ตอนที่ 5: การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
อัญชิสารีบมาหาฟ้ารดาตามโลเคชั่นที่ฟ้ารดาแชร์ไว้ให้
การเดินทางยี่สิบนาทีจากคอนโดของตัวเองมายังอพาร์ตเมนต์ของฟ้า คือช่วงเวลาที่ยาวนานและพร่าเลือนที่สุดในความทรงจำของอัญชิสา เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขับรถมาถึงที่นี่ได้อย่างไร สมองของเธอกึ่งหลับกึ่งตื่น ปล่อยให้ร่างกายทำงานไปตามสัญชาตญาณที่เรียกร้องหาที่พึ่งสุดท้าย ทุกภาพที่เห็นผ่านกระจกรถเป็นเพียงแสงไฟที่พร่ามัว ทุกเสียงที่ได้ยินถูกกลืนหายไปในเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตัวเอง
เธอไม่ได้เช็ดคราบน้ำตา ไม่ได้จัดผมที่ยุ่งเหยิง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งว่าตัวเองยังคงอยู่ในชุดอยู่บ้านที่เรียบง่ายเกินกว่าจะเป็น ‘คุณอัญชิสา วงศ์วัฒนากุล’ ที่สังคมคุ้นเคย
วินาทีที่เธอก้าวเท้าออกจากลิฟต์แล้วเห็นร่างของ
ฟ้ารดายืนรออยู่หน้าประตูห้อง... โลกทั้งใบของเธอก็หยุดหมุนอีกครั้ง
ฟ้ายืนอยู่ตรงนั้น... ใต้แสงไฟสีวอร์มไลท์ของโถงทางเดิน เธอไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ยืนมองมาที่อิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างสุดซึ้ง ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวตนของฟ้าเป็นเหมือนผ้าห่มที่มองไม่เห็น ค่อยๆ โอบล้อมร่างกายที่เหน็บหนาวและสั่นเทาของอิงเอาไว้
เสียงประตูไม้ที่ปิดลงด้านหลังดังแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่มันกลับก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของอัญชิสา ราวกับเป็นเสียงขีดเส้นกั้นระหว่างโลกใบเก่าที่เธอเพิ่งจากมากับโลกใบใหม่ที่เธอกำลังจะก้าวเข้าไป
โลกที่เธอคุ้นเคยคือความเงียบงันของห้องสี่เหลี่ยมที่จัดวางทุกอย่างตามระเบียบ คือกลิ่นกระดาษจากตำราแพทย์หนาเตอะ คือแสงไฟสีขาวนวลที่ส่องสว่างแต่ไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่ที่นี่... ห้องของฟ้ารดา... มันคืออีกจักรวาลหนึ่ง
กลิ่นสีน้ำมันจางๆ คลอเคล้ากับกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟคั่วบด ผ้าใบที่ยังวาดไม่เสร็จพิงอยู่ข้างผนัง แสงไฟสีนวลสาดส่องลงบนกองหนังสือศิลปะและกล้องฟิล์มที่วางระเกะระกะแต่ดูมีชีวิตชีวา ทุกอณูในอากาศกรีดร้องคำว่า ‘อิสระ’ คำที่อัญชิสาโหยหามาทั้งชีวิต
แล้วเธอก็เห็นเจ้าของห้อง... ฟ้ารดาในเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นสบายๆ ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยกลับขับเน้นดวงตากลมโตคู่นั้นให้ดูจริงแท้และเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
ไม่มีคำพูดใดๆ เอ่ยออกมา
ฟ้าเพียงแค่ก้าวเข้ามาหาอิงช้าๆ แล้วสวมกอดเธอไว้ อ้อมแขนที่ดูบอบบางแต่กลับให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างประหลาดโอบรอบร่างกายที่สั่นเทาของอิงไว้ ไออุ่นจากกายของฟ้าซึมซาบผ่านเนื้อผ้าเข้ามา ปลุกสติสัมปชัญญะทุกส่วนให้ตื่นขึ้น
วินาทีนั้นเอง กำแพงที่อิงใช้เวลาสร้างมาตลอดหลายปีปีก็พังทลายลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี
เสียงสะอื้นที่เคยได้ยินผ่านโทรศัพท์ บัดนี้มันดังขึ้นอีกครั้งในความเป็นจริง หยาดน้ำตาที่เพิ่งแห้งเหือดไปกลับมาไหลทะลักอาบสองแก้ม ร่างทั้งร่างของนักศึกษาแพทย์ผู้สมบูรณ์แบบสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดของศิลปินสาวผู้เป็นดั่งบาดแผลและยารักษาในเวลาเดียวกัน
"ไม่เป็นไรแล้วนะ... อิง" เสียงของฟ้ากระซิบข้างหู แผ่วเบาแต่อบอุ่นดั่งแสงแรกของวันใหม่ "เธอปลอดภัยแล้ว... ปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่กับฉัน"
คำพูดนั้นราวกับกุญแจที่ไขประตูบานสุดท้าย อิงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาจควบคุม เธอซบใบหน้าลงบนบ่าของฟ้า กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนตรงหน้าปะปนกับหยาดน้ำตาของตัวเอง มันคือการปลดปล่อย คือการยอมจำนนต่อความรู้สึกที่แท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต
ฟ้าไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่ลูบแผ่นหลังของอิงเบาๆ อย่างปลอบประโลม รอคอยอย่างอดทนให้พายุอารมณ์ที่เกาะกุมจิตใจเพื่อนคนสำคัญมาเนิ่นนานได้พัดผ่านไป
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งเสียงสะอื้นของอิงแปรเปลี่ยนเป็นเพียงลมหายใจหอบกระเส่าที่ค่อยๆ กลับสู่จังหวะปกติ ฟ้าคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อย ใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาบนพวงแก้มขาวอย่างแผ่วเบาที่สุด
สายตาของทั้งสองประสานกันอีกครั้ง ในระยะห่างเพียงลมหายใจกั้น
ดวงตาของอิงแดงก่ำและบวมช้ำ แต่ในความบอบช้ำนั้นมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป... ความหวาดกลัวที่เคยฉายชัดจางหายไปแล้ว เหลือเพียงความเปราะบางที่เปิดเปลือยและความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกสุดใจ
ส่วนดวงตาของฟ้า... มันเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความต้องการที่สะท้อนภาพของอิงอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน
ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาลที่มองไม่เห็นฉุดรั้งให้ทั้งคู่ขยับเข้าหากันช้าๆ... ช้าๆ... จนกระทั่งริมฝีปากสัมผัสกัน
มันไม่ใช่จูบที่ร้อนแรงหรือหิวกระหาย แต่เป็นสัมผัสที่นุ่มนวลและเปี่ยมไปด้วยความหมาย เป็นการซับเอารสชาติของน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ เป็นการยืนยันว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนี้คือความจริง
แต่อัญชิสาต้องการมากกว่านั้น... ร่างกายของเธอต้องการมากกว่านั้น
เธอเป็นฝ่ายรุกล้ำก่อนอย่างที่ตัวเองก็ไม่เคยคาดคิด ริมฝีปากที่เคยถูกเก็บงำเผยอออก รับสัมผัสที่ร้อนระอุของฟ้าเข้ามาอย่างหิวกระหาย เสียงครวญต่ำในลำคอคือถ้อยคำที่ร่างกายเอื้อนเอ่ย แทนความต้องการที่ไม่อาจเก็บงำได้อีกต่อไป
มือของฟ้าเลื่อนจากแผ่นหลังขึ้นมาประคองท้ายทอยของอิง รับจูบที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นที่สอดประสานคือบทสนทนาที่ปราศจากคำพูด มันคือการแลกเปลี่ยนลมหายใจที่ร้อนระอุ ปลุกเร้าคลื่นความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังให้พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
เสื้อผ้าที่เคยเป็นเกราะป้องกัน บัดนี้กลายเป็นสิ่งกีดขวางที่น่ารำคาญ มือของอิงเลื่อนไปกอดรัดรอบเอวของฟ้าแน่นขึ้น สัมผัสได้ถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้เสื้อยืดตัวบาง ขณะที่มือของฟ้าก็เริ่มลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของเธออย่างกล้าหาญขึ้น ปลุกความซ่านสยิวให้แล่นไปทั่วทุกอณู
ทุกสัมผัสของฟ้าไม่ใช่แค่การสัมผัสของผิวหนัง แต่มันคือเส้นทางที่ปลุกความทรงจำของไอแดดในฤดูร้อนครั้งเก่า ที่บัดนี้กลับมาหลอมรวมกับความร้อนรุ่มของปัจจุบัน
"อิง..." ฟ้าครางเรียกชื่อเธอเสียงแหบพร่า ลมหายใจขาดห้วง เมื่อผละริมฝีปากออกมาเล็กน้อยเพื่อมองสำรวจใบหน้าของคนในอ้อมกอด "แน่ใจนะ..."
อิงไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ตอบด้วยการจูบที่หนักหน่วงและแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม เป็นคำยืนยันที่ชัดเจนกว่าวาจาใดๆ เธอกำลังจะทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ไม่ใช่สิ่งที่สมองสั่งการ นี่คือการประกาศอิสรภาพครั้งแรกในชีวิตที่เธอไม่เคยกล้าแม้แต่จะฝันถึง
ฟ้ายิ้มรับคำตอบนั้น เธออุ้มร่างที่บอบบางของอิงขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย ทำให้อิงตกใจจนเผลอเกี่ยวขาไว้รอบเอวของฟ้าแน่นขึ้น ก่อนที่ฟ้าจะพาเธอไปยังเตียงนอนที่อยู่มุมห้อง... เตียงที่ไม่ได้มีผ้าปูตึงเรียบ แต่กลับดูเชื้อเชิญและอบอุ่น
ทุกจังหวะที่หลอมรวมกันหลังจากนั้น คือการสำรวจ คือการค้นพบ คือการปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน
ฟ้าคือผู้ชักนำที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ เธอค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ของอิงออกทีละชิ้นราวกับกำลังแกะของขวัญล้ำค่า ทุกตารางนิ้วของผิวขาวผ่องที่ปรากฏแก่สายตาถูกทอดมองด้วยความชื่นชมและบูชา ริมฝีปากร้อนของเธอประทับรอยจูบลงบนทุกแห่งหนที่เธอสัมผัส ตั้งแต่ลำคอระหง ไหปลาร้าที่เด่นชัด ไปจนถึงเนินอกที่สั่นสะท้านตามแรงอารมณ์
อัญชิสารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหลอมละลาย เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าร่างกายของตัวเองจะสามารถรู้สึกได้มากขนาดนี้ สัมผัสของฟ้าแตกต่างจากจินตนาการในความฝันโดยสิ้นเชิง... มันจริงแท้กว่า ร้อนแรงกว่า และลึกซึ้งกว่านับร้อยเท่า
"ฟ้า... อ๊า..." เสียงครางหวานที่หลุดออกมาจากลำคอคือเสียงของเธอเอง... เสียงที่ไม่เคยถูกใครได้ยิน มันเป็นเสียงของการยอมจำนนและเสียงของความสุขสมอย่างถึงที่สุด
ร่างกายของเธอตอบสนองต่อทุกการปลุกเร้าของฟ้าอย่างซื่อตรง แอ่นรับทุกสัมผัสที่มอบให้ เคลื่อนไหวไปตามจังหวะที่อีกฝ่ายนำพา ความคิด ความกังวล ความกลัว... ทุกอย่างเลือนหายไป เหลือเพียงความปรารถนาที่บริสุทธิ์และดิบเถื่อน
เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ตอบสนอง แต่มันคือจิตวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยจากการจองจำที่มองไม่เห็น
เมื่อฟ้ารู้สึกได้ว่าอิงพร้อมแล้ว เธอจึงค่อยๆ สอดประสานร่างกายเข้าด้วยกันอย่างนุ่มนวลที่สุด ความรู้สึกของการถูกเติมเต็มทำให้อัญชิสาร้องครางออกมาอย่างสุดเสียง เธอกอดรัดแผ่นหลังของฟ้าไว้แน่น จิกเล็บลงไปบนผิวสีน้ำผึ้งเพื่อระบายความรู้สึกที่ท่วมท้นจนแทบจะรับไม่ไหว
จังหวะของทั้งสองเริ่มประสานกันเป็นหนึ่งเดียว เสียงหอบกระเส่าและเสียงครวญครางกลายเป็นบทเพลงแห่งความรักที่ขับขานอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสีสันของศิลปะ หยาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาผสมปนเปกัน กลิ่นกายของทั้งคู่หลอมรวมเป็นกลิ่นใหม่... กลิ่นของการเป็นเจ้าของซึ่งกันและกัน
ในอ้อมกอดของฟ้า อัญชิสาไม่ได้เป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ผู้แบกรับความคาดหวังของตระกูลอีกต่อไป
เธอเป็นเพียง 'อิง' ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้ที่จะรัก และถูกรักอย่างหมดหัวใจ
และเมื่อคลื่นอารมณ์ลูกสุดท้ายซัดโถมเข้าใส่จนร่างของเธอเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง โลกทั้งใบก็สว่างวาบขึ้นมาในความมืด ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดับลงเหลือเพียงไออุ่นจากร่างกายของคนที่โอบกอดเธอไว้... และเสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่ชัดเจนข้างหู
"ตลอดมา... และตลอดไป... ก็คือเธอนะอิง"