของร้านบาร์และยังเป็นนักร้องของบาร์ ซึ่งนั้นคือทำงานนอกเวลาเรียนในยามค่ำคืน
.................................
ตอนหน้าคุณพรี่เสือกับน้องอุ่นจะได้เจอกันไหมนะ
คุณน้องจะทำหน้าอย่างไง รับรองได้เลยบันเทิงแน่ 555
เรื่องนี้ไม่เน้นเนื้อหา เน้นเย็ดดุๆ เน้นกระแทกจุกๆ นะ สาววาย
อย่าลืมเข้ามาคอมเม้นท์และกด ❤️ น้อยๆ
เพื่อเป็นกำลัง ❤️ ให้ด้วยนะฮะ
