ตอนที่ 2 : ข้าคืออดีตจอมมาร ที่มีเพื่อนเป็นผู้กล้าที่ถ่อยสถุลที่สุดในประวัติศาสตร์
ตอนที่ 2
ข้าคืออดีตจอมมาร ที่มีเพื่อนเป็นผู้กล้าที่ถ่อยสถุลที่สุดในประวัติศาสตร์
ซาราสะ : จอมมารวันนี้แหละคือวันตายของเจ้า !
กิสเซลล่า : เอ๊ะ ? แต่วันนี้หนังสือทำนายดวงชะตาบอกว่าวันนี้ไม่ใช่วันถึงฆาตของข้านะ... ผู้กล้าเจ้าต้องมาวันอื่นแล้วล่ะ (ยิ้มอ่อนมองอย่างเห็นใจ)
ซาราสะ : ...
+++++++++++++++++++++++++++++
ดวงตารีขวางดุดันของอดีตจอมมารเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นสภาพไม่สู้ดีของเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เห็นมานานเกือบ 5 ปี หลังการปิดกั้นดินแดนปีศาจ และมนุษย์ลง ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้ารุกรานแดนปีศาจได้
เพียงได้เห็นสภาพอ่อนแอของหญิงสาวที่แกร่งขนาดตบตีกับจอมมารทั้ง 6 ได้ข้ามวันข้ามคืน สีหน้าของกิสเซลล่าก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันทีที่ดาบในมือของหญิงหลุดร่วงลงกระทบกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ซาราสะ เกิดอะไรขึ้นใครทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ !” กิสเซลล่าเขย่าร่างของผู้กล้าสาวให้ร่างเพรียวบางเต็มไปด้วยเลือดโยกคลอนไปมาจนเวียนหัวแทบอ้วก
ผู้กล้าสาวที่เริ่มจะทนไม่ไหวส่งตาขวางใส่จอมมารขี้ตื่น พร้อมยกมือขึ้นตบกะโหลกเต็มแรงจนร่างสูงใหญ่ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด แต่ก็หยุดการเขย่าได้เป็นอย่างดี
“ซาราสะมันเจ็บนะ !” อดีตจอมมารร้องตัดพ้อด้วยความน้อยใจ แต่เมื่อเจอสายตาของผู้กล้าสาวเหลือบมองใส่ด้วยแววตาดุดันถามว่า ‘ข้าจะตบแล้วมีปัญหาอะไรไหม ?’ ร่างสูงใหญ่แทบจะหดเหลือตัวกระเปี๊ยก ได้แต่กลั้นสะอื้นไร้ข้อโต้เถียงใด ๆ กับผู้กล้าสาวที่ตัวเล็กกว่าทั้งสิ้น
ถึงจะดูน่าขันที่ชายอกสามศอกร่างใหญ่โตหงอกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ดูไร้พิษสง... แต่อย่าได้ลืมว่าเขาเป็นเพียงจอมมารแสนอ่อนแอ ที่ไม่เคยชนะจอมมารคนอื่น ๆ สักครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้กล้าที่สามารถต่อยตีกับจอมมารทั้ง 6 ได้อย่างสูสีค่อนไปทางเหนือกว่า แค่ความต่างพลังก็ชัดเจน แบบนี้จะให้เขาเอาอะไรไปงัดข้อกับผู้กล้ากัน ? อยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัวไม่หาเรื่องใส่ตัวเองเป็นดีที่สุดแล้ว !...
“หิวข้าว...” ผู้กล้าสาวที่มีใบหน้าหวานสวยแต่กลับมีนิสัยถ่อยสถุลไม่สมหน้าตา เริ่มบ่นด้วยเสียงหงุดงหงิดกิสเซลล่าก็รีบเปิดประตูกว้าง เชื้อเชิญแขกเข้าบ้านอย่างรู้งานก่อนที่นางจะหงุดหงิดมากกว่านี้จนเป่าบ้านหลังน้อยของเขาทิ้งไม่เหลือซาก
“ข้าอยากอาบน้ำ ห้องน้ำอยู่ไหน” แขกผู้มาเยือนเดินลากเท้าเข้ามาด้วยเลือดที่หยดลากติ๋ง ๆ ดูน่าสยดสยอง กิสเซลล่าได้แต่ฝืนกลั้นน้ำตาด้วยความขมขื่นใจ ชี้ทางไปห้องน้ำ... เลือดเปื้อนพื้นไม้หมดแล้วนี่จะเช็ดล้างอีกกี่วันถึงจะออกหมดล่ะเนี่ย
แม้จะกลุ้มใจที่จะต้องมานั่งขัดพื้น แต่กิสเซลล่าก็โล่งใจที่เพื่อนผู้กล้าของเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร เลือดที่ย้อมตัวเธอเป็นเพียงเลือดของคนอื่นเท่านั้น เขาจึงได้เตรียมจะเดินไปห้องครัวทำอาหารง่าย ๆ ให้กับซาราสะได้กินก่อน แล้วค่อยไถ่ถามว่านางไปเจอกับอะไรถึงมีสภาพเช่นนั้น
“กิสลี่ฝากเจ้าก้อนหน่อย”
แต่ก่อนที่กิสเซลล่าจะได้เดินไปห้องครัว เขาก็ถูกผู้กล้าสาวเรียกตัวเอาไว้ก่อนนางก็โยนห่อผ้าที่ผูกติดตัวส่งให้เขารับไว้แทบไม่ทัน
“ซาราสะอย่าโยนข้าวของแบบนี้สิเกิดแตกเสียหายจะทำยังไง” กิสเซลล่าเอ็ดใส่เพื่อนหญิงที่เพียงยักไหล่น้อย ๆ ให้อดีตจอมมารต้องส่ายหัวกับการทำหูทวนลมของหญิงสาวที่มีความสวยเสียของอย่างร้ายกาจด้วยความปลงตก
นี่แหละผู้กล้าคนปัจจุบันที่สาวยแต่รูปจูบไม่หอม นางที่รับตำแหน่งผู้กล้าเพียงเพื่อจะได้เฟ้นหาคู่ต่อสู้ที่แข่งแกร่ง พอโผล่หน้ามาก็ประกาศจะฆ่าเขาทันทีตามสูตรผู้กล้าคนก่อนหน้า
แต่โชคดีที่เขามันกากเกินไปจนคนกระหายเลือดหมดอารมณ์สู้รบปรบมือด้วย ถึงได้ยอมรับฟังข้อเสนอจะพาคนเก่งมาสู้แทนจนสุดท้ายจอมมารทั้ง 6 และผู้กล้าก็ได้ดื่มเลือดสาบานเป็นพี่น้องกัน... ถ้าพวกเทพรู้ว่าผู้กล้าของตนผูกพันธ์กับจอมมารอย่างลึกซึ้งพวกเขาคงลงไปดิ้นพล่านเป็นแน่
พอรับถุงผ้ามากิสเซลล่าตั้งใจจะเอาห่อผ้าไปวางไว้ที่โต๊ะชั่วคราว แต่แล้วเสียงร้องอู้อี้กับห่อผ้าที่ขยับยุกยิกไปมาก็ทำให้จอมมารร่างยักษ์ขมวดคิ้วมุ่น มือใหญ่ดึงปมผ้าออกก่อนที่ดวงตาจะเบิกค้างเมื่อภายในห่ผ้านั้นมีร่างเล็กบอบบางของทารกตัวขาวผ่องกระพริบตาปริบ ๆ จ้องเขากลับมาด้วยแววตาสงสัย
...เดี๋ยว ! ทารกงั้นเรอะ ! ?...
“ซาราสะ ! นี่ลูกใคร !”
“ลูกข้าไง”
ผู้กล้าสาวตอบหน้าตาย มือก็สาละวนถอดเกราะตัวเองออกหน้าตาเฉยไร้ซึ่งความเคอะเขินราวกับว่าคนที่ยืนหัวโด่อ้าปากค้างกับคำตอบที่ได้ยินไม่ใช่ผู้ชายสิ่งมีชีวิตอันตรายที่อาจทำมิดีมิร้ายกับการยั่วยวนไม่รู้ตัว
...ซึ่งมันก็ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ...
“เดี๋ยวสิ ! ลูกเจ้างั้นเหรอ ? ได้ยังไงกันเด็กนี่กลิ่นเทพฟุ้งเลยนะ นะ... นี่เจ้ามีลูกกับเผ่าเทพเหรอ...”
กิสเซลล่าอุ้มเด็กน้อยออกมาสูดอากาสหายใจโลกภายนอก เพราะไม่รู้ว่าทารกน้อยถูกยัดใส่ห่อผ้ามานานแค่ไหนแล้ว พร้อมกับเดินตามหญิงสาวที่ทำหูทวนลมโยนเสื้อผ้าใส่เขาแล้วเดินตัวเปล่าเปลือยลิ่วไปที่ห้องน้ำ ให้อดีตจอมมารที่กำลังกลายร่างเป็นคุณแม่ขี้บ่นเดินตามเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบอย่างกัดไม่ปล่อย
“เดี๋ยว ! กลับมาอธิบายก่อน... เฮ้ย ! ซาราสะอย่าเดินหนีไปแบบนี้นะ !” เพราะเผลอตะโกนเสียงดังใส่คนที่ปิดประตูห้องน้ำหนีหน้าใส่ด้วยความโมโห เสียงคำรามต่ำจึงฟังดูน่ากลัวไปนิดทำให้ทารกน้อยในอ้อมแขนเริ่มเบ้ปากลง ส่งเสียงร้องไห้โฮออกมา
“อะ...อ้าว พ่อหนูอย่าร้องไห้สิ โอ๋ ๆ เงียบนะ“
แม้จะเพิ่งเคยจับลูกเทพครั้งแรกแต่ด้วยความที่เป็นคนอ่อนโยน กิสเซลล่าก็ทำตามสัญชาติญาณของตนเอง จับเด็กน้อยพาดบ่า แล้วตบหลัง ตบก้นทารกน้อยเบา ๆ เอ่ยปลอบด้วยเสียงทุ้มนุ่มให้ทารกน้อยหายตื่นกลัว และเข้าสู่นิทรา...ช่างเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายอะไรเช่นนี้ !
พอได้ยินเสียงกรนเบา ๆ กิสเซลล่าจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หันดวงตามาจ้องที่ประตูห้องน้ำด้วยสีหน้าดุดัน อดีตจอมมารตั้งมั่นอย่างเต็มที่ว่าเขาจะไม่ไปไหนจนกว่าซาราสะจะออกมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
ต่อให้ถูกอัดเพราะไม่ทำกับข้าวให้นางกินเขาก็ยอม ดูสิว่าผู้กล้าไม่เอาอ่าวนอกจากเรื่องต่อสู้จะทนหิวไปได้สักกี่น้ำ !
แล้วก็เป็นไปตามที่อดีตจอมมารคาด เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องนานแล้ว ซาราสะจึงไม่มีแรงแม้แต่จะอัดอดีตจอมมารที่ปีกกล้าขาแข็งยืนจ้องเธออย่างอาจหาญ เห็นสายตาขวางที่จ้องอย่างรอคอยคำตอบ ผู้กล้าสาวที่ห่อผ้าเช็ดตัวผืนหนาออกมาทำตัวตามสบายราวกับกำลังเดินร่อนอยู่ในบ้านตัวเองก็ลงนั่งบนเก้าอี้ ยกแขนขึ้นกับพนักเก้าอี้ พร้อมยกขาขึ้นไขว่ห้างเริ่มเล่าด้วยเสียงสั้นห้วนได้ใจความ
“เด็กนั่นลูกของชารูน”
“ชารูน... ? น้องชายฝาแฝดของผู้บัญชาการกองทัพเทพ ชารอน น่ะเหรอ ” กิสเซลล่าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาพอจะจำเทพที่อยู่หลังคนเป็นพี่ชายเสมอผู้นั้นได้เลือนลาง
รองผู้บัญชากองทัพเผ่าเทพที่มีพลังไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ปากที่คมกริบ สามารถเล่นงานจุดอ่อนคนอื่นได้อย่างหนักหน่วงก็ถือเป็นอาวุธร้ายกาจที่ปั่นประสาทคู่ต่อสู้ให้เหลือดอดได้ ทำให้แม้พลังจะด้อยแต่ด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็ช่วยทดแทนจุดด้อยนั้นไปได้อย่างหมดจด
ส่วนฝีปากของเจ้านั่นร้ายกาจขนาดไหน... ก็ถึงขึ้นทำให้ 'ไรฮาร์ท' จอมมารแห่งบาปโทสะ ที่ปกติเป็นคนเส้นลึกแทบไม่โกรธโมโหใคร ยังโดนคำพูดของชารูนปั่นหัวจนหัวร้อนบ้าคลั่งจนเกือบได้รับบาดเจ็บสาหัสจากฝีมือของเทพหนุ่มคนนั้น
“แต่ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพวกเจ้าไปคบหากันได้อย่างไร... เจ้าเคยบอกว่ารำคาญพวกเผ่าเทพไม่ใช่รึ”
หลังการปิดผนึกดินแดนปีศาจลง ผู้กล้าที่ได้รับการสรรเสริญจากประชาชนก็ได้กลายเป็นตัวแทนแห่งสันติภาพ ทำให้ซาราสะยุ่งวุ่นวายมากจนไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเขาที่มาตั้งรกรากที่ดินแดนของมนุษย์
...และเทพที่ถูกส่งมาเพื่อสอบปากคำซาราสะก็คือ ‘ชารอน’ ผู้บัญชาการกองทัพเทพนั่นเอง...
ซึ่งเพราะเหตุนั้นชารูนที่เป็นน้องชาย และรองผู้บัญชาการจึงต้องติดตามมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้ซาราสะได้เจอกับเทพหนุ่มผู้นั้น แต่กิสเซลล่าจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าสองคนนั้นไปสบตารักใคร่ชอบพอกันได้เช่นไร
กิสเซลล่าแม้จะอาศัยในเมืองที่ไกลห่างจากเมืองหลวงแต่ข่าวคราวของท่านผู้กล้าก็มีเข้าหูมาประปราย ทำให้เขารู้ว่าซาราสะมีปัญหากับพวกเทพเบื้องบนเรื่องที่นางปิดกั้นเขตแดนปีศาจลงโดยไม่ขออนุญาตพวกเขาจนต้องเสียดาบศักดิ์สิทธิ์ ‘โฮลี่ จัสติน’ ดาบระดับตำนานที่พวกเทพทุ่มทุนทรัพย์ แรงกาย แรงใจในการสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นอาวุธฆ่าจอมมารโดยเฉพาะ แต่มันกลับกลายเป็นปราการแข็งแกร่งปกป้องพวกปีศาจแทน ฝั่งคงที่สูญเสียของสำคัญที่ลงแรงสร้างมานานไปอย่างง่ายดายย่อมต้องรู้สึกหัวเสียกันเป็นธรรมดา
“ก็รำคาญนั่นแหละ ข้าเลยต่อยไอ้เทพหน้าแป้นที่เป็นตัวหัวหน้า ไอ้ตัวหน้าเหมือนอีกคนเลยตามราวีข้าไม่หยุด มาพูดบ่นอะไรไม่รู้อยู่ข้างหูน่ารำคาญ ไล่ก็ไม่ยอมไป ขนาดลงไม้ลงมือแล้วยังย้อนกลับมาได้อยู่ดี ข้าไม่รู้จะทำให้เงียบ ก็เลยใช้วิธีที่พ่อเคยทำตอนถูกแม่บ่นหูชา...”
“เจ้าทำอย่างไร ?” อดีตจอมมารถามอย่างลุ้น ๆ เมื่อสาวสวยเงียบไปครู่หนึ่ง
“จับปล้ำแม่ง”
“...”
...หยาบกระด้าง... หญิงสาวผู้นี้ช่างหยาบไปถึงแก่นวิญญาณโดยแท้จริง !...
คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างมาดมั่น ติดจะหยาบคายไปหน่อยไม่สมความเป็นกุลสตรี ทำให้กิสเซลล่าต้องยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง มองหญิงสาวด้วยสายตาผิดหวัง...
พระเจ้าท่านสร้างสิ่งมีชีวิตหลุดกรอบความเป็นสตรีเพศเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร ! ช่างน่าสงสารเทพหนุ่มนัก ถึงอาจจะเป็นเพราะปากของเขาพาซวย แต่การถูกข่มเหงรังแกเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม คนที่ตกเป็นเหยื่อจะต้องได้รับบาดแผลทางจิตใจอย่างร้ายแรง ซึ่งมันโหดร้ายเกินไปแล้ว !
“แล้วแค่ครั้งเดียวเจ้าก็ท้อง จนมีพ่อหนูนี่รึ ?” กิสเซลล่าชูเด็กน้อยที่กำลังหลับปุ๋ยขึ้นให้ซาราสะขมวดคิ้วมุ่นลง ลูบคางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาอย่างไร้ความละอาย
“ก็...หลายครั้งอยู่นะกว่าจะติด” ทำเอาคนฟังหน้าแดงก่ำด้วยความกระดากอายขึ้นมาเอง จนต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียเอง
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ข้าอยากรู้ว่าทำไมเจ้าถึงโผล่มาหาข้าในสภาพเลือดท่วมแบบนั้นมากกว่า” เมื่อกิสเซลล่าเอ่ยถามออกไปสีหน้าของซาราสะที่เคยนิ่งเรียบก็เริ่มแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
“ชารอนต้องการตัวเจ้าก้อนพอข้าไม่ให้เขาเลยใช้กองทหารมาจับตัว ข้าเลยฝ่าพวกกองทัพพวกเผ่าเทพพาหนีออกมา”
“ตายล่ะ...” กิสเซลล่ายกมือขึ้นแตะหน้าอก ร้องอุทานออกมาด้วยหน้าซีดเผือด มิน่ากลิ่นเลือดที่ติดตามตัวถึงได้ฉุนนัก เพราะมันเป็นเลือดของพวกเผ่าเทพนี่เอง
“นี่เจ้ารู้ไหมว่ากำลังตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเผ่าเทพจอมเสี้ยมอยู่นะ...ป่านนี้เพื่อนมนุษย์ของเจ้าคงโดนเป่าหูว่าเจ้าโดนพวกปีศาจล้างสมองแล้วไล่ล่าจับเจ้าในฐานะผู้ร้ายแล้วกระมัง”
“ข้ารู้กิสลี่ แต่ข้าไม่มีทางเลือก... ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ลูกข้าตกเป็นเครื่องมือเจ้าพวกนั้นหรอก” ดวงตาสีฟ้าครามของผู้กล้าสาวเปลี่ยนเป็นคมกริบแฝงความอันตรายออกมา เป็นแม่จงอางหวงไข่ที่พร้อมปกป้องลูกน้อยตัวเองสุดชีวิต เห็นสายตาแบบนั้นแล้วกิสเซลล่าก็รู้สึกอ่อนใจขึ้นมา
“แล้วชารูนไม่ช่วยเหลืออะไรเจ้าเลยเหรอ ” ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นสายเลือดของรองผู้บัญชาการ แม้คนพี่ที่มีศักดิ์เป็นลุงจะใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย แต่คนเป็นพ่อไม่น่าจะปล่อยให้ลูกตกอยู่ในอันตรายได้ลงคอหรอก
“เจ้านั่นน่ะเหรอ... คนไม่ได้ความพรรค์นั้นปล่อยให้ไปตายที่ไหนก็ไปซะเถอะ”
เหมือนกิสเซลล่าจะมีความคิดแง่บวกเกินไปหน่อย พอได้ยินเสียงร้องเหอะออกมา อดีตจอมมารก็หน้าหดลงทันทีดูท่าสัมพันของทั้งสองจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่จนเขาต้องหันหัวเรือด่วนก่อนที่อารมณ์ของผู้กล้าสาวจะยิ่งขุ่นมัวไปมากกว่านี้
“ข้าเห็นเจ้าเรียกลูกว่าเจ้าก้อนตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่มีชื่อเรียกอื่นแล้วหรือไง” กิสเซลล่าถามเสียงขรึม เรียกให้คนเป็นแม่ของทารกที่เขาอุ้มอยู่นี้เลิกคิ้วขึ้นสูง
“ก็ชื่อเจ้าก้อนไง” ซาราสะตอบออกมา ทำให้กิสเซลล่าตาโตเท่าไข่ห่าน
“ตั้งชื่อให้ลูกดี ๆ หน่อยสิเฟ้ย ลูกเจ้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะจะได้ตั้งชื่อแบบขอไปทีน่ะ !”
“เรื่องมาก ถ้าไม่พอใจเจ้าก็ตั้งชื่อเองซะเลยสิ” ซาราสะส่งเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ สีหน้ารำคาญเจ้าอดีตจอมมารเต็มทน จนต้องลุกขึ้นโบกมือลาเจ้าของบ้าน
“ข้าจะไปนอนแล้วฝากดูแลเจ้าก้อนด้วยล่ะ”
“เดี๋ยว ๆ นี่ลูกเจ้านะ ทารกต้องอยู่กับคนเป็นแม่เพื่อส่งเสริมพัฒนาการ และสายใยแห่งรัก เจ้าจะทิ้งลูกให้ข้าเลี้ยงแบบนี้ได้ไงกัน มันไม่ถูกต้อง”
“ข้าเหนื่อย และข้าอยากนอน หุบปากแล้วดูแลเด็กไปซะ”
“แล้วอย่าลืมทำอาหารมาวางไว้หน้าห้องให้ข้าด้วย ถ้าตื่นมาแล้วข้าไม่เห็นของกินล่ะก็...” ผู้กล้าสาวยกมือขึ้นทำท่าปาดคอส่งไปให้เป็นสัญญาณเตือนให้อดีตจอมมารที่พยายามพูดคุยด้วยเหตุผลต้องหุบปากฉับ มองอดีตผู้กล้าปิดประตูห้องนอนใส่หน้าเจ้าของบ้านที่มายืนกลุ้มว่า คืนนี้เขาจะพาพ่อหนูน้อยนี่ไปนอนไหน ในเมื่อห้องนอนมันมีอยู่ห้องเดียว !
‘ซาราสะพาลูกหนีไปซะ...’
‘แล้วเจ้าล่ะ’ หญิงสาวถามเทพหนุ่มผมเงินที่ชะงักเล็กน้อยเมื่อถูกจับมือไว้แน่น ก่อนที่เขาจะส่งยิ้มจาง ๆ ให้เธออย่างลำบากใจ
‘ข้าจะอยู่ที่นี่ ข้าจะลองขอร้องท่านพี่ให้เปลี่ยนใจ ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นหลานของเขา ท่านพี่ต้องเห็นแก่ข้าบ้าง’
... ไม่... พี่เจ้าไม่ใช่คนดีขนาดนั้น เขาไม่สนใจหรอกต่อให้เจ้าคุกเข่าอ้อนวอนเขาก็ตาม...
หญิงสาวอยากจะบอกความจริงในใจของตนออกไป แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังอันเลือนลาง ความเชื่อมั่นในตัวของครอบครัวของเทพหนุ่มที่กำลังสั่นคลอนทำให้หญิงสาวเลือกที่จะไม่พูดออกไป และรอคอยให้เขาแหลกยับด้วยมือของครอบครัวด้วยตัวเอง...
‘ข้าจะไม่ห้ามการกระทำไร้ค่าของเจ้า อยากจะทำอะไรก็ทำ...’ หญิงสาวเอ่ยปากขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าครามแข็งกระด้างขึ้นมาเล็กน้อยยามเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา
‘แต่หากเจ้าหน้าแป้นแตะต้องลูกหรือเจ้า แม้แต่ปลายเล็บข้าจะฆ่ามันซะ...’
หญิงสาวลืมตาขึ้นมากลางความมืดสงัด เสียงท้องที่ร้องขึ้นมาเป็นตัวเรียกให้นางตื่นขึ้นจากความฝันของตนเอง ความฝันไม่น่าอภิรมย์เพราะชายหน้าโง่ที่ไม่ยอมหนีตามเธอออกมาจนเธอต้องบุกไปตามหาตัวกลับมาแทน
สิ่งที่ซาราสะไม่ได้บอกกิสเซลล่าคือ นางพาทารกน้อยหนีออกมาครั้งหนึ่งแล้ว ก่อนจะกลับเข้าไปในดงของพวกเทพ ฆ่าล้างพวกบางพวกมันเพื่อเอาตัวชารูนที่ถูกคุมขังออกมาด้วยกัน แต่สุดท้ายเธอก็พลาดไปติดกับดักของเจ้าหัวหน้าเทพเต็มเปา เมื่อคนที่ตามหาถูกนำไปซ่อนจนต้องล่าถอยกลับมาด้วยมือเปล่า...
ความแค้นนี้ผู้กล้าเช่นเธอย่อมจดจำฝังใจ แต่จะให้ไปเอาคืนก็ไม่ถนัดนักเพราะติดภาระที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยทำให้เธอต้องกลับมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง
...โคร่ก...
“...”
เสียงท้องร้องที่ดังอีกครั้งทำให้ซาราสะเลิกคิดปัญหาวุ่นวาย หญิงสาวเปิดประตูชะโงกหน้าออกมาจากห้องนอน แล้ว ก้มหน้าลงมองพื้นที่ว่งเปล่าไม่มีสำหรับกับข้าวตามที่สั่งเอาไว้ คิ้วโค้งมนก็ขมวดเข้าหากัน มือบอบบางถกแขนเสื้อขึ้นอย่างหาเรื่องกิสเซลล่าเพื่อนทาสของตนอย่างเต็มที่
...โคร่ก...
แต่ไม่ทันไรกลิ่นหอมฉุยที่ลอยมาแตะจมูกก็ทำให้คนหิวชะงัก ท้องร้องโครกครากเสียงดังตอบรับกับกลิ่นหอมหวนนั้นจนลืมความโกรธไป
“ซาราสะตื่นจนได้นะ เจ้าหลับไปนานมากจนกับข้าวเย็นชืดหมดแล้วข้าเลยไปอุ่นมาให้ใหม่แล้วล่ะ”
“นี่เจ้าทำเองงั้นเหรอ ?” ผู้กล้าเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะจำได้ว่าอดีตจอมมารผู้นี้ไม่ได้มีฝีมือการทำอาหารอะไรมากมาย แต่กลิ่นหอมจากสำรับที่ถือมานี้มันช่างยั่วยวนใจให้อยากลิ้มลอง เกินกว่าที่คนทำกับข้าวแบบงู ๆ ปลา ๆ จะทำได้ไปไกลแล้ว
“ตอนที่ข้าย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อปีกลายมี สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าภูติ จากทวีปทางใต้เดินทางมาที่นี่เพื่อตามหาวัตถุดิบไปทำอาหาร ข้าช่วยเขาหาของที่ต้องการส่วนเขาก็สอนข้าทำอาหารเป็นการตอบแทนล่ะ”
อดีตจอมมารยืดอกอย่างภาคภูมิใจ พลางคิดถึงภูติหนุ่มตนที่ว่าซึ่งป่านนี้คงเดินทางกลับบ้านเกิด ไปทำอาหารให้คนรักทานอย่างที่ต้องการแล้วกระมัง... เขาช่างเป็นชายที่มีความมุ่งมั่น และน่านับถือ ถึงกลับรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมาในทวีปห่างไกลด้วยตัวคนเดียว หากเป็นเขาคงไม่สามารุทุ่มเทให้ใครดั่งที่ภูติหนุ่มทำอย่างแน่นอน
“เจ้าก้อนล่ะ” ซาราสะที่ทานอาหารจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วเงยหน้าขึ้นถามอดีตจอมมารที่พยายามส่งยิ้มอ่อนโยน แต่เพราะใบหน้าที่โหดเหี้ยมเกินไปมันจึงกลายเป็นฉีกยิ้มแสยะแทน
“หลับไปแล้วล่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ...”
“ถ้าเป็นห่วงก็พาลูกไปนอนด้วยซะสิ”
“ข้าไม่...” ซาราสะต้องการจะแย้งแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ส่งมาให้อย่างรู้ทัน ผู้กล้าสาวก็เงียบเสียงลง ลุกขึ้นเดินไปหาทารกที่นอนหลับปุ๋ยบนผ้านวมที่ถูกพับทบให้กลายเป็นเตียงเล็ก ๆ พอให้ทารกหลับสบาย พร้อมกับมุ้งผ้าที่ทำขึ้นมาแบบลวก ๆ เพื่อป้องกันแมลงมาไต่ตอมกัดทารกน้อยจนไม่สบายเอาได้
อดีตจอมมารเดินเข้ามาอยู่ข้าง ๆ ผู้กล้าที่เอาแต่นั่งจ้องทารก เขาเปิดมุ้งที่ตนทำขึ้นอย่างรีบเร่งแล้วอุ้มทารกน้อยให้คนเป็นแม่อุ้มอย่างทุลักทุเล มองภาพของหญิงสาวที่เคยแข็งกระด้างกำลังมองทารกในอ้อมแขนราวกับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และเธอไม่เคยแตะต้องตัวเด็กน้อยมาก่อน
“ซาราสะเจ้าจะพักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้นะ แล้วหลังจากนี้เราค่อยมาหาวิธีช่วยลูกของเจ้ากัน”
เสียงของกิสเซลล่าที่เอ่ยขึ้นเรียกให้ใบหน้าสวยของผู้กล้าสาวให้เงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ ของอดีตจอมมารที่กำลังรอคอยคำตอบอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าจะช่วยอะไรข้าได้กัน อ่อนแออย่างเจ้าอยู่ปลูกผักเงียบ ๆ ทำตามความฝันไปจนตายซะเถอะ” ซาราสะปรายตามองอย่างเหยียดหยามใส่อดีตจอมมารที่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจในความฝันของตัวเอง จนมองข้ามไปว่าหญิงสาวกำลังเอ่ยประชดประชันตนอยู่
“ถึงข้าจะช่วยเจ้าไม่ได้ แต่อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นน้องบุญธรรมของจอมมารทั้ง 6 เชียวนะ ! ลองพวกเทพรังแกเจ้ากับหลานของพวกเขาสิ พวกนั้นต้องแล่นมาถล่มพวกเทพแก้แค้นให้เจ้าจนพวกนั้นป่นเป็นผุยผงแน่ ”
“เจ้าให้พี่ ๆ จอมมารของข้าออกหน้าให้ แล้วเจ้าล่ะจะทำอะไร”
“ข้าก็เป็นกองหนุนคอยส่งเสียงให้กำลังใจจากด้านหลังไงล่ะ !”
ซาราสะส่ายหัว ถอนหายใจออกมาเสียงดังด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ กับความขี้ขลาดของปีศาจข้างตัวที่ทำตัวไม่สมกับตำแหน่งจอมมาร... หมอนี่ก็ไม่เหมือนจอมมารคนที่เหลือที่นางประมือด้วยเลยแม้แต่นิดเดียวจนซาราสะสงสัยนักว่าเหตุใดปีศาจพรรค์นี้ถึงได้ปกครองปีศาจอื่นได้อย่างราบรื่นอยู่ได้ตั้งนานนมโดยไม่โดนฆ่าทิ้งเสียก่อน
“สุดท้ายเจ้ามันก็แค่ไอ้ไก่อ่อน ไม่ได้ความเหมือนเดิม” ซาราสะพึมพำออกมาด้วยความละเหี่ยใจ แต่เมื่อก้มมองทารกที่กำลังดูดนิ้วหลับตาพริ้มอย่างสุขสบายอย่างที่เธอทำไม่ได้แล้ว ดวงตาสีฟ้าครามก็ก้มลงต่ำมองพื้น เอ่ยพึมพำสั้น ๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว
“แต่ก็... ขอบคุณมากนะ”
“ซาราสะเมื่อกี้พูดอะไรนะ ?” กิสเซลล่าถามขึ้น เมื่อเขาได้ยินประโยคท้ายของเพื่อนสาวไม่ชัดนัก ซาราสะตีหน้านิ่งไม่พูดอะไร และเลือกที่จะอุ้มทารกน้อยพากลับเข้าห้องไปในห้องด้วยกัน แต่ใบหูที่แดงก่ำของคนแข็งกระด้างก็ทำให้กิสเซลล่ายิ้มออกมา
แม้จะไม่ได้ยินประโยคนั้น แต่เพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘ขอบคุณ’ ก็มากพอให้อดีตจอมมารล้มตัวลงนอนกับพื้นบ้านแข็งเย็นของตัวเองด้วยความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนได้ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
โดยไม่รู้เลยว่าเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อนผู้กล้าของเขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่มิวายวางทิ้งปัญหาเป็นเจ้าก้อนขาวกลมดิกไว้ที่เตียงให้เขาหยิบจดหมายที่แนบไว้กับตัวทารกน้อยขึ้นอ่านด้วยมือที่สั่นเทา
กิสลี่ขอโทษนะ... เด็กคนนั้นข้าคงต้องฝากเจ้าปกป้องแทนข้าแล้ว
“ซาราสะ... เจ้าจะทิ้งลูกแบบนี้ไม่ได้นะ ! ! !”
อดีตจอมมารหวีดร้องออกมาเสียงดังก้อง จนเด็กน้อยในอ้อมแขนที่กำลังหลับปุ๋ยสะดุ้งเฮือกตื่นเต็มตา ปากน้อยเริ่มเบ้ลงพร้อมเสียงร้องสะอื้นด้วยความตื่นกลัว
ปีศาจหนุ่มลนลานยกเด็กน้อยมาตบหลังปลอบแทบไม่ทัน กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจว่าเหตุใดเขาถึงไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนผู้กล้าตัวแสบที่นิยามเขาว่าโคตรอ่อนแอถึงมาหาเขาถึงที่ ในเมื่อเขานั้นออกจะไร้ประโยชน์ ที่แท้นางตั้งใจจะฝากเด็กคนนี้ไว้กับเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว !
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ท่านจอมมารแสนสุภาพ และ ผู้กล้าถ่อยสถุล คือความย้อนแย้งที่ไรท์ชอบมากๆ จนเคยคิดจะเอามาแต่งเป็นนิยายรัก... แต่น่าเสียดายที่โครงการนี้ถูกพับเก็บไป เพราะจอมมารน่ะเป็นของมิเกล--- แค่ก ๆ เพราะจอมมารมีลูกต้องเลี้ยงดูแล้ว ไม่ว่างคิดเรื่องความรักหรอกนะ ทำให้นิยายรักถูกเปลี่ยนเป็นนิยายสายครอบครัวแทนยังไงล่ะ !
บาปประจำตำแหน่ง - ชื่อจอมมาร - เพศ (เรียงลำดับตามความเก่งของแต่ละคน)
บาปแห่งความเกียจคร้าน - กิสเซลล่า ลูซิเฟอร์ สล็อต (ชาย)
บาปแห่งความตะกละ - เซนน่า กลัสโธนี่ (หญิง)
บาปแห่งความริษยา - เลอาวี่ ลิเวียธาน เอนวี่ (หญิง)
บาปแห่งความโกรธ - ไรฮาร์ท ราธ (ชาย)
บาปแห่งความโลภ - กอนโซล่า กรีด (ชาย)
บาปแห่งความลุ่มหลง - อิลลิซ่า ลัส (หญิง)
บาปแห่งความหยิ่งผยอง - ลูซิเลียส ลูซิเฟอร์ ไพรด์ (ชาย) ---> ผู้นำของเหล่าจอมมาร
สำหรับนิสัยจอมมารแต่ละคน แม้จะเป็นจอมมารประจำบาป แต่นิสัยของพวกเขาไม่ค่อยจะตรงกับบาปที่ได้รับเท่าไหร่ เพราะมันก็แค่ตำแหน่งที่สืบทอดต่อมา ทำให้นิสัยหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป
อย่างกิสลี่ ที่เป็นจอมมารบาปแห่งความเกียจคร้าน แต่เจ้าตัวกับขยันคิดแผนพัฒนาประเทศสุด ๆ จนขุนนางในวังขยาด อยากให้จอมมารตัวเองขี้เกียจสมตำแหน่งเหลือเกิน (ฮา) แต่ความจริงกิสลี่ก็มีความขี้เกียจนะ แต่เป็นความขี้เกียจที่ไม่มีใครคาดถึงแค่นั้นเอง (ฮา) ดังนั้นถ้าจอมมารคนอื่นโผล่มาแล้วคาแรคเตอร์ไม่ตรงกับบาปประจำตำแหน่งก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ !
