2.
ซันกลับไปที่วัดและย่องเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง แม้ในใจจะรู้ดีว่าใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำคงปิดบังไม่ได้ แสงไฟสลัวที่ลอดออกมาจากห้องหลวงลุงทำให้เขารู้ว่าท่านยังไม่เข้านอน เขาแอบเปิดประตูห้องของตนเบา ๆ ภายในห้องเล็ก ๆ มีเพียงเสื่อ ผ้าห่ม และหมอนที่พับเรียบร้อย ข้างหน้าต่างมีโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่เขามักใช้อ่านหนังสือและมองออกไปยังริมแม่น้ำ
ยังไม่ทันที่เขาจะได้นั่งพัก เสียงเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นจากหน้าห้อง
“ซัน” น้ำเสียงที่แฝงความห่วงใยปนตำหนิทำให้เขาสะดุ้งและนั่งก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ
“หลวงลุง...”
เขาเอ่ยเบา ๆ พระสงฆ์ร่างท้วมยืนอยู่หน้าห้อง ยื่นซองบางอย่างให้ ซันรีบยื่นสองมือไปรับไว้โดยไม่กล้าเงยหน้า “อีกไม่กี่วันมหาวิทยาลัยก็จะเปิดแล้วนะ” หลวงลุงเอ่ยเรียบ ๆ เขามองซองยาในมือแล้วพึมพำ
“หลวงลุง...ทราบแล้ว”
หลวงลุงเพียงพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
“ผม...” ซันอยากจะอธิบายแต่ถูกขัดขึ้น “ไม่ต้องพูดแล้ว ทายาแล้วไปพักผ่อนเถิด หลวงลุงเข้าใจว่าซันคงมีเหตุผลของตัวเอง เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลวงลุงไม่อยากดุเหมือนตอนเด็ก ๆ แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่า การเชื่อคนง่ายอาจนำมาซึ่งทุกข์ และคนเราควรใคร่ครวญถึงเหตุผลในการกระทำอยู่เสมอ”
“ครับ...” ซันตอบเบา ๆ ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด เขารู้ดีว่าวันนี้เขาไม่ได้บอกความจริงกับหลวงลุงว่าไปชกมวยจีนที่ลานโรงงิ้วตามคำขอร้องของ เจ๊กไช้ ญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในบางกอก เจ๊กไช้เป็นผู้ฝึกมวยจีนให้เขามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงไม่กล้าปฏิเสธ แม้จะรู้ว่าหลวงลุงไม่ต้องการให้เขายุ่งเกี่ยวกับเจ๊กไช้ หลวงลุงมักพูดเสมอว่า
“คนดีย่อมแสดงออกซึ่งความดี”
หลังจากหลวงลุงกลับไป ซันยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ มองออกไปในความมืดเหนือแม่น้ำเบื้องหลังวัด ความเจ็บแสบของบาดแผลค่อย ๆ เตือนให้เขารับรู้ว่าร่างกายของเขาไม่เหมาะกับเส้นทางนี้ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักสู้ และคืนนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะยอมทำแบบนี้
เสียงไก่ขันประสานกับเสียงระฆังวัดดังแว่วมาแต่เช้าตรู่ ปลุกให้ซันลืมตาตื่นขึ้นจากความปวดระบมทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะที่ใบหน้า... ร่องรอยแห่งการปะทะจากค่ำคืนก่อนยังทิ้งร่องรอยแดงบวมให้เห็นชัด หางคิ้วแตก แม้เลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่รอยบวมยังทำให้ดวงตาข้างขวาของเขาที่เล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กลงไปอีก
เขาขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ อย่างคนที่เจ็บทั่วแผ่นหลัง ก่อนจะคว้าเสื้อกุยเฮงสีขาวมา สวมและใส่กางเกงขาสั้นสีซีดระดับเข่า หัวใจยังเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เมื่อความรู้สึกจากเมื่อคืนยังอบอวลอยู่ในหัวใจ... โดยเฉพาะตอนที่เธอ... จับพลาด...
“เฮียซัน เฮียซัน ตื่นหรือยัง!”
เสียงตบประตูและเสียงเจื้อยแจ้วจากเด็กชายผมแกละทำให้เขาหลุดจากภวังค์ ซันเดินไปเปิดประตู ก่อนจะพบใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กวัดตัวเล็กที่รักเขาเหมือนพี่ชาย
“ไหวมั้ย เฮีย”
เจ้าแกละ เด็กชายผิวคล้ำ ผมแกละสองข้าง ร่างเล็กแกร็น แต่อัดแน่นไปด้วยความช่างพูดช่างเจรจา เขาเรียกซันว่า
"เฮีย" ด้วยความเคารพ แม้ไม่ได้เป็นพี่แท้ ๆ แต่ความผูกพันนั้นแน่นแฟ้น
“ผมละไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเฮียจะหาเรื่องเจ็บตัวเองได้ วันๆ เห็นอ่านแต่หนังสือ นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าไปต่อยใคร ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริง ๆ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ…”
ซันยิ้มแล้วขยี้ผมเจ้าตัวเล็กเบา ๆ ก่อนจะหัวเราะและเดินออกจากเรือน เด็กคนนี้... พูดเกินวัยเหมือนกับคนแก่ที่ติดอยู่ในร่างเด็กเสียจริงๆ
แม้จะเจ็บไปทั้งตัว แต่เช้านี้เขาก็ยังเดินตามหลวงลุงออกบิณฑบาตเช่นเคย และในทุกๆ เช้าที่ผ่านมานั้น หัวใจเขาก็มักจะไหวไหวทุกครั้งที่เห็นเธอ…
พิมพ์ใจ หญิงสาวที่มากับคุณย่าและแม่บ้านใส่บาตรทุกเช้า ดวงตาเธอกลมโต ผิวขาวนวลผ่องแบบหญิงไทย ผมดำยาวขลับแวววาว ท่าทางอ่อนหวาน เสียงของเธอก้องอยู่ในหูของเขา แม้ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีคำทักทายใดผ่านริมฝีปากของทั้งสอง แต่สายตาของเธอก็ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวอยู่ทุกครั้งที่เจอ
จนกระทั่งเมื่อคืน ที่ลานโรงงิ้วเธอคว้าแขนเขาผิด แล้ว… มือเธอก็…โดนตรงกล่องดวงใจของเขา
เขาส่ายหน้านิดหนึ่งเพื่อ ไล่ภาพนั้นออกไปจากหัว แต่ใจกลับยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ
เมื่อเธอเห็นหน้าบวมช้ำของเขาในเช้านี้ เสียงหวานใสก็เอ่ยขึ้นมาอย่างลืมตัว
“เจ็บมั้ย”
ซันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของเธอ เสียงนั้น... เหมือนดึงเขาออกจากโลกทั้งใบ ทว่ากลับทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ
พิมพ์ใจมองเขานิ่ง ๆ ดวงตาเป็นประกายกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่เคยพูดกับเขามาก่อนเลยสักคำจนกระทั่งเมื่อคืนและในเช้าวันนี้ เธอกลับเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้า ส่ายหัวเบา ๆ พลางอมยิ้มเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ความบังเอิญนั้น
เขารีบเบี่ยงตัวเข้าใกล้หลวงลุง ช่วยรับของที่คุณย่าเธอยื่นมาใส่บาตร ก่อนที่หลวงลุงจะให้พร แล้วกล่าวกับคุณย่าว่า
“สติสำคัญนะโยม มีสติจะได้รู้เท่าทันความคิด ไม่ด่วนสรุปอะไร ๆ ง่าย ๆ คนเราบางทีก็เผลอทำผิดไป แล้วต้องมาเสียใจภายหลัง”
“สาธุเจ้าค่ะ”
เมื่อหลวงลุง หลวงพี่ ซัน และเจ้าแกละเดินลับไปทางหัวถนน
หญิงสาวยังเหลียวมองตามร่างของซันที่ค่อย ๆ ห่างออกไป ใบหน้าบวมช้ำของเขาไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัว… กลับรู้สึกอบอุ่นและอยากเข้าไปอยู่ใกล้เสียด้วยซ้ำ
ป้านวลก็รีบเก็บของและพยุงคุณย่า ส่วนพิมพ์ใจก็เดินคล้องแขนคุณย่าอีกข้าง ป้านวลถือโอกาส ทำท่ากระซิบว่า
“คนเขาลือกันว่าอาตี๋ตาหยี พ่อรูปหล่อขวัญใจสาวๆ ที่ตามหลวงลุงมีพ่อเป็นอั้งยี่ เจ้าค่า”
“ทำไมต้องกระซิบด้วยคะป้า ชาวบ้านเขารู้กันหมดแล้ว”
พิมพ์ใจพูดขึ้นเสียงเรียบ แต่ในใจกลับเต้นแรงเมื่อได้ยินคำว่า
"ขวัญใจสาว ๆ"
“แม่นวล ก็พูดไป ดูท่าทางพ่อหนุ่มตาหยีก็ดูสุภาพเรียบร้อย เห็นกันมาจะเป็นสิบปีแล้วกระมั่ง จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครจะเลือกได้ไหมล่ะแม่นวล”
“คุณย่าเจ้าค่า คนเราดูภายนอกมิได้ดอกเจ้าค่ะ เค้าว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนะเจ้าค่ะดูหน้าสิค่า คงมีเรื่องกับนักเลงมา”
พิมพ์ใจย่นจมูกน้อย ๆ ก่อนพูดขัดขึ้นว่า “อะไรกันป้านวล มีเรื่องใหม่ไหมคะ?”
“วันก่อนที่ตลาดเขาก็ลือกันอีกนะเจ้าค่ะ”
“ป้านวลนี่ เจ้ากรมข่าวเลยนะคะ มีข่าวใหม่กว่านี้ไหมคะรีบเล่า”
“เอ๊ะ... แม่หนูพิมพ์นี่อย่างไรนะอยากจะรู้เรื่องกะเค้าด้วยหรือ”
“ค่ะ คุณย่า ไหนๆ ก็เล่ามาแล้วป้านวลรีบบอกมาเถอะค่ะ”
“เค้าเล่ากันว่าพ่อหนุ่มหล่อตาหยีสอบเข้ามหาวิทตะยาลัย อะไรนี่หละเจ้าค่ะ ได้ เค้าว่ากันว่าเรียนเก่งด้วยนะเจ้าค่ะได้ทุน”
“ซุบซิบ อะไรกันแม่สามสาว” เสียงชายคนหนึ่ง วัยเลยกลางคนแต่ ท่าทางทะมัดทะแมงเข้าเครื่องแบบตำรวจ ขัดคอป้านวลขึ้น
ทันใดนั้น เสียงเข้มของชายวัยกลางคนในเครื่องแบบตำรวจก็ดังแทรกขึ้น
“ซุบซิบอะไรกันแม่สามสาว!”
“อุ๊ย! ตาเถร! มาตอนไหนเจ้าคะ จะทำคนแก่หัวใจวาย!” ป้านวลแกล้งโวยวาย
“พ่อจะไปราชการที่อยุธยา สองสามวัน ใครอยากได้อะไรไหม?” เขาหันไปถามลูกสาว
“ไม่ต้องหรอกลูก ขอพระคุ้มครอง เดินทางปลอดภัยนะ” คุณย่าเอ่ย
“ครับ”
ชายหนุ่มลูบศีรษะลูกสาวอย่างแผ่วเบา พิมพ์ใจยกมือไหว้ แล้วจึงเดินขึ้นบ้าน—บ้านตึกสองชั้นสไตล์ยุโรปสีขาวนวลที่คุณปู่คุณย่าเคยอยู่ ตัวบ้านมีสนามโล่งกว้าง ด้านซ้ายมีเก๋งจีนตั้งตระหง่าน ทางเดินปลูกต้นเข็มเป็นรั้วเตี้ย รั้วหน้าบ้านเป็นกำแพงปกคลุมด้วยต้นตีนตุ๊กแกสีเขียวเข้ม
และที่หน้ารั้วบ้านนั่นเอง เธอยืนมองตามเงาของใครคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่... ใบหน้าของเขายังช้ำ แต่ในใจของเธอ กลับรู้สึกเหมือนเป็นแผลที่ชวนให้หวนคิดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า…เช่นกัน
