บทที่ 39 ดอกไม้ที่ถูกเก็บจากถังขยะ 2
เสียงฝีเท้าสองคู่ย่ำไปบนทางเดินพื้นซีเมนต์ริมทางเป็นจังหวะเกือบพร้อมกัน ร่างสูงกว่าเก็บสองมือไว้ในกระเป๋ากางเกงก้าวเดินด้วยท่าทางสมาร์ท คนที่เดินอยู่ข้าง ๆ พยายามทอดน่องตามให้ทันเพราะระยะก้าวที่สั้นกว่าเล็กน้อย หลังจากเดินลงลิฟต์ของคอนโดออกมาแล้ว อีธานกับเชอแตมก็ก้าวเดินไปบนทางเดินพร้อมกันแบบมิได้นัดหมาย บรรยากาศในเวลาดึกดื่นที่แสนคุ้นเคย คงกระตุ้นอารมณ์ส่วนลึกให้นึกอยากเดินเล่นขึ้นมา เมื่อเห็นเธอใจตรงกับเขาอีธานเลยไม่ใช้วิธีพาเธอกลับห้องด้วยพลังแวมไพร์
"นี่เป็นครั้งที่สองที่เราเดินกลับด้วยกันแบบนี้" เชอแตมพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อย้อนนึกไปถึงครั้งแรกที่เธอเดินเคียงคู่เขากลับหอพัก และมันก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้จักตัวตนของเขา
อีธานยิ้มมุมปากนิด ๆ เขาเองก็กำลังจินตนาการถึงครั้งแรกที่เขาเดินมาส่งเธอที่หอพัก ความรู้สึกแปลก ๆ เกาะกินหัวใจเขา ถ้าเพียงเขาเป็นแค่มนุษย์ ถ้าเพียงเขาเจอเธอเพราะความบังเอิญไม่ใช่ความตั้งใจของหน้าที่แวมไพร์ ถ้าเพียงเธอเป็นแค่มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่มี 'สิ่งนั้น' ในตำนานซ่อนอยู่ในร่างกาย การเดินทอดน่องในราตรีนี้มันคงไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ และคงจะเป็นราตรีที่เขามีความสุขที่สุด
"คุณไม่กลัวออสการ์ตามเรามาเหรอคะ" เชอแตมหันไปถามอีธาน
เขาพูดโดยไม่หันมามองสบเธอ "ผมไม่คิดว่าช่วงนี้มันจะใช้มุกเดิม ๆ มาจับตัวคุณ"
"ทำไมคะ"
"มันไม่เคยได้ผลกับวิธีจับตัวคุณไปในยามที่คุณอยู่กับผม"
เฮนรี่กับออสการ์มีสมุนแวมไพร์ฝีมือดีมากมายก็จริง หากจะใช้สมุนเหล่านี้มาจับเชอแตมไป มันก็ทำได้ง่าย ๆ แต่เหตุผลที่พวกมันไม่เลือกใช้วิธีนี้เพราะโดมลับมีหูตาเป็นสับปะรด การรวมตัวของแวมไพร์กลุ่มใหญ่จึงค่อนข้างสะดุดตาและเสี่ยงต่อการจับได้ของโดมลับ แต่หากจะใช้แวมไพร์เพียงไม่กี่ตนมาจับตัวเชอแตมไป แน่นอนว่าแวมไพร์พวกนั้นก็ต้องเหนื่อยกับการฝ่าด่านของอีธานไปก่อน และในท้ายที่สุดอาจจะคว้าน้ำเหลวแถมเจ็บตัวกลับไปอีก
อีธานมั่นใจว่าช่วงนี้ เฮนรี่คงอยากให้เรื่องที่มันต้องการตัวเชอแตมเงียบไปสักพัก ให้พวกโดมลับที่ระแคะระคาย หรือแม้แต่อาของอีธานได้ตายใจว่ามันอาจจะรามือ หรือไม่ก็เพื่อให้ฝ่ายอีธานตั้งรับกับแผนการครั้งใหม่ของมันแบบไม่ทันตั้งตัวจนไม่สามารถต้านพวกมันไว้ได้
และมันยากมากเมื่อไม่รู้ว่าศัตรูกำลังวางแผนในแนวทางใด
"ดูท่าทางคุณนี่เก่งบรมเลยนะคะ" เชอแตมทั้งเอ่ยชมทั้งเอ่ยประชดเขาไปพร้อมกัน อีธานตวัดสายตามามองเธอเพียงนิด "ท่าทางคุณเนี่ย ทำให้ฉันรู้สึกได้เลยนะคะว่า มีแวมไพร์เกรงกลัวคุณเต็มไปหมด"
อีธานยกไหล่ "ผมถึงถูกเลือกมาดูแลคุณไง"
เชอแตมแบนปากเล็กน้อย แต่ในใจกลับอบอุ่น "จริงเหรอคะ ในอาณาจักรของคุณ คุณทรงอิทธิพลมากเลยเหรอ"
อีธานหัวเราะหึ ๆ "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่เป็นเพราะตระกูลของผมต่างหากถึงทำให้ผมดูเป็นคนที่น่าเกรงขามและทรงอิทธิพล..." อีธานมองไปข้างหน้า ในใจนึกถึงใบหน้าของพ่อแม่ เชอแตมทำให้เขาคิดถึงท่านทั้งสองขึ้นมาแบบโหยหาในรอบหนึ่งปี "ตระกูลโอดินเป็นตระกูลทรงอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของอาณาจักรแวมไพร์ ตระกูลผมเป็นหนึ่งในตระกูลที่บุกเบิกอาณาจักรแวมไพร์ ความเมตตา ความยุติธรรมทำให้ตระกูลเราทรงอิทธิพลเพราะมีแวมไพร์ที่เคารพนับถือมากมาย แต่เมื่อมีอิทธิพลก็ย่อมมีทั้งศัตรูและมิตร ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย..." อีธานเงียบไปอึดใจ คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างก่อนพูดต่อ "ผมอาจจะเป็นแวมไพร์ที่ดูแข็งแกร่งมากคนหนึ่งในอาณาจักร ผมอาจจะต้องขอบคุณเฮนรี่ก็ได้ ที่ทำให้ผมเป็นคนแบบนี้"
เชอแตมเลิกคิ้วสงสัย มองไปยังใบหน้าซีกเดียวของเขาด้วยแววตาจริงจัง
"ทำไมคะ ทำไมต้องขอบคุณเฮนรี่"
ความเงียบปกคลุมทั้งคู่อึดใจ เชอแตมพยายามรอคอยคำตอบจากอีธานโดยไม่เร่งเร้าเขา เพราะจากอารมณ์ที่เธอสัมผัสได้จากเขานั้น มันหม่น ๆ จนเธอไม่กล้าซักไซ้
เหมือนอีธานมีความหลังที่หดหู่ เหมือนเขามีอดีตที่แสนเจ็บปวดในแววตาคู่นั้น
"ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากพูดถึงมัน"
เขาพูดจากความรู้สึกจริง ๆ ไม่อยากทำลายบรรยากาศที่แสนจะผ่อนคลายตอนนี้ด้วยเรื่องราวในอดีตของเขา แม้จะรู้สึกขัดใจ ความอยากรู้มีมากมายแค่ไหน แต่หญิงสาวข้าง ๆ ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ถามจนต้องทะเลาะกันให้เสียบรรยากาศ ก็อย่างที่เธอรู้ เขาอยากบอกเมื่อไหร่ เขาก็จะบอกเธอเอง ถ้าเขาไม่อยากบอก ต่อให้รบเร้ามากแค่ไหน เขาก็เฉยชาใส่อยู่ดี
เชอแตมเม้มปากเชิงเสียดาย "คุณว่าหลุยส์กับป๊อบคอร์นจะลงเอยด้วยดีมั้ย" เปลี่ยนเรื่องไปซะเลยมันก็คงจะดี
อีธานหันมามองหญิงสาว สีหน้าแกมหัวเราะ "คุณว่ามันจะลงเอยง่าย ๆ เหรอ"
"ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ป๊อบคอร์นรู้ทุกอย่างแล้ว แล้วแบบนี้หลุยส์จะไม่ยอมรับหัวใจตัวเองได้ยังไง"
"คุณไม่รู้จักหลุยส์ดีพอ"
"ใครจะไปเก่งอย่างคุณล่ะคะ ไม่ใช่แค่หลุยส์นะ ทั้งโลกเนี่ย คุณก็รู้จักดีพอไปซะทุกคนแหละ"
อีธานหัวเราะหึ ๆ "ใครว่าล่ะ คนที่ผมรู้จักไม่ดีพอก็มีอีกหลายคน"
เชอแตมเลิกคิ้วประหลาดใจ "มีด้วยเหรอ คนที่คุณอ่านใจเขาไม่ได้"
"มีสิ" อีธานตอบ "ทุกอย่างบนโลก มีขีดจำกัดทั้งนั้นแหละ ไม่เว้นแม้แต่พลังพิเศษของผม ผมอ่านใจใคร ๆ ได้ก็จริง ๆ แต่มันกลับมีขอบเขตจำกัดให้อ่านใจได้เฉพาะมนุษย์ทุกคนกับแวมไพร์ที่อายุน้อยกว่า อายุไล่เลี่ยกันหรือเท่ากัน ส่วนแวมไพร์ที่อายุมากกว่าผมสี่ร้อยปีขึ้นไปหรือแวมไพร์อาวุโสที่สุด ผมไม่สามารถอ่านใจได้"
เป็นความรู้ใหม่ที่เชอแตมต้องบันทึกไว้ในสมอง "ทำไมคะ ทำไมความพิเศษนี้ถึงต้องมีข้อจำกัดแบบนี้ด้วย"
"การอ่านใจ ความจริงแล้วมันถือเป็นเรื่องที่ก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลมาก แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ถึงได้ถูกแวมไพร์เลือดครึ่งครหาบ่อยครั้ง เพราะมันเหมือนกับไม่มีมารยาท แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเราเป็นแบบนี้ บางทีพวกเราก็พยายามสกัดความคิดไม่ให้อ่านได้พร่ำเพรื่อนะ แต่มันก็ยังเห็น เพราะฉะนั้น ข้อจำกัดเรื่องการอ่านใจแวมไพร์อาวุโสไม่ได้ ถือเป็นการแสดงความเคารพทางอ้อมต่อพวกเขา"
เชอแตมพยักหน้าเบา ๆ "เฮนรี่ล่ะคะ คุณอ่านใจเฮนรี่ได้หรือเปล่า"
"นั่นล่ะ เรื่องเครียดที่สุดแห่งปี" เชอแตมเผยอปากค้างน้อย ๆ "ผมไม่เคยอยากอ่านใจใครให้ได้มากเท่ากับเฮนรี่มาก่อน"
"ถ้าอย่างนั้น เฮนรี่มันก็เหนือกว่าคุณตรงนี้"
อีธานพยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้หันไปทางเธอ เชอแตมถอนหายใจเชิงปลงตก
"ฝ่ายธรรมะ มักจะมีอะไรที่ด้อยกว่าอยู่เสมอเลย" เชอแตมบ่นอุบ อีธานหัวเราะในลำคอ
"ไม่เสมอไปหรอก ผมอ่านใจเฮนรี่ไม่ได้ แต่อย่างอื่นผมไม่ได้มีด้อยกว่าพวกมันเลย คุณก็น่าจะรู้ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของมัน ไม่ใช่แวมไพร์เลือดแท้ อย่างน้อยก็เป็นข้อด้อยของมันแล้ว"
เชอแตมเม้มปากฉีกยิ้มนิด ๆ ให้เขา "จริงสิคะ พูดถึงออสการ์ ทำไมเฮนรี่ถึงได้มีลูกชายที่เป็นแวมไพร์เลือดครึ่งกัน เขามีเมียเป็นมนุษย์เหรอคะ"
อีธานหันไปมองหน้าเชอแตมด้วยแววตามีเลศนัย "คุณคิดว่าไง"
"ก็ถ้าเฮนรี่ไม่มีเมียเป็นมนุษย์ แล้วลูกชายเขาจะออกมาเป็นแวมไพร์เลือดครึ่งได้ยังไงกัน"
อีธานยิ้มมุมปาก ท่าทางเขาดูกวน ๆ ชอบกล "เรื่องแวมไพร์เลือดครึ่งมีอะไรอีกมากที่คุณยังไม่รู้ แต่สำหรับเรื่องออสการ์ คุณเข้าใจถูกแล้ว"
เชอแตมเลิกคิ้วสูง "แล้วทำไมคุณต้องทำหน้าเหมือน ฉันคิดผิด"
อีธานยิ้มมุมปากให้หญิงสาว เขายกไหล่นิด ๆ "เปล๊า" คำตอบด้วยน้ำเสียงสูงของเขาทำให้เชอแตมต้องขบฟันกันด้วยนึกหมั่นไส้
"แล้วทำไมต้องตอบเสียงสูง"
อีธานเอียงหน้าไปมองเจ้าของหัวใจตัวเองด้วยประกายตาแพรวพราว "ผมอ่านใจคุณได้นะ คุณก็รู้" คำตอบของอีธานทำให้เชอแตมมองค้อนทันที เขาเห็นไปถึงส่วนลึกของเธอเลยหรือไง
"ในเมื่อรู้ว่าฉันจะโยงเรื่องเฮนรี่มีเมียเป็นมนุษย์กับเรื่องของเรา แล้วคุณตอบฉันได้มั้ยล่ะ ว่าทำไมเฮนรี่กับแม่ของออสการ์เป็นไปได้ แต่ฉันกับคุณเป็นไปไม่ได้"
"ก็ง่ายนิดเดียว เฮนรี่มีเมียเป็นมนุษย์ก็เพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น"
เชอแตมขมวดคิ้วมุ่น นึกทำนายในใจเล่น ๆ "ผลประโยชน์ที่ว่า คงไม่ใช่ออสการ์หรอกใช่มั้ย"
"แวมไพร์ที่มีคู่ครองเป็นมนุษย์ไม่มีคู่ไหนอยู่ด้วยกันได้ตลอดกาล บางคู่ก็แค่รักกันแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา บางคู่รักกัน ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็อย่างที่บอกแวมไพร์มีชีวิตเพียงเวลามืดมิด ส่วนมนุษย์มีชีวิตได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้นการอยู่ด้วยกันมันต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษ ยิ่งแวมไพร์อย่างเฮนรี่ คุณน่าจะมองออกว่ามันคงไม่คิดจะมีคู่ครองเป็นมนุษย์ให้เสียเวลาหรอก ชีวิตของมันมีจุดหมายเพียงอย่างเดียวที่สำคัญกว่าความรัก..."
อีธานเงียบไป จนเชอแตมต้องหันมากระตุ้นเตือน "อะไรคะ"
"อิทธิพลและอมตะเหนืออมตะ"
เชอแตมแสดงความสงสัยออกมาเพียงการเลิกคิ้วและนิ่งคิดกับตัวเอง
"แสดงว่าออสการ์ไม่ใช่แวมไพร์ที่เกิดมาจากความรัก"
"ถูกต้อง -- ออสการ์เป็นผลผลิตที่เฮนรี่ตั้งใจมีขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือนำทางไปสู่สิ่งที่มันต้องการ..." เขาหันมามองหน้าเธอ ก่อนจะเอ่ยต่อ "แล้วมันก็ทำสำเร็จเมื่อออสการ์เจอคุณ"
เชอแตมเม้มปากเบา "ทำไมต้องเป็นออสการ์ที่เกิดจากมนุษย์คะ ทำไมเป็นออสการ์ที่เกิดจากแวมไพร์ด้วยกันไม่ได้เหรอ"
"เป็นที่รู้กันดีในอาณาจักรของพวกเราว่า แวมไพร์ที่มีเลือดมนุษย์อยู่ในตัวจะมีความสามารถพิเศษด้านสัมผัสทั้งห้า แต่ก็ไม่ใช่แวมไพร์เลือดครึ่งทุกคนจะมีประสาทสัมผัสแบบเท่าเทียมกัน บางคนมีแต่น้อยต้องใช้การฝึกฝนถึงจะเก่งมาก สำหรับออสการ์แล้วมันเก่งมาแต่กำเนิด จนเฮนรี่ยังแปลกใจว่ามันมีความสามารถด้านสัมผัสทั้งห้าได้มากขนาดนี้ได้ยังไง โดยเฉพาะการดมกลิ่นที่มันมีความพิเศษในด้านนี้สูงที่สุด"
"แล้วทำไมคะ ทำไมออสการ์ถึงได้มีความพิเศษด้านนี้สูงคะ"
อีธานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเชอแตมแบบไม่สมบูรณ์ว่า "อาจจะเป็นเพราะแม่ของออสการ์มั้ง ผมก็...ไม่แน่ใจหรอก"
เขารู้ดีว่าเพราะอะไร แต่ถ้าบอกให้เธอรู้ตอนนี้ เรื่องมันจะยาวจนกระทั่งต้องเลยเถิดไปถึงเรื่องสิ่งที่อยู่ในตัวเธอ มันยังไม่ถึงเวลาที่เธอควรรู้ เขาไม่เสี่ยงที่จะให้เธอทำอะไรอย่างที่แม่ของออสการ์เคยทำ
เชอแตมรู้ว่านั่นเป็นคำตอบที่อีธานไม่ได้บอกออกมาหมด เขาอาจจะไม่รู้จริง ๆ หรือรู้แต่ไม่บอก และเช่นเคยถ้าเธอเซ้าซี้ก็คงไม่ได้อะไรกลับมาเช่นเดิม
"คุณรู้แต่ไม่อยากบอกมากกว่า" แต่เธอก็อดที่จะแขวะเขาไม่ได้
"ผมก็แค่ไม่อยากเล่าเรื่องที่ผมไม่แน่ใจ"
"โอเค้ ก็ได้..." เชอแตมตัดใจ "ว่าแต่คุณล่ะคะ ฉันสงสัยมาตั้งนานแล้วนะ คุณเป็นแวมไพร์ลูกครึ่งไทยหรือเปล่า ทำไมถึงได้พูดภาษาไทยได้ ทั้ง ๆ ที่หน้าตาก็ไม่ได้ออกมาทางไทยเลย"
อีธานยิ้มมุมปากอีกครั้ง "ผมไม่มีเชื้อไทยหรือใด ๆ ทั้งสิ้น พ่อผมเป็นแวมไพร์สัญชาติอังกฤษส่วนแม่สัญชาติแถบ ๆ ปากีสถานล่ะมั้ง ผมไม่แน่ใจ ส่วนที่พูดไทยได้ ก็ผมอ่านใจคนได้ อีกอย่างผมอยู่กับหลุยส์มานาน ไม่แปลกที่จะให้มันสอนบ้าง"
"คุณบอกว่า แม่คุณเป็นคนแถบ ๆ ปากีสถาน นี่แสดงว่าแวมไพร์มีหลายเชื้อชาติเหมือนกันหรือคะ"
"ใช่"
เชอแตมแสดงอาการตื่นเต้นออกมาชัดเจน "แล้วมีแวมไพร์เป็นคนไทยมั้ยคะ"
"มี"
คำตอบของอีธานทำให้เชอแตมต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมด้วยอารามตื่นเต้น
"จริงเหรอคะ!" น้ำเสียงปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด จนอีธานต้องขมวดคิ้วงุนงงว่าเธอจะตื่นเต้นทำไม สำหรับเขาแล้วมีแวมไพร์เป็นคนไทยในอาณาจักรของเขามันไม่เห็นจะแปลกเลยสักนิด "ฉันอยากรู้จักพวกเขาจังเลย"
อีธานทำท่าคล้ายถอนหายใจ "ถ้ามีโอกาสผมจะแนะนำให้รู้จักละกัน" เขาบอกแบบขอไปที โดยที่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมีหรือเปล่า
แล้วชายหญิงคู่นี้ก็เดินเคียงคู่กันกลับหอพักนุกนิกไปเรื่อย ๆ ด้วยไม่มีท่าทีจะรีบร้อน โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีดวงคู่หนึ่งแอบมองมาจากกำแพงสูงเบื้องหลังห่างไปไม่กี่เมตร ในขณะเดียวกันดวงตาคู่นี้ก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่ามีดวงตาอีกคู่มองเธออยู่อีกทอดหนึ่ง
