4.
เมื่อเก็บล้างเสร็จที่หลังครัว ซันก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยถามเด็กชายที่ตามมาติด ๆ
“แกละ…”
“อืม เฮียมีอะไรก็พูดมาเถอะ แกละรอฟังอยู่”
ซันลังเลเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่าควรพูดไหม ใจหนึ่งรู้สึกประหม่า แต่อีกใจก็อยากรู้ อยากเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจตนเอง
“ลูกสาวนายตำรวจ… บ้านหลังใหญ่นั่นน่ะ…”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เจ้าแกละก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้ารู้ทันทันที
“ว่าแล้ว!”
“อะไรว่าแล้ว”
“ใคร ๆ ก็ชอบคุณหนูพิมพ์ ลูกสาวนายตำรวจทั้งนั้น! สวย ใจดีอีกต่างหาก! มีคู่หมั้นหมายแล้วเขาลือไปทั่วบางกอก”
ซันเผลอหุบยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว… รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนในตอนแรกนั้นทำให้เจ้าแกละมองออกได้ทันทีว่าความรู้สึกของพี่ชายเปลี่ยนไป
เด็กชายพูดต่ออย่างล้อเลียน
“รักแรก หรือ แรกรัก ของเฮียใช่มั้ยล่ะ รักแรกก็อกหักแบบนี้หละไม่ค่อยสมหวังหรอกเฮีย”
“แก่แดดนักนะเรา…” ซันหัวเราะก่อนจะขยี้ผมแกละเบา ๆ
แต่เด็กชายไม่ยอมแพ้ ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นปนน้ำใจจริง
“เฮียอย่าทำให้สำนวนคนโบราณเป็นจริงเลยนะ”
“สำนวนอะไร”
“ความรักนอกจากจะบังตาเฮียแล้ว ยังบังสมองด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
คำพูดของเด็กชายฟังดูขบขัน แต่ในขณะเดียวกันกลับแทงใจคนฟังอย่างประหลาด มันเหมือนกระจกที่สะท้อนความรู้สึกลึก ๆ ที่ซันไม่เคยกล้ายอมรับ
เขาเงียบไป เจ้าแกละจึงพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงกึ่งล้อเล่น
“เอ้า! เฉลยให้ก็ได้ ‘ดอกฟ้ากับหมาวัด’ …แกละไม่ได้ว่าเฮียเป็นหมานะ สำนวนมันว่าแบบนั้น!”
ทันทีที่พูดจบ เด็กชายก็รีบหันหลังวิ่งหนีทันที ราวกับรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีจะถูกเตะโด่งจากพี่ชายที่เขารัก
“แกละ! เดี๋ยวเหอะ!” ซันร้องไล่หลัง พร้อมหัวเราะดังลั่นศาลาเป็นครั้งแรกของวัน
เสียงหัวเราะนั้นไม่ใช่เพราะขำเจ้าแกละเท่านั้น แต่เป็นเสียงหัวเราะที่มาจากความรู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูก… อาจเป็นเพราะเขาเริ่มยอมรับแล้วก็ได้ ว่าหัวใจของเขา… เริ่มอยากให้เธอเป็นเจ้าของ
ขณะที่เจ้าแกละวิ่งหายไปทั่วลานวัด เสียงร้องล้อเลียนของเขาก็ดังตามมาไม่ขาดสาย
“ล้า ลั่น ลา ล้า ละ ลั่น ลา~ ดอกฟ้า กับ หมาวัด~ หมาวัด กับ ดอกฟ้า… ล้า ละ ลั่น ลา~”
เสียงนั้นลอยล่องไปกับลม...
พร้อมกับหัวใจของเขาที่ยังล่องลอย... อยู่ตรงกลางระหว่าง “ฝัน” กับ “ความจริง”
ค่ำคืนนี้…จันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า ทั้งสูงทั้งไกลจนดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดแตะถึง แต่ว่ากลับมีส่องแสงนวลอ่อนลอดเข้ามาทางหน้าต่างในห้องของเขาได้ เงาจันทร์เคลื่อนผ่านใบไม้ที่พลิ้วไหวยามค่ำคืนเงียบเหงาเคล้ากับความคิดที่ไม่อาจหยุดได้
ซัน นั่งพิงขอบหน้าต่าง จ้องมองไปในความมืดสลัว ดวงจันทร์นั่น...แม้จะอยู่ไกลแสนไกล แต่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนบางสิ่งที่อยู่ในใจ...อยู่ใกล้เหลือเกิน
"เพราะอะไรนะ ถึงเฝ้าเห็นแต่ใบหน้าของเธอ จนแทบไม่ได้นอน"
ในแสงจันทร์ที่อ่อนโยน เขาเห็นภาพใบหน้าของ พิมพ์ใจ ชัดเจนในห้วงความคิด รอยยิ้มของเธอที่ไม่เคยหลุดออกจากความทรงจำ ของเขา ความอ่อนโยนที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ย แต่กลับซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ
“เขาจะเริ่มต้นพูดกับเธออย่างไรดี…”
เขาถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นเปิดโคมไฟ นั่งอ่านหนังสือที่ไม่รู้ตัวว่าเปิดค้างไว้นานเพียงใด เพียงเพื่อกลบเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
แล้วเสียงระฆังก็ดังขึ้น...
“หง่าง แหง่ง หง่าง แหง่ง หง่าง!”
เสียงนั้นปลุกเขาจากภวังค์ เขารีบจัดที่นอนให้เรียบร้อย ก่อนจะล้างหน้าแต่งตัวเตรียมตัวตามหลวงลุงออกบิณฑบาต
เมื่อเดินผ่านหน้าบ้านของพิมพ์ใจ หัวใจของซันก็เต้นแรงขึ้นทุกก้าวเหมือนเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาพยายามทำตัวให้ปกติ แต่กลับเผลอทำข้าวของตกหล่นจนเจ้าแกละอดแซวไม่ได้
“ดูหน้าเฮียซันไม่เสบยเลย สีหน้าก็ไม่สู้จะดี เหมือนคนอดหลับอดนอนด้วย”
“ก็คงอ่านหนังสือนะซี เจ้าแกละ ควรเอาอย่างนะ” หลวงลุงพูดแทนเขาแล้วเดินนำไป
บ้านของพิมพ์ใจ สวยงามด้วยต้นตีนตุ๊กแกไต่เกาะกำแพงอิฐสีนวลเขียวชอุ่ม ในความเรียบง่ายนั้นกลับมีเสน่ห์จับใจยิ่งนัก
เธอปรากฏตัว...
หญิงสาวในชุดนักศึกษาเสื้อขาวกระโปรงดำ ยืนถือโถข้าวให้คุณย่าตักใส่บาตร ภาพเธอในแสงเช้า เหมือนภาพในความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกคืนที่ผ่านมา
ซันยืนหลบอยู่หลังหลวงลุง กลัวเหลือเกินว่าแววตาเขาจะเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจ แต่สายตากลับเผลอมองไปหาเธอโดยไม่รู้ตัว และ...เธอก็ยิ้ม
ไม่ใช่ยิ้มให้เขา แต่เป็นรอยยิ้มที่ส่งให้เจ้าแกละ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้สึกว่าอาการปั่นป่วนที่เกาะกุมใจมาทั้งคืนมลายหายไปอย่างประหลาด
แต่วันนี้เธอกลับวางท่าทีนิ่งเฉยราวกับไม่รู้จักกัน นั่นทำให้ซันยิ่งแน่ใจว่า...เขาไม่ควรแสดงความรู้สึกใดๆ ออกไป
"เธอเป็นหญิงสูงศักดิ์ ส่วนเขา...ก็แค่เด็กวัด "
แต่แม้จะรู้เช่นนั้น หัวใจเขาก็ยังภาวนาให้ได้เจอเธอ...ทุกวัน
