ตอนที่ 8: การปรากฏตัวของอุปสรรค (ต่อ)
อัญชิสาขับรถกลับมาถึงคอนโดมิเนียมด้วยสภาพจิตใจที่บอบช้ำกว่าตอนเช้าหลายเท่าตัว บรรยากาศปลอดโปร่งและความรู้สึกอิ่มเอมใจที่เคยมีเมื่อตื่นนอนในอ้อมกอดของฟ้า บัดนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหมอกหนาทึบของความจริงที่โหดร้าย
เธอจอดรถในช่องประจำตัวซึ่งมีป้ายสลักชื่อ ‘นศ.พ. อัญชิสา วงศ์วัฒนากุล’ ไว้อย่างชัดเจน ป้ายเล็กๆ ที่เคยทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นไปตามความคาดหวังของครอบครัว วันนี้กลับดูเหมือนป้ายที่ตอกย้ำถึงพันธนาการของเธอ
เมื่อกลับเข้ามาในห้องที่เงียบสงัดและเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าใจหาย เสียงของพราวรวีและภาพรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบของนายแพทย์เอกภพก็ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในความคิด
“...ลดตัวไปสนิทกับคนนอกวงการ”
“...คุณอาประกิจท่านโทรมาหาพี่เมื่อเช้า”
ทุกคำพูด ทุกรอยยิ้ม คือแรงกดดันที่มองไม่เห็น มันคือเสียงของโลกภายนอกที่กำลังพยายามดึงเธอกลับเข้าไปอยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น กรอบของ
‘อัญชิสา วงศ์วัฒนากุล’ ที่ไม่มีวันแปดเปื้อนด้วยเรื่องไร้สาระ หรือความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมในสายตาของสังคมชั้นสูง
ความเครียดที่คุ้นเคยเริ่มกลับมาเกาะกุมจิตใจเธออีกครั้ง อัญชิสาถอดเสื้อคลุมยูนิฟอร์มออกพาดไว้บนเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือโดยอัตโนมัติ
ปลายนิ้วของเธอเริ่มจัดเรียงกองหนังสือให้เข้ามุมพอดี ขยับโคมไฟให้ได้องศาที่ถูกต้อง เช็ดหน้าจอแท็บเล็ตที่ไม่มีรอยนิ้วมือแม้แต่รอยเดียว... มันคือกลไกการรับมือกับความเครียดแบบเก่าที่เธอทำมาตลอดชีวิต การพยายามควบคุมสิ่งของรอบตัวเพื่อหลอกตัวเองว่าเธอยังสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้
แต่ครั้งนี้... มันไม่ได้ผล
ยิ่งเธอพยายามจัดทุกอย่างให้เข้าที่มากเท่าไหร่ ภาพความไม่เป็นระเบียบแต่กลับเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาในห้องของฟ้าก็ยิ่งฉายชัดขึ้นในความคิด ความทรงจำถึงผ้าใบที่ยังวาดไม่เสร็จ กลิ่นสีที่อบอวล และเสียงหัวเราะที่สดใสของฟ้า มันช่างแตกต่างจากความสมบูรณ์แบบที่เย็นเยียบและว่างเปล่าของเธอโดยสิ้นเชิง
ครืด...
โทรศัพท์บนโต๊ะสั่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นข้อความจาก ‘คุณแม่’
[ อิงลูก คุณพ่อเล่าให้แม่ฟังเรื่องนัดทานข้าวกับหมอเอกแล้วนะจ๊ะ ดีจังเลยลูก หมอเอกเป็นคนดี มีอนาคต คุณพ่อเขาหวังดีกับลูกนะ เตรียมชุดสวยๆ ไว้ด้วยนะจ๊ะ แม่ดีใจที่จะได้เห็นลูกมีความสุข ]
ข้อความของคุณหญิงรตีเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและถ้อยคำที่นุ่มนวล แต่สำหรับอิงแล้ว มันไม่ต่างจากตะปูอีกตัวที่ถูกตอกลงมาบนฝาโลงแห่งอิสรภาพของเธอ ‘ความสุข’ ในนิยามของแม่ คือการแต่งงานกับคนที่เหมาะสม คือการรักษาหน้าตาทางสังคมของวงศ์ตระกูล คือการเดินไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
อัญชิสาหลับตาลง ภาพของมื้อค่ำสุดสัปดาห์นี้ปรากฏขึ้นในจินตนาการ...
ร้านอาหารอิตาเลียนหรูที่ประดับด้วยแชนเดอเลียร์คริสตัล แสงไฟสีนวลที่ส่องกระทบลงบนผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดสะอ้าน เสียงเพลงคลาสสิกที่บรรเลงคลอเบาๆ และบทสนทนาที่สุภาพแต่ผิวเผินกับนายแพทย์เอกภพ... บทสนทนาที่อาจจะวนเวียนอยู่แค่เรื่องการเรียนแพทย์ ความสำเร็จในวิชาชีพ หรือแผนการในอนาคตที่ถูกวางกรอบไว้แล้ว
มันคือภาพของความสมบูรณ์แบบ... ที่น่าเบื่อและไร้วิญญาณอย่างที่สุด
แล้วภาพในหัวของเธอก็ตัดสลับไป...
เป็นภาพของโต๊ะอาหารเล็กๆ ในครัวของฟ้าเมื่อเช้านี้... ขนมปังปิ้งที่ไหม้ไปข้างหนึ่งเพราะฟ้ามัวแต่ฮัมเพลงเพลินจนลืมดู กาแฟดริปที่รสชาติอาจจะไม่คงที่แต่กลับหอมกรุ่นจนทำให้เธอรู้สึกตื่นเต็มตา และเสียงหัวเราะของฟ้าที่ดังขึ้นเมื่อเห็นเธอทำหน้าเหยเกตอนชิมขนมปังแผ่นที่ไหม้เกรียมนั้น
มันคือภาพของความไม่สมบูรณ์แบบ... ที่กลับเต็มไปด้วยความสุขและความทรงจำที่แท้จริง
การเปรียบเทียบนั้นชัดเจนจนน่าใจหาย
ความรู้สึกอึดอัดตีตื้นขึ้นมาในอกจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก เธอรู้สึกอยากจะกรีดร้อง อยากจะทำลายข้าวของทุกอย่างในห้องนี้ให้พังพินาศ... แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่กำหมัดแน่น ข่มความรู้สึกปั่นป่วนทั้งหมดไว้ภายในเหมือนเช่นเคย
แต่ครั้งนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป...
ท่ามกลางความมืดมิดของความสิ้นหวัง ยังมีแสงสว่างเล็กๆ จุดหนึ่งที่ยังคงส่องประกายอยู่... แสงสว่างจากความทรงจำเมื่อคืนก่อน
อัญชิสาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่การจินตนาการถึงอนาคตที่น่าหดหู่ แต่คือการจงใจเดินทางย้อนกลับไปยังที่หลบภัยแห่งเดียวที่เธอมีในตอนนี้... ความทรงจำเกี่ยวกับฟ้า
เธอปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในห้วงความรู้สึกนั้น...
ระลึกถึงสัมผัสของปลายนิ้วของฟ้าที่ลากไล้ไปบนแผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบาแต่กลับจุดไฟให้ร้อนรุ่มไปทั้งตัว...
ระลึกถึงริมฝีปากร้อนที่บดเบียดเคล้าคลึงกับริมฝีปากของเธออย่างหิวกระหายแต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน...
ระลึกถึงน้ำเสียงแหบพร่าของฟ้าที่กระซิบเรียกชื่อเธอซ้ำๆ อยู่ข้างหู...
ระลึกถึงความรู้สึกของการถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ ทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ...
ระลึกถึงความปลอดภัยในอ้อมกอดที่แข็งแรงนั้น... อ้อมกอดที่ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ว่าโลกภายนอกจะโหดร้ายแค่ไหน แต่ที่ตรงนี้... เธอจะปลอดภัยเสมอ
การจมอยู่กับความทรงจำที่เร่าร้อนและอ่อนหวานนั้นคือการกบฏอย่างเงียบๆ ของเธอ มันคือการปฏิเสธโลกแห่งความจริงที่คนอื่นพยายามจะยัดเยียดให้ และคือการยอมรับในความปรารถนาที่แท้จริงของหัวใจตัวเอง
ความปรารถนานี้... ความรู้สึกนี้... มันไม่ใช่สิ่งที่ผิดบาปหรือน่ารังเกียจอย่างที่เธอเคยคิด แต่มันคือสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิต... มีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
ความทรงจำนั้นได้มอบความเข้มแข็งให้เธออย่างไม่น่าเชื่อ
อัญชิสาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาของเธอเปลี่ยนไป จากที่เคยสับสนและหวาดกลัว บัดนี้มันกลับมีความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวฉายชัดขึ้นมาแทน
เธอรู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร...
เธอไม่ได้ต้องการเป็นแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดเพื่อทำให้ครอบครัวภูมิใจ... แต่เธอต้องการเป็นแพทย์ที่ดีที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ด้วยหัวใจที่เป็นอิสระ
เธอไม่ได้ต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบในสายตาของสังคม... แต่เธอต้องการชีวิตที่มีความสุขในแบบที่เธอเป็นคนนิยามด้วยตัวเอง
และที่สำคัญที่สุด... เธอไม่ต้องการสูญเสียฟ้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง
อัญชิสาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เลื่อนเปิดหน้าจอแชทที่มีข้อความของฟ้าค้างอยู่ นิ้วหัวแม่มือของเธอพิมพ์ข้อความลงไปอย่างไม่ลังเล... เป็นข้อความที่สั้นกระชับ แต่กลับบรรจุความรู้สึกทั้งหมดของเธอเอาไว้ในนั้น
[ กาแฟเมื่อเช้าอร่อยดีนะ ]
เธอจ้องมองข้อความนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ต่อไป...
[ คิดถึงกาแฟแกแล้ว ]
ไม่ใช่... มันยังไม่ตรงกับใจเธอเท่าไหร่
เธอลบข้อความทั้งหมดทิ้ง แล้วพิมพ์ลงไปใหม่ด้วยความรู้สึกที่ซื่อตรงที่สุด...
[ คิดถึง ]
เพียงคำเดียวสั้นๆ...
หัวใจของเธอเต้นรัวแรงขณะที่นิ้วโป้งเลื่อนไปอยู่เหนือปุ่ม ‘ส่ง’ เธอรู้ดีว่าการกดส่งข้อความนี้ออกไป คือการก้าวข้ามเส้นที่เธอไม่เคยกล้าข้ามมาก่อน คือการเปิดประตูให้โลกของเธอกับโลกของฟ้ากลับมาเชื่อมต่อกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
มันอาจจะนำมาซึ่งปัญหาและอุปสรรคอีกมากมาย... แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน
เพราะการได้อยู่ในโลกที่ปราศจากฟ้า... มันทรมานยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น
อัญชิสาสูดหายใจเข้าลึกๆ... แล้วกดส่งข้อความนั้นออกไป
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนว่าข้อความถูกส่งสำเร็จดังขึ้น... และมันคือเสียงของการเริ่มต้น...
การเริ่มต้นเดินทางบนเส้นทางสายใหม่ที่เธอจะเป็นผู้กุมแผนที่ไว้ในมือของตัวเอง