บทที่2
สายลมเอื่อยๆ พัดพาร่างบางของหญิงสาวในชุดนักเรียนที่ผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าโซเซไปตามแรงลม ผมน้ำตาลยาวประกายแดงปลิวไสวไปพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดเอาความหนาวเหน็บมาให้ในยามเช้า
โชคดีที่วันนี้แดดไม่ร้อนจัดจ้านชวนให้นึกถึงนรกอเวจีเหมือนวันก่อนๆ ที่ผ่านมา ไม่อย่างนั้นฉันคงกลายร่างแน่ๆ ฉันเป็นคนขี้ร้อน โกรธง่ายตายยาก และไม่ชอบมั่วสุมอยู่ในสถานที่ที่มีประชากรเยอะเกินกว่าสิบคนเพราะมันจะทำให้ฉันหงุดหงิดและถ้าฉันหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็...ฉันสามารถฆ่าคนด้วยสายตาก็ยังได้ แต่สำหรับบรรยากาศที่เย็นสบายสายฝนเริ่มจะโปรยปรายแบบนี้..มันคือสวรรค์ของฉันเลยก็ว่าได้
ฉันสูดกลิ่นไอจากความร้อนชื่นในฤดูฝนเข้าเต็มปอดทั้งสองข้างก่อนจะเดินนำร่างที่เบาหวิวเหมือนขนนกขึ้นอาคารเรียนที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แต่ยังเดินไปไม่ถึงบันไดทางขึ้นตึก หูหาเรื่องก็ดันแว่วได้ยินบทสนทนาที่ฉันไม่พึงประสงค์อยากจะได้ยินมันเข้าจนได้...
“นั่นยูรินี่นา” ยัยแรด No1
“สวยมากเลยอ่าเธอ” ยัยแรด No 2
“สวยก็จริง แต่อย่าไปทักเชียวนะย่ะ ฉันได้ข่าวมาว่ายัยนั่นน่ะ กัดคน!” เมื่อไหร่ไอ้เสียงนกเสียงกาเสียงหมาพวกนี้มันจะห่างหายไปจากชีวิตที่เกือบจะสงบสุขของฉันซะทีนะ ยิ่งฉันพยายามไม่สนใจเท่าไหร่ เสียงติฉินนินทาก็ยิ่งจะเพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่แน่นะ! บางทีชาติที่แล้วฉันอาจจะเคยก่อร่างสร้างเวรกับคนพวกนี้เอาไว้เยอะ
ชาตินี้พวกเขาเลยมาจองล้างจองผลาญชีวิตฉันอย่างไม่จบไม่สิ้นก็เป็นได้ แต่ยังไงซะเมื่อวานฉันได้ให้คำมั่นสัญญาแต่ไม่สาบาน (สาบานสำคัญกว่าสัญญา) กับน้ารักเอาไว้แล้วว่า จะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นเลวน้อยลง สงบปากสงบคำ อดทนให้ถึงที่สุด แต่คำว่าที่สุดถึงที่สุดของฉัน มันจะนานสักแค่ไหน ก็คงต้องขึ้นอยู่กับยัยพวก2สาวแสน(ไม่)สวยที่กำลังนินทาฉันอยู่แล้วล่ะ
“เอ๋? ทำไมถึงกัดคนได้ด้วยล่ะ เขาออกจะน่ารักไม่เห็นร้ายกาจอย่างที่ใครๆ ว่าเลย~”ให้อภัยก็ตรงคำว่า ’น่ารัก’ เนี่ยแหละ
“หน้าตาก็น่ารักดีอยู่หรอกนะ แต่ปากนี่สิ ด่าใครแต่ละทีนะ ถ้าไฟไม่ดับน้ำก็ไม่ไหลเลยแหละแก! เขาว่ากันว่ายัยนั่นน่ะ โรคจิต!!”ยัยคนแรกรอดตายแล้ว แต่อีกคนท่าทาง...จะรอดยาก
“ถึงว่าสิ ไม่เห็นมีเพื่อนเลยสักคน น่ากลัวจัง ผู้หญิงแบบนี้น่ะ” เอาล่ะ เอาล่ะ สรุปว่าแกได้ตายคู่แน่ๆ มันผิดมากรึไงที่ฉันรักสันโดษน่ะ (อันที่จริงไม่มีใครคบมากกว่า)
“นั่นสินะ! ถ้าวันดีคืนดีฉันเจอยัยยูริพร้อมกับหมาบ้าน้ำลายไหลย้อย ฉังคงจะคิดหนักน่าดูเลยล่ะ” ทนไว้ยูริ...อดทนเอาไว้~
“คิดหนักอะไรเหรอ”
“ก็คิดหนักที่ว่า จะกลัวอะไรดี ระหว่างยัยนั่นกับหมาน่ะสิ ฮ่าๆๆๆ” เปรี๊ยะ! เสียงเส้นขีดกั้นความอดทนของฉันขาดกระจุยทันทีราวกับว่าถูกตั้งระเบิดเวลาเอาไว้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีเขี้ยวงอกออกจากมุมปากทั้งสองข้าง เขาแหลมคมเริ่มจะค่อยๆ โผล่ออกมาเหนือหัว
ฉันกำลังจะแปรงร่าง
แปรงร่างเป็นปีศาจกระหื่นกระหายเลือด!
“แต่ฉันว่านะ ถ้าในทางกลับกัน ไม่ต้องมีหมาให้ฉันมานั่งเปรียบเทียบว่าจะกลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างเธอกับหมา ฉันคงตอบได้เต็มเสียงโดยที่ไม่ต้องหันไปมองหน้าหมาให้เมื่อยคอ เพราะในโลกนี้ คงไม่มีอะไรที่จะน่าเกลียดน่ากลัวได้มากกว่าเธออีกแล้วล่ะ” ทันทีที่ฉันปรากฎตัว ยัย 2 สาวผู้ไม่ประสงค์ที่จะตายดี ก็หน้าถอดสีสลัดคราบความสุขที่ได้นินทาชาวบ้านเมื่อสักครู่ออกไปจนหมดเกลี้ยง
“ยะ...ยูริ คือว่าเรา...”
“คนที่เก่งแต่นินทาชาวบ้านลับหลังไปวันๆ เนี่ย ไม่ค่อยจะแน่จริงสักเท่าไหร่เลยนะ เธอว่าไหม”คำพูดนิ่มนวลอ่อนนุ่มและปะปนไปด้วยคำสาปแช่งนานาประการของฉัน ทำให้ยัยสองสอด(ตั้งฉายาคู่ให้ซะเลย) ถึงกับหน้าซีดปากสั่นไปในทันที
ทีงี้ทำไมถึงได้เงียบเชียบสงบปากสงบคำกันนักล่ะ เมื่อกี้ยังนินทาฉันกันอย่างสนุกปากกันอยู่เลย
ฉันล้วงเข้าไปหยิบเงินออกมาจากกระเป๋ากระโปรง ก่อนจะยื่นมันไปให้ยัยสองสอดที่ยืนขาสั่นอยู่เบื้องหน้ายัยสองคนนั้นทำหน้าราวกับว่าฉัน ได้ให้ทองคำแท่งกับพวกหล่อนก็ไม่ปาน
“เอาเงินนี่ไปซื้อตะกร้อมาใส่ซะนะ!”
“อะ...เอ่อ ยะ...ยูริ ตะกร้อเขาเอาไว้เตะใช่ไหมเหรอ”ยัยสอดรู้พูดขึ้นพร้อมกับทำสีหน้างุนงงมาให้ฉัน
“นั่นสิ!” สมทบด้วยยัยสอดเห็น
“แล้วใครว่าฉันหมายถึงตะกร้อที่เอาไว้เตะกันล่ะ”
“แล้วมันคือตะกร้อที่เอาไว้ทำอะไรเหรอ!” ยัยสอดรู้สอดเห็นประสานเสียงถามอย่างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“ก็...ตะกร้อที่เขาเอาไว้ครอบปากหมาน่ะ ว่างๆ ก็พากันไปซื้อมาครอบซะนะ สุนัขในปากจะได้ไม่ไปเที่ยวไล่กัดคนอื่นเขาอีก” ฉันว่าก่อนสะบัดเรือนผมยาวๆ สลวยใส่หน้ายัยสองสอดอย่างจงใจ และเดินจากไปราวกับผู้ชนะสิบทิศ!
ท่าทางยัยสองสอดนั่นจะเจอเข้ากับเหตุการณ์ที่แสนจะเจ็บปวดรวดร้าวและเลวร้ายที่สุดในชีวิตเข้าให้แล้ว แต่เรื่องนี้ฉันไม่ผิดนะ!ฉันอยู่ของฉันดีดี ไม่ได้ไปหาเรื่องหาราวกับใครก่อน จะมีก็แต่ยัยสองสอดนั่นแหละ ที่เดินเอาเรื่องมาให้ฉันหาเอง
