บทที่ 4
ร่างสูงใหญ่ยืนหันหลังอยู่หน้าตู้เก็บไวน์ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าอีกข้างจับขวดสีดำในมือพลิกดูรายละเอียดอย่างตั้งใจ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินมาด้านหลังชาร์ลจึงหันไปและก็เป็นคนที่บอกให้เขารออยู่ที่นี่
ชายหนุ่มจึงยกขวดไวน์ในมือขึ้นชูให้ผู้เป็นลุงดู และยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวกสายตากลับไปสนใจดูของในมือต่อ
“ไม่คิดว่าลุงจะมีไอ้นี่ด้วย” น้ำเสียงติดจะประหลาดใจนั่นเอ่ยถามศรศิลป์
“ชอบหรือเปล่าล่ะ” ผู้เป็นลุงเอ่ยถามอย่างไม่ยี่หระหากจะต้องสูญเสียของที่เก็บสะสมทั้ง ๆ ที่ตัวเขาก็หวงของพวกนี้อย่างกับอะไรดี
แต่ระหว่างชายหนุ่มรุ่นลูกที่เป็นหลานชายที่เรียกว่าสนิทชิดเชื้อชนิดอย่างชาร์ลแล้ว ศรศิลป์กล้าบอกได้เลยว่าหากหลานชายคนนี้อยากได้อะไรเขาก็พร้อมจะให้เสมอ
ไวน์ขวดนี้เรียกว่าเก่าเก็บเสียมากกว่า ศรศิลป์จำไม่ได้ว่าได้มันมาประมาณปีไหนแต่น่าจะก่อนที่ลูก ๆ เราเกิดนั่นก็แสดงว่าน้ำเมาขวดนี้อายุมากกว่าชาร์ล
“ให้เด็กเอาไปเปิดให้สิ” ชาร์ลเลิกคิ้วขึ้นสูงและส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด
รสนิยมของชายหนุ่มกับผู้เป็นลุงคล้ายคลึงกันจนหน้าประหลาด สิ่งที่อยู่ในมือชาร์ลและภายในห้องนี้ก็คือความชอบของคนต่างวัยที่หากจะต้องสู้กันเพื่อแก่งแย่งอะไรก็ตามที่ชอบ ลุงกับหลานก็คงจะไม่ยอมกันแน่ ๆ
“ผมไม่มีอะไรจะแลกกับลุงหรอก” ชาร์ลได้มีโอกาสเข้ามาในห้องเก็บไวน์ของลุงไม่กี่ครั้ง และเมื่อใดก็ตามที่เข้ามาได้แล้ว ลุงอาจจะขาดทุนย่อยยับเป็นแน่
“อยากได้ขวดไหนก็หยิบเอาไป แต่ก็เหลือดี ๆ ไว้เผื่อโชว์คนอื่นบ้างนะ” ท้ายประโยคศรศิลป์เอ่ยเสียงเบา ชาร์ลได้ฟังก็จับขวดไวน์ใส่ที่เก็บดังเดิม
“ผมไม่อยากได้ครับ” ชายหนุ่มรุ่นลูกหันหน้ามาประจันหน้ากับผู้เป็นลุง มือสองข้างล้วงกระเป๋าและส่งยิ้มเล็กน้อยให้ ศรศิลป์ถอนหายใจ
“แล้วอยากได้อะไร” คนเป็นลุงเดินมายืนข้าง ๆ ก่อนจะเปิดตู้โชว์อีกฝั่งและพยักพเยิดไปทางนั้น
“ลุง…ผมโตแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องแย่งของที่ลุงรักหรอกซื้อเองได้” เขาตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้ด้านข้างนั่ง บาสเตียนเดินถือแก้วไวน์มาสองใบ
“งั้นดื่มด้วยกันหน่อย”
“ป้าดาวรอทานข้าวไม่ใช่เหรอครับ”
“ชาร์ล…”
“ครับ”
“ขอบคุณที่ช่วยน้องนะ”
แม้จะมองไม่เห็นว่าสีหน้าคนพูดเป็นเช่นไรเพราะผู้เป็นลุงหันหน้าเปิดขวดไวน์อยู่หน้าตู้ ก็ชาร์ลรู้ว่าคนพูดโล่งใจแค่ไหนที่ได้พูดประโยคนั้น ชายหนุ่มระบายยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินมาแย่งขวดไวน์ในมือของศรศิลป์ไป
“ลุงเปิดไวน์ให้ผมมันก็จะดูเกินไปหน่อย ถ้าใครมารู้เข้า คนจะด่าว่าผมเลวแต่เรื่องจริงก็เลวนั่นแหละ” ชาร์ลแย่งขวดในมือศรศิลป์มาถือ ชายหนุ่มรุ่นลูกหัวเราะเบา ๆ และงัดจุกไวน์ขึ้น ก่อนจะรินใส่แก้วและเดินมาเสิร์ฟให้กับเจ้าของตัวจริงถึงที่นั่ง
“ดื่มสิ และจะได้เข้าเรื่องกัน”
“งั้นไม่ดื่มดีกว่า รู้สึกแสบคอวันนี้” ศรศิลป์สบตามองแววตาสีเทาเข้มของหลานชาย
“อย่าเล่นลิ้นให้มากชาร์ล ตอบคำถามมาแล้วกัน” ชาร์ลหัวเราะและจิ๊เสียงเล็กในลำคอ
“ถ้าตอบได้ผมจะตอบ แต่ถ้าตอบไม่ได้ต้องขอโทษสำหรับไอ้นี่ด้วยเพราะมันคงจะเสียของแล้ว” ชายหนุ่มยกแก้วไวน์จรดริมฝีปากดื่มมันจนหมดแก้วในคราเดียว เขาอมไว้ข้างกระพุ้งแก้มจนแก้มป่องและยกนิ้วโป้งให้กับผู้เป็นลุง
“ดีครับแบบนี้ค่อยโอเคหน่อย เรื่องไอ้พงษ์ผมทำเองและไม่ได้คิดจะแค่สั่งสอน ผมกะจะเอามันให้ตาย” ดวงตาสีเทาเข้มระริกสั่นไหวเหมือนกำลังทำเรื่องน่าขบขัน
ศรศิลป์พ่นลมหายใจออกมาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือชาร์ล แต่พอได้ยินหลานพูดออกมาว่าเป็นคนจัดการทั้งหมดเขาก็อดจะใจหายไม่ได้
“ชาร์ลไม่ต้องลงมือทำเองหรอกนะ ลุงจะจัดการทุกอย่างให้”
ศรศิลป์คิดเช่นนั้นจริง ๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กยันฟ้าพราวพรรณโตจนป่านนี้หลานชายคนนี้ไม่เคยปล่อยให้น้องสาวอยู่นอกสายตาเลยสักครั้ง และเรื่องนี้มันเรื่องของลูกสาวเขาโดยตรงชาร์ลไม่ควรจะมือเปื้อนเลือด
“ถ้าไม่ได้ฆ่ามันด้วยตัวเอง ผมก็ไม่จบและไม่หยุด ลุงก็รู้ผมเป็นคนย้ำคิดย้ำทำแค่ไหน ถ้าจะตีงูก็ต้องตีให้ตายไม่ใช่เหรอลุงเป็นคนสอนผมเอง?”
ชาร์ลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ดวงตาเขาจับจ้องไปที่ขอบแก้วทรงสูง ในหัวคิดเพียงว่าหากเขาบีบมันแรง ๆ แก้วพวกนี้จะแตกคามือเขาหรือเปล่า
“ลุงจะจัดการมันแน่เพราะฟ้าพราวพรรณก็ลูกสาวลุง…แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้รอหน่อยได้ไหม”
“ทำไมผมต้องรอ ถ้าผมไปไม่ทันทุกอย่างจะเป็นยังไง ลุงกับป้าดาวดีกับผม ผมดูแลน้องทั้งสองให้ลุงมันถูกต้องแล้วที่ใครทำให้น้องเจ็บผมก็จะเอาคืน!” ศรศิลป์เดินเข้าไปหาหลานชายและตบบ่ากว้างอย่างแรง
“ขอบใจชาร์ล แต่เส้นสายมันเยอะ ลุงไม่อยากให้ชาร์ลต้องยุ่งยากใจ แค่นี้ก็พอแล้ว” ศรศิลป์รู้ข่าวว่าหลานนายพลใหญ่สภาพปางตาย ขาสองข้างหักละเอียดมีลมหายใจก็ตายไปเสียจะยังดีกว่า
“ลุงจะออกตัวให้มันเพราะฟ้าพราวพรรณสั่งให้ลุงมาพูดกับผมเหรอ?”
ศรศิลป์เม้มริมฝีปากไม่ได้นึกโกรธเคืองที่หลานชายพูดออกมาตรง ๆ เราก็เหมือนเพื่อนที่ต่างวัยตัวเขาเองชื่นชอบที่ชาร์ลเป็นคนเก่งเป็นเด็กดี และพึ่งพาอาศัยได้ทุกเรื่อง เขาไม่ต้องเหนื่อยมากในเรื่องธุรกิจของเรารวมถึงเรื่องของฟ้าพราวพรรณด้วย
“ชาร์ลก็เหมือนลูกชายลุงนะ” แม้ศรศิลป์จะมีลูกชาย แต่กับชาร์ลไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก
“ถ้าลุงกลัวผมจะเสียใจเห็นทีจะไม่ต้องเพราะผมไม่ได้เสียใจไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากอยากจะฆ่ามัน!” เมื่อผู้เป็นลุงเงียบชาร์ลก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เขายกแก้วไวน์ขึ้นมาสูดดมกลิ่นของมันราวกับจะซึมซับรสชาติองุ่นหมักที่ดีเยี่ยมเช่นนี้
“น้องยังเด็กมาก ทุกอย่างเป็นเพราะลุงปิดกั้นน้องเกินไปทำให้เวลาไปเจอโลกภายนอกจึงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงคนแบบนนี้” ชาร์ลเงยหน้าสบตากับผู้เป็นลุงก็แสดงว่าฟ้าพราวพรรณให้พ่อเธอมาพูดกับเขาจริง ๆ
“ฟ้าพราวพรรณไม่ได้โง่แบบนั้นแต่เพราะเรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้” ชาร์ลพูดจบก็หัวเราะออกมาเบา ๆ หัวใจของคนสูงวัยกระตุก คำตัดรอนเรียบ ๆ ของชาร์ลทำเอาศรศิลป์แทบสั่งให้คนล็อกประตูบ้านเพราะกลัวว่าหลานชายจะหนีกลับก่อนที่จะคุยกันรู้เรื่อง
“เกือบยี่สิบปีที่ดูแลกันมา ชาร์ลจะทิ้งน้องไปอย่างนั้นเหรอ” ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลาเหม่อเล็กน้อย
“ทำไมลุงถึงพูดเหมือนคนที่ทิ้งทุกอย่างไปเป็นผมล่ะครับ?”
“...”
“ฟ้าพราวพรรณเธอต้องการประชด ต้องการเอาชนะ ต้องการให้ผมพูดในสิ่งที่เธออยากได้ยิน แต่แปลกที่ฟ้าพราวพรรณทั้ง ๆ ที่รู้ดีกว่าใครว่าสันดานผมเลวยังไง แต่กลับท้าทายความอดทนผมแบบนั้น”
“ชาร์ลน้องยังเด็ก ที่ลุงไม่ออกตัวเพราะก็ดู ๆ เราอยู่ ขอให้มั่นใจถ้าลุงยังอยู่ตรงนี้ยังไงก็ต้องเป็นชาร์ล”
“ลุงควรรู้ว่าฟ้าพราวพรรณเดินมาขว้างทางปืนและคุกเข่าขอร้องผมว่าอย่าฆ่ามัน” ชายหนุ่มยิ้มเย็นและส่ายหน้า
“น้องไม่ได้เหมือนเรานะชาร์ล แม่เขาสั่งสอนมาแบบนั้นเรื่องชีวิตอะไรแบบนี้ ในสถานการณ์ตอนนั้นถ้าเป็นป้าดาวก็ห้ามเหมือนกัน” ศรศิลป์ขยับตัวและมองหน้าหลานชาย
“ลูกสาวลุงมักจะพูดเสมอว่าผมเป็นคนไม่ดี ผมเป็นคนเลือดเย็น” คนสูงวัยสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ผ่านออกมาทางดวงตาสีเทาคู่นั้น
“และผมก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ และจะเป็นยิ่งกว่านั้นอีก”
