บทที่ 1 เจอตัว
ณ ห้องอาหารชั้นดาดฟ้าของโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุงเทพ
วันนี้หญิงสาวถูกมารดาจับแต่งตัวสวยเป็นพิเศษเพื่อจะพามาทานข้าวกับตระกูลชวนานนท์ ชุดสวย หน้าผมทุกอย่างสวย มีแต่เจ้าตัวที่หน้าบูดบึ้งเพราะถูกบังคับ
“เดินดีๆหน่อยสิลูก อุตส่าห์แต่งตัวซะสวยนะ”
สุภาวดีเอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นลูกสาวเดินแบบซังกะตายตั้งแต่ออกจากบ้านจนมาถึงโรงแรม ไม่เข้ากับการแต่งตัวเอาเสียเลย
“หนูไปเปลี่ยนชุดก็ได้นะคะ แม่ก็รู้ว่าหนูไม่ชอบใส่แบบนี้”
“อย่างี่เง่าน่าลูก โตแล้วนะไม่ใช่เด็ก ๆ เลิกให้พ่อแม่ดุได้แล้ว อะไรควรทำไม่ควรทำหนูต้องรู้ได้แล้วนะ”
อดิศรดุทำเอานริสาหน้าจ๋อย ต้องเดินตามไปที่ห้องอาหารอย่างเสียไม่ได้
“นั่นไงคะ นั่งอยู่ตรงนั้นกัน”
สุภาวดีชี้ไปที่โต๊ะหนึ่งที่อยู่ริมระเบียงดาดฟ้ามุมในสุด สามคนบนโต๊ะเมื่อเห็นครอบครัวพงศจิราชัยเดินมาก็ลุกขึ้นยืนรอ ไกรวิทย์และศจีก็รอต้อนรับครอบครัวของหญิงสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเดียวกัน และไม่ต้องบอกว่าลูก ๆ ก็แสดงสีหน้าซังกะตายแบบเดียวกัน นริสาจินตนาการไว้แล้วว่าศิวาคงเป็นผู้ชายหน้าตี๋ ๆ แอบลงพุงหน่อย ๆ หัวเถิกจนเกือบล้านเพราะทำงานหนักจนผมร่วงและไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย แต่ที่คิดไว้คือผิดทั้งหมด.....
เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีทีเดียว ไม่ใช่สิ ดูดีมากเลยแหละ รูปร่างสูงโปร่ง แต่หุ่นฟิตแน่นเสื้อเชิ้ต หัวไม่เถิก จมูกโด่ง ตาคม หน้าเรียวยาว มีไรหนวดนิด ๆ ท่าทางสุภาพ มีความเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก
สั้นๆเลย หล่อ...
ศิวาเองก็มองนริสาอย่างพิจารณา เคงขาเองก็ไม่ได้คาดหวังหรอกว่าเธอจะเป็นอย่างไร แต่แค่ดูเด็กกว่าที่เขาคิด หากจะบอกว่าอายุ20ต้น ๆ ก็เชื่อได้ไม่ยาก ตัวเล็ก ผมยาวเลยหัวไหล่ลงมาหน่อย ดูเด็กกว่าอายุยี่สิบเก้าเยอะมาก ไม่ใช่ผู้หญิงสวยแบบที่เขาเจอทั่วไป แต่ก็มองได้ไม่เบื่อ
แบบนี้เรียกว่า น่ารัก ล่ะมั้ง
“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า”
นริสายกมือไหว้สวัสดีไกรวิทย์และศจี ผู้ใหญ่ทั้งสองรับไหว้เธอด้วยความเอ็นดู
“หวัดดีจ้ะลูก อุ๊ยต๊าย โตแล้วน่ารักจังเลย ยังดูเด็กอยู่เลยลูก” สุภาวดีชมเธอด้วยความเอ็นดู “มา ๆๆ นั่งตรงข้ามพี่เขาเลย นี่พี่ศิวาไงลูก จำได้ไหม”
เจ้าของชุดสีเขียวมรกตแนะนำ
ใครจะไปจำได้ หน้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน นริสานึกในใจก่อนจะยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะ...พี่ศิวา”
“สวัสดีครับ” ศิวารับไหว้ “สวัสดีครับคุณป้าคุณลุง เชิญนั่งเลยครับ” ศิวายกมือไหว้ผู้ใหญ่อีกฝั่งบ้าง เขาออกไปดึงเก้าอี้ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองนั่งตามมารยาทก่อนจะกลับมานั่งที่ตรงข้ามนริสา
“ตาศิวานี่หล่อไม่เบาเลยนะ ลุงไม่เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ ดูเท่สมกับเป็นนักธุรกิจจริง ๆ”
อดิศรชม
“ก็หล่อเหมือนพ่อมันไง ฮ่าๆๆ”
ไกรวิทย์ชมตัวเองเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งโต๊ะ แต่เด็กทั้งสองยิ้มตามเบา ๆ ทั้งคู่ไม่กล้ามองหน้ากันนัก
“แล้วหนูริสาตอนนี้ทำอะไรอยู่ลูก เห็นแม่บอกว่าเป็นแอร์ฯเหรอ?”
ศจีเริ่มถาม
“ใช่ค่ะ หนูบินอยู่สายการบินที่ดูไบค่ะคุณป้า”
“อย่างนี้ก็ต้องไปอยู่ที่นู่นเลยน่ะสิ เหงาไหม ไม่อยากกลับไทยเหรอลูก?”
“ก็เหงาบ้างตามประสาค่ะ อยากกลับบ้านไหมก็อยาก แต่เงินก็อยากได้ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ผู้ใหญ่ทั้งโต๊ะหัวเราะตาม “เพราะตอนนี้หนูมีแพลนอยากจะเปิดร้านเล็ก ๆ เช่นร้านอาหารอะไรแบบนี้เป็นของตัวเองค่ะ แล้วก็อยากซื้อบ้านสักกหลังที่ไทยไว้อยู่ด้วย ก็เลยต้องตั้งใจทำงานเก็บเงินหน่อยค่ะ”
“สุดยอดมากลูกสาว” ไกรวิทย์พูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจแม้นริสาจะไม่ใช่ลูกสาวของตนก็ตาม “มันต้องอย่างนี้สิ อายุเท่านี้เองแต่มองการณ์ไกลแล้ว เก่งจริง ๆ อย่างนี้สิว่าที่ลูกสะใภ้ป๊า”
ทั้งนริสาและศิวตาโตกับคำว่า ‘ว่าที่ลูกสะใภ้’
เพิ่งจะได้เจอหน้ากันไม่ทันไรก็เข้าเรื่องแล้วหรือ
“เอ้า ไหน ๆ ก็พูดเรื่องนี้กันแล้ว ฉันสองคนไปดูฤกษ์มาแล้วนะ” ศจีเอ่ย “จากที่ให้ซินแสเอาวันเกิดศิวากับหนูริสาไปดูฤกษ์แต่งงาน ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลที่เขาเรียกว่าเป็นวันมังกรทองน่ะ คือต้นเดือนหน้าเลย ต้องรอถึงสามปีถึงจะมีครั้งนึงเลยนะวันแบบนี้น่ะ”
“อะไรนะคะ?”
นริสาตกใจจนเผลออุทานออกมาเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ไหนบอกว่าวันนี้แค่จะมาพูดคุยกันเฉย ๆ อย่างไรเล่า แต่ไหนผู้ใหญ่กลับไปดูฤกษ์มาเสียเรียบร้อยแล้วโดยที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ศิวาเองก็ดูตกใจเพราะไม่คิดว่าพ่อและแม่ของเขาจะจัดการหาฤกษ์แต่งงานได้ไวขนาดนี้ เหมือนเตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะจ๊ะหนูริสา” ศจีพูดปลอบเมื่อเห็นนริสามีท่าทีตกใจ “ป้ากับลุงก็แค่ไปถามซินแสมา คือป้าก็อยากให้มันเป็นมงคลที่สุดน่ะจ้ะ ถึงแม้จะแต่งกันแค่ในนาม เพื่อปกปิดข่าว หรือจะเพื่ออะไรก็ตามเถอะ แต่งทั้งทีมันก็ต้องได้วันดี ๆ ไปเลย คนเราจะมาแต่งทำไมสองสามรอบล่ะเนอะ”
“แต่...มันไม่เร็วไปเหรอคะ เอาจริง ๆ หนูกับพี่ศิวาก็ยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ วันนี้ยังไม่ได้คุยกันสักประโยคเลย แต่จะให้เราแต่งงานกันต้นเดือนหน้าแล้ว มันคือการแต่งงานเลยนะคะ มันเรื่องใหญ่สำหรับหนูมาก ทำไมคุณพ่อคุณแม่คุณลุงคุณป้าทำเหมือนเป็นเรื่องเล็กแบบนี้ล่ะคะ?”
นริสาพูดสิ่งที่คิดออกมาให้ผู้ใหญ่ทั้งโต๊ะรับรู้ ก็มันจริงนี่นา แต่งงานนะไม่ใช่เล่นขายของ ต้องเอาชีวิตไปผูกมัดกับคนอีกคนนึงทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้รู้จักเขามากนัก คนเราจะแต่งงานทั้งทีก็ควรแต่งกับคนที่รักไม่ใช่หรือ
“ริสา.... ไม่เอาน่ะลูก”
สุภาวดีปรามเมื่อเห็นว่าลูกสาวเริ่มมีท่าทีไม่เห็นด้วย
“หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”
นริสาตัดบทด้วยการพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์น่าอึดอัดนั้นก่อนที่เธอจะพูดอะไรที่ทำให้มันเสียเด็กเสียผู้ใหญ่กันไปมากกว่านี้ หญิงสาวรีบพาตัวเองมาที่สวนอีกฝั่งหนึ่งของดาดฟ้าเพื่อสงบสติอารมณ์และพยายามคิดหาทางออกว่าเธอจะทำอย่างไรให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายล้มเลิกความคิดที่จะจับให้เธอและศิวาแต่งงานกัน
ที่หนักที่สุดคือ...เธอจะบอกคิเรย์แฟนหนุ่มของเธออย่างไร...
“ออกมาแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นด้านหลังทำให้เธอตกใจหันไปมอง ศิวายืนล้วงกระเป๋ากางเกงพลางอมยิ้ม จริง ๆ เขานึกทึ่งด้วยซ้ำที่นริสาเป็นเด็กผู้หญิงสมัยใหม่ที่กล้าคิดกล้าพูด ไม่ใช่หัวอ่อนตามพ่อแม่ไปหมดทุกอย่าง แต่ก็อย่างว่า การได้ทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยก็จะทำให้คนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ เหมือนเขาเป็นต้น
นริสาหันไปมองก่อนจะหันกลับมาถอนหายใจ ก็รู้ตัวนั่นแหละว่าที่ทำไปไม่น่ารักจริง ๆ ผู้ใหญ่ทางบ้านศิวาคงมองเธอเป็นเด็กก้าวร้าวไปแล้ว
“แค่คิดว่าถ้าอยู่ตรงนั้นต่อต้องพูดอะไรแย่ ๆ ออกมาแน่เลยค่ะ ก็เลยขอออกมาสงบสติอารมณ์ดีกว่า”
ร่างเล็กบอก ศิวาเดินมานั่งข้าง ๆ เธอ
“แต่พี่ชอบนะ” ศิวาบอก นริสาหันไปมองอย่างงง ๆ “ไม่ค่อยเจอผู้หญิงแบบนี้น่ะ ส่วนมากจะขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูด ดีออก คิดอะไรก็พูดไปเลยจะได้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ต้องมานั่งเดาให้เสียเวลา”
“งานมันทำให้ต้องเป็นแบบนี้น่ะค่ะ แต่ก่อนก็ไม่ค่อยกล้าหรอก แต่พอทำงานร่วมกับคนเยอะ ๆ โดนเอาเปรียบบ่อย ๆ ไม่พูดไม่ไหวค่ะ”
หญิงสาวยิ้มแห้ง ๆ อยากอธิบายให้ศิวาเข้าใจว่าเธอไม่ได้เป็นแบบนี้เพราะตัวเธอเอง แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมมันบังคับต่างหาก
“เรื่องแต่งงานน่ะ.....” ศิวาเกริ่น “พี่ก็ไม่ได้เห็นด้วยนะ แต่พ่อแม่พี่ท่านคงมองว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด ถึงเสนอทางนี้”
“แสดงว่าพี่ศิวากับนางแบบคนนั้นก็.....เรื่องจริงเหรอคะ?”
นริสาตัดสินใจถาม ศิวาหัวเราะแล้วหันไปมองทางอื่นก่อนจะหันมามองหน้าเธอ
“ถ้าบอกว่าไม่จริงเราจะเชื่อพี่ไหม?”
ศิวาถามเสียงจริงจังจนนริสาตอบไม่ถูก ชายหนุ่มอมยิ้มเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าเองก็ไม่รู้จะตอบอะไร เขาถอนหายใจก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าเบื้องหน้า
“เรื่องนี้มันส่งผลต่อภาพลักษณ์การขึ้นเป็นผู้บริหารของพี่มากเหมือนกัน พี่ต้องขึ้นเป็นประธานบริษัทแทนป๊าเพราะท่านจะลาตำแหน่งแล้ว แต่พอมีเรื่องนี้เข้ามาทำให้พวกกรรมการบริษัททั้งที่เกาหลีและที่ไทยต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้พี่ขึ้นบริหาร พี่แค่สงสารป๊า ท่านเหนื่อยมามาก คนอายุหกสิบกว่าแล้วก็ควรจะได้พัก พี่ก็เลยอยากรับตำแหน่งต่อจากท่านซะที แต่ก็ดันมีข่าวบ้า ๆ นี้ซะก่อน”
“สรุปคือ...จริง?”
“หึ...” ศิวาแค่นหัวเราะ “คนที่ชีวิตมีแต่งานแบบพี่เนี่ยนะจะเอาเวลาไปทำใครท้อง? เวลาจะหาแฟนยังไม่มีเลย”
“แล้วพี่ศิวากับคุณเขมิกานั่น...ไม่ใช่แฟนกันเหรอคะ?”
“ถ้าพี่บอกว่าเขมตามตื๊อพี่ มันจะดูหลงตัวเองไหม”
ศิวาหัวเราะ ทำเอานริสายิ้มออกมา
หากเป็นคนอื่นก็คงจะทำให้เธอคิดอย่างนั้น แต่คนที่หน้าตาดี เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างแบบศิวา การที่มีผู้หญิงมาตามตื๊อก็ไม่ได้ฟังดูเกินจริงไปเลย
“ว่าแต่เราล่ะ มีแฟนหรือยัง?”
ศิวาเปลี่ยนมาถามเธอบ้าง ได้ยินดังนั้นก็ทำให้คนฟังอึกอักขึ้นมาทันที
“ก็...มีแล้วค่ะ”
“ถึงไม่อยากแต่งงานสินะ”
“ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ ต่อให้สาไม่มีแฟน แต่การโดนจับคลุมถุงชนแบบนี้ก็ไม่โอเคอยู่ดี พูดกันตรง ๆ เลยคือเราสองคนแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แต่อยู่ ๆ จะต้องมาแต่งงานกันเลยมันก็แปลก ๆ นะคะ จากคนไม่รู้จักจะข้ามขั้นมาเป็นสามีภรรยากันเลยเนี่ยนะ?”
“พี่เข้าใจเรานะ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วย การโดนจับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักมันลำบากใจอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเราก็ไม่ได้เกลียดกันไม่ใช่เหรอ” ศิวาพยายามพูดจาหว่านล้อม “เรามาทำข้อตกลงกันก็ได้นะ ว่าถ้าแต่งงานกันไปแล้วเราจะทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง มีลิมิตกันแค่ไหน ควรทำตัวยังไง จะได้ไม่อึดอัดฝืนใจ ดีไหม?”
ศิวาเสนอจนนริสาเริ่มคิดตาม จากที่คุยด้วยเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เลวร้ายอะไรเลยแม้แต่นิด มีความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดแบบผู้ใหญ่จริง ๆ เป็นผู้นำ เป็นสุภาพบุรุษ เรื่องความหล่อและความรวยไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้
ถ้าไม่ติดว่าเธอมีแฟนแล้ว เธออาจจะตกหลุมรักเขาไปแล้วก็ได้....
“ข้อตกลงยังไงเหรอคะ? พี่ศิวาลองว่ามาก่อนเลย”
“โอเค งั้นพี่เริ่มก่อน” ศิวาหยิบกระดาษโน้ตกับปากกาออกมาจากด้านในเสื้อสูท ก่อนจะลงมือเขียน “ข้อแรก พี่จะไม่ล่วงเกินริสา จะไม่จับมือหรือกอดหรือหอมแก้ม หรือทำอะไรล่วงเกินถ้าริสาไม่อนุญาต โอเคไหม?”
ศิวาเขียนลงในกระดาษก่อนจะหันมาถามความเห็นหญิงสาวด้านข้าง นริสาแอบคิดกับสิ่งที่เขาเสนอ ไม่ล่วงเกินนี่มันรวมไปถึงเรื่อง...ด้วยหรือเปล่านะ
“เราจะไม่มี...อะไรกันด้วยใช่ไหมคะ?”
หญิงสาวถามอย่างกระอักกระอ่วน ศิวายิ้มขำ
“ถ้าเราไม่อนุญาต พี่ก็ไม่ทำ”
“พี่ศิวา!” นริสาเรียกชื่อเขาเสียงดัง “ไม่เอาสิคะ นี่สาซีเรียสนะ ใส่ข้อนี้ลงไปด้วยเลย”
นริสาพูดเสียงดุทำเอาศิวาหัวเราะ
“ให้พี่เขียนว่าไงดี เราจะไม่มีอะไรกัน? หรือเราจะไม่มีการปฏิบัติกิจกรรมทางเพศ? จะไม่มีการทำการบ้าน? หรือว่ายังไงดี?”
ศิวาพูดล้อเลียนก่อนจะหัวเราะ คนฟังหัวเราะตามก่อนจะหน้าแดง คือต้องให้เธอเป็นคนคิดคำเหรอ เรื่องแบบนี้มันใช่เรื่องที่ผู้หญิงจะต้องมาพูดไหม
“เราจะไม่...มีความสัมพันธ์ทางกายกันก็ได้มั้งคะ”
เธอบอก คนพี่ยิ้มก่อนจะเขียนลงไป
ทั้งคู่นั่งคุยข้อตกลงการแต่งงานกันสักพัก ศิวาเป็นคนเขียน โดยมีนริสาเป็นคนช่วยคิดจนออกมาได้หลายข้อจนเป็นที่พอใจในระดับนึง
ข้อตกลงการแต่งงาน (ฉบับไม่เป็นทางการ)
1. จะไม่ล่วงเกินโดยที่อีกฝ่ายไม่อนุญาต
2. จะไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย
3. สามารถมีชีวิตของตัวเองได้เต็มที่ แต่ต้องให้เกียรติอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
4. หากอยู่ต่อหน้าคนอื่น ต้องปฏิบัติตัวให้เหมือนสามีภรรยาโดยทั่วไปไม่ให้ใครสงสัย
5. ห้ามพูดถึงเรื่องถูกจับคลุมถุงชนให้คนอื่นรู้เด็ดขาด
6. หากต้องการหย่า ต้องมีเหตุอันสมควรถึงจะตกลงเรื่องการหย่ากันได้
อ่านจบนริสาก็ทำหน้าครุ่นคิด นี่มันจะน้อยไปไหมนะ... ครอบคลุมทุกข้อที่เธอจะไม่เสียเปรียบหรือยัง
“จะเพิ่มหรือลดทีหลังก็ได้ตลอดเวลานะ ค่อย ๆ ปรับกันไป ตอนนี้ยังไม่ได้เจอเหตุการณ์จริง ๆ ก็อาจจะยังคิดไม่ค่อยออกว่าจะต้องเพิ่มลดอะไรอีก แต่พี่ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว เอาที่ริสาสบายใจนั่นแหละครับ พี่ยังไงก็ได้”
ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นคนอายุน้อยกว่าขมวดคิ้วอยู่พักใหญ่ นริสาพยักหน้าก่อนจะคืนกระดาษให้เขาแต่ศิวาส่ายหน้า
“เก็บไว้เถอะ จะได้สบายใจไงว่ามีข้อตกลงอยู่กับตัว พี่ทำผิดข้อไหนก็จะได้เอามาปาใส่หน้าพี่เลย”
“จะบ้าเหรอคะพี่ศิวา สาจะเอาไปปาใส่หน้าพี่ทำไมล่ะ” นริสาบ่นอุบอิบก่อนจะเก็บกระดาษข้อตกลงใส่กระเป๋า “ว่าแต่...เราต้องแต่งงานกันเดือนหน้าจริง ๆ เหรอคะ? พี่ศิวาคิดว่ามันเร็วไปไหม?”
“ถ้าถามพี่นะ จะว่าเร็วก็ได้ แต่ถ้าช้าไปกว่านี้ กระแสมันก็จะยิ่งไปกว้างกว่าเดิม เพราะถ้าการแต่งงานมันคือสิ่งที่เราจะทำเพื่อสยบข่าวลือ ก็ต้องทำตอนที่มันเป็นข่าวอยู่นี่แหละถึงจะได้ผล”
ศิวาบอกอย่างเป็นเหตุเป็นผลทำให้นริสาคิดตาม ก็จริงอย่างที่เขาบอก ศิวาพูดถูกทุกอย่างเลย
“ถ้างั้นขอเวลาสาคิดอีกซักหน่อยแล้วกันนะคะ อีกอย่าง...สาต้องบอกแฟนด้วยน่ะค่ะ....”
นริสาบอกเสียงหนักใจ เรื่องที่ลำบากใจที่สุดของเธอก็คือการที่ต้องบอกคิเรย์นี่แหละว่าเธอต้องแต่งงานกับคนอื่น
“ครับ ก็เอาที่ริสาสะดวกแล้วกัน” ศิวาบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน “พี่ว่าเรากลับไปที่โต๊ะกันดีกว่า ป่านนี้อาหารเย็นหมดแล้ว”
ศิวาชวน นริสาพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไปที่โต๊ะกับศิวา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดมาทุกอย่างทำให้เธอรู้สึกคล้อยตามไปกับความคิดของผู้ใหญ่ในครั้งนี้ และเขาเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดูเป็นผู้ชายที่ดีมากด้วยซ้ำ เป็นผู้ชายในอุดมคติของสาว ๆ อีกหลายคน หลายคนคงอิจฉาถ้าเธอได้ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างศิวาเป็นสามี
แต่เรื่องแบบนี้ดูกันแป๊บเดียวได้ที่ไหน คนทั่วไปเขาต้องคบกันเป็นปีก่อนถึงจะแต่งงานได้ไม่ใช่หรือ
และปัญหาที่หนักที่สุดก็คือ เธอมีแฟนแล้ว นี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเธอยังไม่มีแฟนคงตัดสินใจอะไรง่ายกว่านี้ จะให้บอกเลิกคิเรย์ก็ไม่ใช่เรื่อง เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แถมยังดีกับเธอมากด้วยซ้ำ
คิดได้ไม่เท่าไรก็เดินมาถึงโต๊ะแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสี่หันมามองพร้อมทั้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่เห็นทั้งคู่เดินมาด้วยกัน ศิวาดึงเก้าอี้ให้นริสานั่งก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“หิวหรือยังครับ? พี่ตักให้นะ”
ศิวาบอกก่อนจะตักอาหารใส่จานให้นริสา หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณอย่างเขิน ๆ รู้สึกได้ถึงสายตาและรอยยิ้มของบรรดาพ่อแม่ที่มีเลสนัยซึ่งศิวาเองก็สังเกตได้ เมื่อเขาตักอาหารให้นริสาเสร็จชายหนุ่มจึงเริ่มเกริ่นขึ้น
“คุณลุงคุณป้า ป๊าม๊าครับ ผมกับน้องคุยกันแล้ว...” ศิวาเริ่มพูด “...เราไม่ได้มีปัญหานะครับที่จะต้องแต่งงานกัน แต่แค่เราอาจจะต้องขอเวลาศึกษากันซักหน่อย เพราะถ้าเราต้องแต่งงานกันจริง ๆ เราก็ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด ต้นเดือนหน้าอาจจะเร็วไป ผมขอเวลามากกว่านี้หน่อยนะครับ น้องจะได้สบายใจด้วย”
คำพูดของศิวาทำให้นริสารับรู้ได้ถึงความเป็นสุภาพบุรุษและความเข้าใจของเขามาก เขาไม่จำเป็นจะต้องพูดต่อหน้าผู้ใหญ่ให้เธอขนาดนี้แต่เขาก็ทำ
วันแรกก็ทำให้ประทับใจแล้วนะ...
“หนูเองก็มีวันหยุดที่ได้อยู่ไทยต่ออีกสองอาทิตย์ หนูก็จะพยายามใช้เวลาสองอาทิตย์นี้ให้มีประโยชน์มากที่สุดแล้วกันนะคะ”
หญิงสาวเสริม
“ได้ลูกได้ เอาตามที่พวกหนูรู้สึกสบายใจเลยก็แล้วกัน แค่รู้ว่ามีอะไรคืบหน้าพ่อกับแม่ก็สบายใจแล้วล่ะ”
สุภาวดีบอกอย่างโล่งอก
“เอ้อ ดีเลยลูก ไหน ๆ อาทิตย์หน้าก็จะมีงานเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทชเวกรุ๊ปพอดี ก็ให้ศิวาพาหนูริสาเปิดตัวเลยเป็นไง”
ไกรวิทย์เสนอ นริสาตกใจเมื่อได้ฟังคำนั้น
“ป - - เปิดตัวเลยเหรอคะ?”
“คุณนี่ก็ พูดซะลูกตกใจหมดแล้ว” ศจีเอ็ดผู้เป็นสามีก่อนจะหันมาพูดกับหญิงสาว “อย่าเรียกอย่างนั้นเลยลูก ถือว่าไปออกงานก็แล้วกันนะ แก้เบื่อระหว่างอยู่ไทยไงจ๊ะ ดาราจะมากันเยอะแยะเลยนะ ไปสนุก ๆ นะจ๊ะ หนูอยากซื้อบ้านไม่ใช่เหรอ ก็ถือว่าไปดูโครงการบ้านของบริษัทป้าแล้วกัน คนกันเอง ส่วนลดเพียบแน่นอนลูก”
รอยยิ้มใจดีส่งมาให้ว่าที่ลูกสะใภ้จนนริสาแอบคิดหนักแต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธทางผู้ใหญ่อย่างไรดี แต่หากจะไปก็คงไม่เสียหายเท่าไร
และบางที...นี่อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เธอตัดสินใจในเรื่องนี้ง่ายขึ้นก็เป็นได้
