ตอนที่ 6: ผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลง ก้าวแรกบนเส้นทางใหม่
สติสัมปชัญญะของอัญชิสากลับคืนมาอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่การสะดุ้งตื่นอย่างตื่นตระหนกเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นการลอยตัวขึ้นมาจากห้วงนิทราที่สงบและลึกที่สุดในรอบหลายปีอย่างนุ่มนวล ราวกับการค่อยๆ โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมารับแสงตะวัน
สิ่งแรกที่เธอรับรู้ไม่ใช่เสียงนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะ แต่เป็น ไออุ่น...
ไออุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบกายของเธอ มันคือความอบอุ่นจากร่างกายของอีกคนที่นอนอยู่เคียงข้าง แขนข้างหนึ่งของฟ้ารดาพาดอยู่บนเอวของเธออย่างหลวมๆ แต่มั่นคง น้ำหนักที่พอเหมาะพอดีนั้นไม่ได้ทำให้เธออึดอัด แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด... ปลอดภัยราวกับเรือที่ได้เข้าจอดในอ่าวที่ไร้คลื่นลมรุนแรง
สิ่งต่อมาคือ แสง...
แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านม่านสีขาวบางเข้ามาในห้อง ไม่ใช่แสงไฟนีออนสีขาวในห้องของเธอ แต่มันเป็นแสงสีทองจางๆ ที่อาบไล้ไปทั่วห้อง ทำให้ฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศกลายเป็นประกายระยิบระยับ แสงนั้นตกกระทบลงบนกองหนังสือศิลปะ บนขาตั้งวาดภาพ และบนภาพถ่ายมากมายที่ติดอยู่บนผนัง เปลี่ยนความไม่เป็นระเบียบให้กลายเป็นความงามที่มีชีวิตชีวา
และสุดท้ายคือ กลิ่น...
กลิ่นกายของฟ้าที่ผสมปนเปกับกลิ่นผ้าปูที่นอนสะอาด กลิ่นกาแฟจางๆ และกลิ่นสีน้ำมัน มันคือกลิ่นของโลกอีกใบ... โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความคิดสร้างสรรค์ โลกที่เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เข้ามาสัมผัส
อัญชิสาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของคนที่ยังคงหลับสนิทอยู่ข้างๆ เธอ ใบหน้ายามหลับของฟ้ารดาดูไร้เดียงสาและสงบ ปราศจากรอยยิ้มสดใสที่คุ้นตา แต่กลับฉายแววของความอ่อนโยนออกมาอย่างชัดเจน อิงเผลอยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อเธอค่อยๆ ปัดปอยผมที่ปรกอยู่บนแก้มเนียนของฟ้าออกอย่างแผ่วเบาที่สุด
วินาทีที่ปลายนิ้วของเธอสัมผัสกับผิวอุ่นๆ ของฟ้า... ความทรงจำของค่ำคืนที่ผ่านมาก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวอีกครั้ง
ภาพของร่างกายที่สอดประสาน... เสียงครางที่หลุดรอด... สัมผัสที่ร้อนแรงและลึกซึ้ง... การปลดปล่อยทุกพันธนาการที่จองจำเธอไว้...
เธอควรจะรู้สึกผิด... ควรจะรู้สึกละอายใจ... ควรจะตื่นตระหนกและรีบแต่งตัวหนีไปจากที่นี่เหมือนอาชญากรที่เพิ่งก่อเหตุสำเร็จ นั่นคือสิ่งที่
อัญชิสา วงศ์วัฒนากุล คนเก่าควรจะทำ
แต่เปล่าเลย...
สิ่งที่เธอรู้สึกในตอนนี้กลับเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง...
มันคือความ ปลอดโปร่ง
ความรู้สึกเหมือนภาระหนักอึ้งที่แบกไว้บนบ่ามาตลอดชีวิตได้ถูกยกออกไป ท้องฟ้าในใจที่เคยมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนแห่งความคาดหวังและความกลัว บัดนี้กลับมีแสงสว่างรอดผ่านลงมาเป็นครั้งแรก เธอรู้สึกเบา... เบาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และความรู้สึกสับสนที่เคยมี... บัดนี้มันได้คลี่คลายลง กลายเป็นความเข้าใจที่เรียบง่ายและชัดเจน... นี่คือสิ่งที่เธอโหยหามาตลอด คืออิสรภาพที่จะได้เป็นตัวของตัวเอง คือการยอมรับในตัวตนที่แท้จริงโดยปราศจากเงื่อนไข
ราวกับรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว เปลือกตาของฟ้ารดาขยับเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ปรือขึ้น ดวงตากลมโตที่ยังมีแววของความงัวเงียอยู่เล็กน้อยมองมาที่เธอ ก่อนจะค่อยๆ ปรับโฟกัสจนเห็นภาพชัดเจน
แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฟ้า... เป็นรอยยิ้มยามเช้าที่งดงามและจริงใจที่สุดเท่าที่อิงเคยเห็น
"ตื่นแล้วเหรอ" เสียงของฟ้าแหบพร่าเล็กน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น
อิงพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าแก้มของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เธอทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
ฟ้าระบายยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเขินอายนั้น เธอกระชับอ้อมแขนที่โอบรอบเอวของอิงให้แน่นขึ้นอีกนิด ดึงร่างบอบบางเข้ามาใกล้จนหน้าผากของทั้งสองชนกันเบาๆ "อรุณสวัสดิ์นะ"
"อือ... อรุณสวัสดิ์" อิงตอบเสียงแผ่ว
สายตาของฟ้าที่จ้องมองมานั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ มันไม่มีคำถาม ไม่มีการตัดสิน ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความกระอักกระอ่วนใจ มีเพียงความรัก ความเข้าใจ และความสุขที่เอ่อล้นออกมาจนอิงสัมผัสได้
ทั้งคู่รับรู้ได้ในความเงียบนั้น... ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันไม่ได้กลับไปเป็นเพื่อนในวัยเด็ก และมันก็เป็นมากกว่าค่ำคืนแห่งความปรารถนา... มันได้ก้าวไปสู่ระดับใหม่ที่ยังไม่มีใครสามารถให้คำนิยามได้
"โอเคไหม" ฟ้าถามย้ำอีกครั้ง มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมาลูบแก้มของอิงเบาๆ
อิงหลับตาลง ซึมซับสัมผัสที่อ่อนโยนนั้น ก่อนจะลืมตาขึ้นมาสบตากับฟ้าตรงๆ เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ต้องใช้ความพยายามในการทำเช่นนั้น "โอเค"
คำตอบสั้นๆ เพียงพยางค์เดียว แต่สำหรับคนทั้งคู่ มันมีความหมายมากกว่านั้น มันคือการยอมรับ คือการยืนยัน และคือการเริ่มต้น
อิงเริ่มมองไปรอบๆ ห้องของฟ้าอีกครั้ง แต่คราวนี้มุมมองของเธอเปลี่ยนไป จากที่เคยมองว่ามันเป็นห้องที่รกและไม่มีระเบียบ ตอนนี้เธอกลับมองเห็นแต่ความคิดสร้างสรรค์และชีวิตชีวา ภาพสเก็ตช์ที่แปะอยู่บนผนังคือร่องรอยของแรงบันดาลใจ กองหนังสือคือขุมทรัพย์ทางปัญญา และต้นไม้เล็กๆ ที่วางอยู่ริมหน้าต่างก็คือความใส่ใจในสิ่งมีชีวิต... โลกของฟ้าช่างแตกต่างจากโลกของเธอราวกับอยู่คนละจักรวาล
โลกของเธอคือเส้นตรงที่ถูกขีดไว้แล้ว... แต่โลกของฟ้าคือผืนผ้าใบที่พร้อมจะแต่งแต้มสีสันได้เสมอ
"หิวรึยัง" ฟ้าถามขึ้น ทำลายความเงียบ "เดี๋ยวเราไปทำอะไรให้กินง่ายๆ ดีกว่า มีกาแฟกับขนมปังอยู่"
การกระทำที่แสนจะธรรมดา... การกินมื้อเช้า... แต่สำหรับอิงแล้ว มันคือเหตุการณ์ที่พิเศษอย่างไม่น่าเชื่อ
เธอพยักหน้ารับช้าๆ "อือ"
ฟ้าคลายอ้อมกอดออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เผยให้เห็นเรือนร่างเพรียวแข็งแรงที่ไมได้มีสิ่งใดปกปิด อิงเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะ รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นริ้วขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของตัวเองไว้จนถึงคอ
ฟ้าหันมาเห็นท่าทางนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ "ไม่ต้องอายหรอกน่า... เมื่อคืนเราเห็นกันหมดแล้วไม่ใช่เหรอ"
คำพูดตรงไปตรงมานั้นยิ่งทำให้อิงทำตัวไม่ถูก เธอได้แต่ก้มหน้า ซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำไว้ในผืนผ้าห่ม
"รอแป๊บนึงนะ" ฟ้าพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินหายเข้าไปในส่วนของครัวเล็กๆ ทิ้งให้อิงอยู่บนเตียงเพียงลำพังกับความคิดและความรู้สึกที่ยังคงท่วมท้นอยู่ภายใน
ครืด... ครืด...
เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงดังขึ้นอีกครั้ง อิงชะงักไปเล็กน้อย หัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยความกังวลว่าอาจจะเป็นสายจากพ่อของเธออีกครั้ง... หรืออาจจะเป็นมิ้นท์ที่โทรมาด้วยความเป็นห่วง
แต่ครั้งนี้... ปฏิกิริยาของเธอแตกต่างออกไป
เธอยังคงรู้สึกถึงความกังวล แต่ความตื่นตระหนกที่เคยมีกลับจางหายไปแล้ว เธอมองไปยังโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุด... แล้วหันกลับมามองไปยังทิศทางที่ฟ้าเพิ่งเดินจากไป ได้ยินเสียงกุกกักและเสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังมาจากในครัว
ณ วินาทีนั้น... อัญชิสาก็ตัดสินใจได้
เธอปล่อยให้โทรศัพท์เครื่องนั้นสั่นต่อไปโดยไม่คิดจะสนใจมันอีก...
เพราะตอนนี้... โลกทั้งใบของเธอไม่ได้อยู่ในจอสีเหลี่ยมเล็กๆ นั่นอีกต่อไปแล้ว
โลกของเธอ... อยู่ในห้องนี้... อยู่กับเสียงฮัมเพลงและกลิ่นกาแฟยามเช้า... และอยู่กับผู้หญิงที่ชื่อฟ้ารดา
นี่คือก้าวแรก... บนเส้นทางสายใหม่ที่เธอจะเป็นคนขีดเขียนมันขึ้นมาด้วยตัวเอง