พิษรัก 7 ความแค้นขององศา
“ครับอา” องศาพยักหน้ารับคำ ก่อนที่ต้นเหตุของความเครียดแขนจะผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง
หากย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน องศาถูกพาตัวเข้ามาอยู่ในบ้านอัครวรณ์ชิดในฐานะลูกชายอีกคนของชนิน
ผู้คนภายนอกรวมไปถึงเดือนมีนาและธนินต่างก็รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองศาเพียงแค่นั้น
เพียงแค่…ความหลอกลวงจอมปลอมที่ชนินสร้างขึ้นมา
ชนินเที่ยวประกาศบอกใครต่อใครว่าองศาเป็น ลูกชายของเขากับภรรยาอีกคน ทว่าแท้จริงแล้วองศาไม่ใช่ลูกชายของชนิน
ชายหนุ่มเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมณีจันทร์และปรเมธ ทั้งสามคนอาศัยอยู่ด้วยกันเหมือนครอบครัวปกติทั่วไป จนกระทั่งมณีจันทร์ได้มีโอกาสรู้จักกับชนิน
ท่าทีของเธอที่มีต่อสามีและลูกชายเปลี่ยนไปจนปรเมธอดระแคะระคายไม่ได้ จึงพยายามตามสืบเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสอง จนได้รู้ความจริงว่าภรรยาของตัวเองและชนินแอบเป็นชู้กันอย่างลับๆ
ปรเมธเจ็บปวดจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคนจนในที่สุดความเจ็บปวดเหล่านั้นก็ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นความเคียดแค้น
ปรเมธไม่เคยแสดงออกให้ภรรยารับรู้ว่าเขารู้เรื่องระยำที่เธอทำเอาไว้แล้ว แต่กลับเลือกใช้วิธีที่ผิดมหันต์ในการเอาคืนชายชั่วหญิงเลว
เขาเฝ้าถ่ายทอดความเกลียดชังและความโกรธแค้นให้องศาฟัง ทีแรกเด็กหนุ่มก็ไม่อยากจะเชื่อในคำพูดของพ่อ เพราะที่ผ่านมามณีจันทร์ดูแลเอาใจใส่เขาและผู้เป็นพ่ออย่างดีมาตลอด
แต่แล้วคืนหนึ่งเด็กหนุ่มเกิดสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ประจวบเหมาะกับที่ชนินเพิ่งขับรถมาส่งมณีจันทร์ที่หน้าบ้าน
เสียงของเครื่องยนต์ทำให้องศาชะโงกหน้ามองลงมาจากห้องนอน ภาพที่เห็นทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกผิดหวัง ก่อนที่น้ำตาจะหยดเผาะลงบนฟูก
ภาพของแม่ที่แสนดีกำลังดูดดื่มกับผู้ชายแปลกหน้า
เหตุการณ์นี้ทำให้ความรู้สึกขององศาที่มีต่อผู้เป็นแม่เปลี่ยนไป รวมไปถึงทำให้เขาเชื่อคำพูดของพ่ออย่างไร้ข้อกังขา
มันคงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากทุกอย่างจบลงเพียงแค่นี้ ทว่าไม่ใช่ สองอาทิตย์ให้หลังเด็กหนุ่มกลับมาจากโรงเรียน เปิดประตูเข้าบ้านมาหวังอวดผู้เป็นพ่อถึงผลการสอบที่ได้อับดับหนึ่ง
บานประตูเปิดออกพร้อมกับความเงียบสงัดและว่างเปล่า ดวงตาเล็กๆ กวาดมองไปรอบๆ บ้านอย่างแปลกใจ องศาถอดกระเป๋านักเรียนออกจากบ่า เดินดุ่มๆ ขึ้นไปบนชั้นสอง บิดประตูห้องนอนของผู้เป็นพ่อ
แกร๊ก…
สองเท้าเปลือยเปล่าลอยอยู่เหนือพื้นราวๆ ครึ่งเมตร หัวใจเด็กหนุ่มกระตุกวูบ ค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองอย่างช้าๆ
ตั้งแต่ปลายเท้าที่เกร็งแข็งไปจนถึงลำคอที่ถูกรัดแน่นจากเชือกเส้นหนา และใบหน้าที่ซีดเขียวของผู้เป็นพ่อ
“คุณพ่อ!!”
องศาในวัยไม่กี่สิบขวบวิ่งเข้าไปกอดรัดเรียวขาของผู้เป็นพ่อพลางร้องไห้โฮด้วยความหวาดกลัว ริมฝีปากน้อยๆ พร่ำเรียกบิดาของตนหวังให้ท่านลืมตาตื่นขึ้นมา
ในตอนนั้นเด็กน้อยไม่ได้คาดคิดเลยว่าร่างของบิดาที่ห้อยโตงเตงอยู่เหนือเก้าอี้นั้น…
ไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว…
คอนโด
หลังฟื้นจากอาการแฮงค์เดือนมีนา ลอว์ ฟองเบียร์และเอิงเอยก็เริ่มติวหนังสือด้วยกัน แน่นอนว่าคนที่เป็นฝ่ายติวให้เพื่อนก็คือเดือนมีนาและเอิงเอย ส่วนคนที่ถูกติวคือลอว์และฟองเบียร์
“ที่ฉันอธิบายไปเมื่อกี้มีใครไม่เข้าใจมั้ย?” เดือนมีนาเงยหน้าถามเพื่อนทั้งสองคน แต่ทั้งลอว์และฟองเบียร์ต่างก็เงียบ ไม่มีใครกล้าพูดว่ายังไม่เข้าใจ
“ถ้างั้นฉันจะถาม” เดือนมีนากดเสียงต่ำจ้องลอว์และฟองเบียร์อย่างจับผิด เธอรู้ดีว่าเพื่อนทั้งสองยังไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าที่จะถาม
“เออกูไม่เข้าใจเว้ย” ลอว์โพล่งขึ้นมาอย่างเสียอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปยืนสูบบุหรี่ที่ริมระเบียง
เอิงเอยที่รู้สึกเป็นห่วงรีบเดินตามออกไป
“เอาอีกละยัยนี่ เดี๋ยวก็โดนไอ้ลอว์ด่าแสกหน้าอีกหรอก” ฟองเบียร์ว่าให้เอิงเอยตามหลัง
“ไม่ต้องไปสนใจเอิงกับลอว์หรอก สนใจตัวเองก่อนดีมั้ย?” เดือนมีนาทำเสียงดุ ฟองเบียร์หันมายิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนเพราะกะจะอาศัยจังหวะนี้เบี่ยงเบนความสนใจจากการติวหนังสือ ทว่าก็ไม่เป็นผล
“ก็ได้ๆ” หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็ติวหนังสือด้วยกันต่อจนถึงช่วงค่ำๆ
ลอว์เดินลงมาส่งเพื่อนสาวทั้งสามคนที่ล็อบบี้ของคอนโด
“ยัยมีนแกกลับยังไง” คำถามของฟองเบียร์ทำเอาเดือนมีหน้าปั้นหน้ามุ่ย เพราะมันทำให้เธอหวนนึกไปถึงเรื่องที่ถูกองศากลั่นแกล้งไว้เมื่อเช้า
“คงจะเรียก Grab อะ”
“แต่นี่มันมืดแล้วนะ แกนั่งกลับคนเดียวมันจะไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ”
“นั่นสิ เดี๋ยวเอิงนั่งไปเป็นเพื่อนดีกว่า” เอิงเอยเสนอตัวเพราะรู้สึกเป็นห่วงเพื่อน
“เหอะ ถ้าไอ้คนขับมันคิดไม่ซื่อขึ้นมาจริงๆ คนอย่างเธอจะไปทำอะไรมันได้?” คำกระแนะกระแหนของลอว์ทำให้เอิงเอยรีบก้มหน้างุด รู้สึกน้อยใจอยู่ลึกๆ ที่เขาพูดราวกับกำลังต่อว่าเธอ
“แล้วจะเอายังไงล่ะ ฉันก็อยากจะไปส่งพวกแกอยู่หรอก แต่ป๊ะป๋าจะแวะไปกินข้าวกับเพื่อนด้วยน่ะสิ” ฟองเบียร์กลุ้มใจอย่างหนัก เธอเป็นห่วงเพื่อนสาวทั้งสอง
“เดี๋ยวกูไปส่งเองจบๆ ไป” สิ้นสุดคำพูดนั้นลอว์ก็ดึงแขนเสื้อของเดือนมีนาและเอิงเอยเดินไปยังลานจอดรถของคอนโด ส่วนฟองเบียน์ก็ทำท่าจะขยับปากด่าลอว์ที่พาเพื่อนทั้งสองเดินหนีไปโดยที่ยังไม่ทันร่ำลา
Talk มีน
พอกลับมาถึงบ้านฉันก็ตรงดิ่งขึ้นไปบนห้อง ทีแรกก็แอบเสียวสันหลังเพราะเห็นรถของพี่องศาจอดอยู่ในโรงรถ คิดว่าเขาจะดักรอเพื่อหาเรื่องฉันเหมือนเมื่อเช้า
แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะฉันขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเขาเต็มที ต่างคนต่างอยู่แบบนี้ให้ได้ตลอดก็จะขอบคุณมาก
หลายวันต่อมา
อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง สองสามวันมานี้พี่องศาไม่เข้ามาวุ่นวายกับฉันเลย เวลาเจอหน้าเขาก็ทำเหมือนฉันเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน
บางครั้งฉันก็ลองแกล้งถามเขาในเรื่องทั่วไป แต่เขาก็ตอบกลับมาอย่างขอไปที ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกเหมือนว่าพี่องศากำลังตีตัวออกห่างจากฉัน
ทั้งๆ ที่นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอด ทว่าพอเอาเข้าจริงๆ ทำไมถึงได้รู้สึกใจหายและเคว้งคว้างมากขนาดนี้กัน
วันนี้เป็นวันหยุดพี่องศาไม่ไปทำงาน ส่วนฉันเองก็ไม่มีเรียน ฉันลุกจากที่นอนแล้วเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะเดินลงไปที่ชั้นล่าง
“พี่องศาลงมากินข้าวหรือยังคะป้านวล” ฉันเอ่ยถามป้านวลอย่างสงสัย เพราะเห็นว่าอาหารบนโต๊ะยังเต็มจานเหมือนไม่ได้ถูกกิน
ป้านวลเป็นแม่บ้านที่อยู่ดูแลที่นี่มานานตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่
“คุณองศาไม่สบายค่ะ ป้าเพิ่งยกข้าวต้มขึ้นไปให้เธอเมื่อครู่”
พี่องศาไม่สบายอย่างนั้นเหรอ..
แล้วทำไมถึงต้องรู้สึกเป็นห่วงเขาด้วยล่ะเนี่ย…
“ยังไงคุณมีนแวะไปดูเธอหน่อยนะคะ เมื่อกี้ตอนป้าเข้าไปเสิร์ฟข้าวต้มคุณองศาดูท่าจะอาการหนัก เธออาเจียนแถมตัวยังร้อนมาก ป้าบอกให้ไปหาหมอแต่เธอก็ไม่ยอม”
อะ…อาการหนักเลยอย่างนั้นเหรอ…
ฉันเดินใจลอยออกจากห้องครัว รู้ตัวเองอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้องของพี่องศาแล้ว ฉันถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปเพราะเห็นว่ามันถูกแง้มเอาไว้อยู่
ร่างสูงนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่าน สภาพของเขาดูเหมือนคนที่ป่วยหนักอย่างป้านวลว่าจริงๆ นั่นแหละ
“พี่องศา…มะ…ไม่สบายเหรอคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
