ตอนที่ 7: การปรากฏตัวของอุปสรรค
อัญชิสากลับเข้ามาในคอนโดมิเนียมของตัวเองอีกครั้งในช่วงสายของวัน หลังจากที่ใช้เวลาในช่วงเช้าจมดิ่งอยู่ในโลกของฟ้ารดา โลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นกาแฟ บทสนทนาที่เรียบง่าย และสัมผัสที่อบอุ่นจนเธอไม่อยากจะผละออกมา
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ความแตกต่างของสองโลกก็ถาโถมเข้าใส่เธออย่างรุนแรง
ห้องของฟ้ารดาคือความอลหม่านอย่างมีศิลปะ คือชีวิตชีวาที่จับต้องได้ แต่ห้องของเธอ... ห้องที่เธอเคยภาคภูมิใจในความเป็นระเบียบเรียบร้อย... บัดนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ปราศจากเชื้อโรคและปราศจากชีวิตชีวาไปพร้อมกัน ความเงียบที่เคยเป็นเพื่อนสนิท บัดนี้กลับกลายเป็นความอ้างว้าง และ เยือกเย็น
เธอยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ความรู้สึกปลอดโปร่งจากเมื่อเช้ายังคงตกค้างอยู่ราวกับอาฟเตอร์โกลว์จางๆ แต่เงาของความเป็นจริงก็เริ่มคืบคลานเข้ามาตามมุมห้องอย่างช้าๆ
บนโต๊ะเขียนหนังสือ... กองตำราแพทย์ยังคงวางอยู่เหมือนเดิม รอคอยให้เธอกลับไปทำหน้าที่ของ ‘นักศึกษาแพทย์อัญชิสา’
บนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ... มีสัญลักษณ์แจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับจาก ‘คุณพ่อ’ ถึงสองสาย และข้อความจาก ‘มิ้นท์’ ที่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
โลกใบเก่ากำลังทวงคืนพื้นที่ของมันอย่างไม่ลดละ
แต่อัญชิสาพบว่าตัวเองไม่รู้สึกตื่นตระหนกเหมือนเคย เธอมองข้อความเหล่านั้นด้วยสายตาที่สงบนิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกผิดบาปที่เคยกัดกินใจจางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความอิ่มเอมใจที่ยังคงอุ่นซ่านอยู่ทั่วทั้งกายและใจ เธอเผลอยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองเบาๆ สัมผัสร้อนผ่าวจากจูบของฟ้าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนยังคงแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้น
เธอรู้ว่าไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในโลกของความฝันได้ตลอดไป บ่ายวันนี้เธอมีเลคเชอร์สำคัญที่ขาดไม่ได้ อัญชิสาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบังคับตัวเองให้ก้าวเดินไปยังตู้เสื้อผ้า เพื่อสวมชุดเกราะที่เรียกว่า ‘ความเหมาะสม’ กลับคืนสู่ร่างกายอีกครั้ง
บรรยากาศในห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่ของคณะแพทยศาสตร์ยังคงอัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียดเช่นเคย เหล่านักศึกษาในชุดยูนิฟอร์มสีขาวสะอาดตานั่งกันอย่างเป็นระเบียบ สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังสไลด์พาวเวอร์พอยต์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับเภสัชวิทยาคลินิก
แต่อัญชิสาในวันนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะนั่งจดเลคเชอร์ทุกคำพูดของอาจารย์เหมือนเช่นเคย แต่จิตใจของเธอกลับล่องลอยไปไกล เธอลอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงบทสนทนาไร้สาระบนโต๊ะอาหารเช้ากับฟ้า... เป็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนข้างๆ สังเกตเห็นได้
"มีอะไรดีๆ เหรออิง วันนี้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ"
เสียงหวานที่ดังขึ้นข้างๆ ทำให้รอยยิ้มของอัญชิสาหุบลงทันที เธอหันไปมองเจ้าของเสียง พราวรวี หรือ พราว เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอกำลังมองมาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่ดวงตาของพราวนั้น... กลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย
พราวคือภาพสะท้อนของความสมบูรณ์แบบในอีกรูปแบบหนึ่ง เธอสวยสง่า แต่งตัวเก่ง และฉลาดหลักแหลม เป็นดาวเด่นของรุ่นที่มักจะถูกเปรียบเทียบกับอัญชิสาอยู่เสมอ ภายนอกพราวแสดงท่าทีชื่นชมและยกย่องอิงมาโดยตลอด แต่ลึกลงไปภายใต้รอยยิ้มที่เคลือบด้วยน้ำผึ้งนั้น อัญชิสาสัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานและการแข่งขันที่ซ่อนอยู่
"เปล่า ไม่มีอะไร" อิงตอบเสียงเรียบ ปรับสีหน้าให้กลับไปสุขุมเหมือนเดิม
"เหรอ..." พราวลากเสียงยาว แววตาคมกริบของเธอกวาดมองอัญชิสาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มันไม่ใช่การมองแบบเพื่อนทักทาย แต่เป็นการ ประเมินคุณค่า ราวกับกำลังตรวจสอบสินค้า "ฉันก็นึกว่าเธอมีความรักซะอีก เห็นสดใสขึ้นนะ โดยเฉพาะหลังจากที่ไปสนิทกับเด็กศิลปกรรมคนนั้นน่ะ"
หัวใจของอิงกระตุกวูบ พราวรู้เรื่องฟ้าได้อย่างไร?
"หมายถึงใคร" อิงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ พยายามควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้ผิดปกติ
"ก็คนที่ชื่อฟ้าๆ อะไรนั่นไง ที่เป็นช่างภาพน่ะ" พราวยิ้มหวาน "พอดีเพื่อนฉันอยู่คณะนั้น เห็นว่าแกสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่นึกเลยนะว่าคนอย่างอิงจะลดตัวไปสนิทกับคน... นอกวงการ"
คำว่า ‘ลดตัว’ และ ‘นอกวงการ’ ของพราวเปรียบเสมือนเข็มเล่มเล็กๆ ที่ทิ่มแทงเข้ามาในใจของอิงอย่างจัง มันคือคำพูดที่เธอเคยได้ยินจากปากของพ่อ และเป็นเหตุผลที่เธอเคยใช้เพื่อตัดความสัมพันธ์กับฟ้าในอดีต
"เขาเป็นเพื่อนเก่าฉัน" อิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
"อ๋อ... เพื่อนเก่าเหรอจ๊ะ" พราวทำเสียงสูง "ดีจังเลยนะ ยังติดต่อกันอยู่ด้วย ว่าแต่... คุณลุงประกิจท่านจะว่ายังไงเหรอ ถ้าท่านรู้ว่าลูกสาวคนเก่งเอาเวลาอ่านหนังสือไปคลุกคลีกับเด็กอาร์ตติสต์ที่ดูไม่มีอนาคตน่ะ"
นั่นคือคำขู่ที่เคลือบด้วยความห่วงใยจอมปลอม อัญชิสากำมือที่อยู่ใต้โต๊ะแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เธอรู้ดีว่าพราวต้องการอะไร... พราวต้องการเป็นคนพิเศษเพียงหนึ่งเดียวในโลกของเธอ และการปรากฏตัวของฟ้าคือเสี้ยนหนามที่พราวต้องการจะกำจัดทิ้ง
ก่อนที่อิงจะได้ตอบโต้อะไรกลับไป เสียงของอาจารย์ที่หน้าห้องก็ดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่เป็นพิษนั้นต้องจบลง แต่อัญชิสาก็ไม่สามารถมีสมาธิกับเลคเชอร์ได้อีกต่อไป เงาของความจริงที่โหดร้ายได้คืบคลานเข้ามาบดบังแสงสว่างที่เธอเพิ่งได้รับมาจนเกือบมิด
หลังจากเลิกคลาส อัญชิสาตั้งใจจะรีบกลับคอนโดเพื่อไปตั้งหลัก แต่ก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้งเมื่อเธอเดินผ่านวอร์ดผู้ป่วยในซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย
"น้องอิงครับ!"
เสียงทุ้มที่อบอุ่นและสุภาพดังขึ้นจากด้านหลัง อัญชิสาหันไปและพบกับร่างสูงของ นายแพทย์เอกภพ หรือ หมอเอก ที่กำลังเดินเข้ามาหา เขาอยู่ในชุดกาวน์สีขาวสะอาดสะอ้าน รอยยิ้มของเขาดูเป็นมิตรและไร้ที่ติ เรือนร่างสูงโปร่งและบุคลิกที่ดูดีของเขาทำให้เหล่านักศึกษาแพทย์และพยาบาลสาวๆ ที่เดินผ่านไปมาต้องเหลียวมอง
หมอเอกคือตัวแทนของ ‘ชีวิตที่ควรจะเป็น’ ของเธอทุกประการ
"กำลังจะกลับแล้วเหรอครับ" หมอเอกถามอย่างสุภาพ
"ค่ะพี่เอก" อิงตอบรับ พยายามฝืนยิ้มออกมา
"พอดีเลย พี่กำลังจะโทรหาเราอยู่พอดี คุณอาประกิจท่านโทรมาหาพี่เมื่อเช้าเรื่องนัดทานข้าวสุดสัปดาห์นี้ เราสะดวกใช่ไหม"
"เอ่อ... คืออิง..." เธออึกอัก ไม่รู้จะหาข้ออ้างใดมาปฏิเสธชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบตรงหน้า
"ไม่ต้องกังวลนะครับ พี่เลือกร้านอาหารอิตาเลียนที่เราชอบไว้แล้ว" หมอเอกยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น "ถือว่าไปพักผ่อนกันนะ พี่เห็นเราช่วงนี้ดูเคร่งเครียดกับการเรียน"
ขณะที่หมอเอกกำลังพูด มือของเขาก็เอื้อมมาแตะที่แขนของเธอเบาๆ เป็นการให้กำลังใจตามประสาพี่น้องและเพื่อนร่วมวิชาชีพ มันเป็นการกระทำที่สุภาพ เหมาะสม และไร้ที่ติ...
แต่สำหรับอัญชิสาแล้ว สัมผัสนั้นกลับทำให้เธอรู้สึก ว่างเปล่า
ในหัวของเธอเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ...
สัมผัสของหมอเอก... สุภาพ ถูกต้องตามแบบแผน แต่กลับแห้งแล้งและห่างเหินราวกับสัมผัสกระดาษทรายเนื้อละเอียด
สัมผัสของฟ้า... ร้อนแรง จริงแท้ เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และทำให้ทุกอณูในร่างกายของเธอมีชีวิตชีวาขึ้นมา...
ความคิดนั้นทำให้อัญชิสารู้สึกไม่สบายตัวอย่างรุนแรง เธอเผลอขยับแขนหนีสัมผัสของหมอเอกโดยไม่รู้ตัว เป็นปฏิกิริยาที่เล็กน้อย แต่หมอเอกก็สังเกตเห็นได้
"เป็นอะไรรึเปล่าครับน้องอิง สีหน้าไม่ค่อยดีเลย" เขาถามด้วยความห่วงใยที่แท้จริง แต่เป็นความห่วงใยที่เธอไม่ต้องการ
"เปล่าค่ะ... อิงแค่... เหนื่อยๆ นิดหน่อย" เธอรีบปฏิเสธ "งั้น... ตามที่พี่เอกว่าเลยค่ะ สุดสัปดาห์นี้เจอกัน อิงขอตัวก่อนนะคะ"
เธอรีบปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นอีกครั้ง ทิ้งให้หมอเอกยืนงงอยู่กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ
อัญชิสาเดินตรงไปยังรถของตัวเองด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง การปรากฏตัวของพราวและหมอเอกในวันเดียวกันเปรียบเสมือนการตอกย้ำถึงโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นซึ่งพันธนาการชีวิตของเธอไว้
พราวคือตัวแทนของการแข่งขันและสายตาของสังคมที่คอยจับจ้อง ส่วนหมอเอกคือตัวแทนของอนาคตที่ถูกวางแผนไว้โดยที่เธอไม่มีสิทธิ์เลือก
เงาของอุปสรรคได้คืบคลานเข้ามาแล้วจริงๆ... มันไม่ได้อยู่แค่ในความคิดอีกต่อไป แต่ปรากฏเป็นรูปธรรมให้เธอได้เผชิญหน้า
แต่แทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวเหมือนเคย... ในใจของอัญชิสากลับมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ความรู้สึก ท้าทาย
เพราะตอนนี้... เธอไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว เธอมีความทรงจำของไออุ่นจากอ้อมกอดของใครบางคนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว... และมีความปรารถนาที่จะได้กลับไปอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสีสันนั้นอีกครั้งเป็นแรงผลักดัน
เธอกลับไปที่รถ สตาร์ทเครื่องยนต์ แต่แทนที่จะขับกลับไปยังคอนโดที่เย็นเยียบของตัวเอง... เธอกลับหักพวงมาลัยไปยังเส้นทางอื่น...
เส้นทางที่นำไปสู่ที่ที่หัวใจของเธอเรียกร้องหา