ตอนที่ 4: การเปิดใจอย่างเปราะบาง กำแพงที่พังทลาย
อัญชิสากลับมาถึงห้อง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’
คอนโดมิเนียมที่เคยเป็นดั่งป้อมปราการแห่งความสงบเรียบร้อย บัดนี้กลับให้ความรู้สึกไม่ต่างจากกรงขังที่หรูหราและเย็นยะเยือกกว่าเดิม ผนังสีครีมที่เคยดูสะอาดตากลายเป็นกำแพงที่อึดอัด อากาศที่เคยบริสุทธิ์กลับหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก
เธอไม่ได้แตะต้องตำราเรียนแม้แต่น้อย
ร่างบอบบางในชุดนักศึกษาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอย่างคนไร้ทิศทาง ความคิดในหัวฟุ้งซ่านและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ภาพใบหน้าของฟ้ารดาในหอสมุดซ้อนทับกับภาพความฝันเมื่อคืนก่อน... สัมผัสที่หัวไหล่ยังคงร้อนผ่าวราวกับมีถ่านไฟวางอยู่ กลิ่นกาย
หอมอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของฟ้ายังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ... กลิ่นที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะอย่างน่ารังเกียจ
อัญชิสารู้สึกสับสน... และรู้สึกผิดบาปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่? มันคือความปรารถนาที่น่าละอายอย่างนั้นหรือ? หรือเป็นเพียงเสียงสะท้อนจากอดีตที่เธอเคยฝังกลบมันไปแล้วด้วยมือของตัวเอง
เธอหยุดเดินแล้วทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง ยกมือขึ้นกุมขมับอย่างคนจนปัญญา เธอคืออัญชิสา วงศ์วัฒนากุล ว่าที่แพทย์หญิงผู้มีอนาคตไกล ชีวิตของเธอถูกออกแบบมาเพื่อความสำเร็จและความสมบูรณ์แบบ ในแผนที่ชีวิตนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับความรู้สึกที่ไร้เหตุผลและควบคุมไม่ได้เช่นนี้
ครืด...
เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงดึงเธอออกจากภวังค์ ด้วยความหวังลึกๆ ว่าอาจจะเป็นข้อความจากมิ้นท์ เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู
แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ... กลับเป็นชื่อที่ทำให้หัวใจของเธอร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
Fah Farada
เพียงแค่เห็นชื่อนั้น ความร้อนรุ่มที่เธอพยายามจะกดข่มไว้ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วหัวแม่มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อยขณะที่แตะลงไปเพื่อเปิดอ่านข้อความ
ข้อความนั้นสั้นและเรียบง่าย
[ หวัดดีอิง พอดีเราเพิ่งได้ไอดีไลน์แกมาจากคนรู้จักในคณะแกมาน่ะ... ไม่ได้จะรบกวนนะ แค่อยากจะบอกว่าดีใจที่ได้เจอเมื่อตอนบ่าย หวังว่าเราคงไม่ได้ทำให้แกไม่สบายใจนะ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ :) ]
ไม่มีการตัดพ้อ ไม่มีคำถามที่คาดคั้น มีเพียงความห่วงใยที่จริงใจและอิโมติคอนรูปยิ้มที่ดูอบอุ่นอย่างประหลาด
ข้อความนี้... ควรจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับตรงกันข้าม ความใจดีของฟ้าเปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องลงมาบนความขี้ขลาดและเย็นชาของเธอ ยิ่งขับเน้นให้เห็นความผิดของตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น
อัญชิสารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอาชญากรที่กำลังถูกเหยื่อแสดงความเมตตาให้... มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานจนแทบขาดใจ
และราวกับโชคชะตาต้องการจะซ้ำเติมให้เธอจมดิ่งลงไปให้สุด... โทรศัพท์ในมือของเธอก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นสายเรียกเข้า
ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ‘คุณพ่อ’
หัวใจของอัญชิสากระตุกวูบ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะกดรับสาย
"ค่ะคุณพ่อ"
"อิง" เสียงของนายแพทย์ประกิจดังลอดผ่านลำโพงมา ทรงอำนาจและน่าเกรงขามเช่นเคย "พ่อเพิ่งคุยกับศาสตราจารย์อดิศัยเรื่องผลสอบมิดเทอมของลูก ท่านชมว่าลูกทำได้ดีมาก เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อเหมือนเคย"
"ค่ะ..." อิงตอบรับได้เพียงเท่านั้น คำชมของพ่อไม่เคยทำให้เธอรู้สึกดีใจ มันเป็นเพียงการยืนยันว่าเธอยังคงอยู่ในเส้นทางที่ท่านขีดไว้
"แต่อาจารย์บอกว่ามีบางวิชาที่คะแนนของลูกดร็อปลงไปเล็กน้อย... ไม่ได้ตก แต่ก็ไม่ใช่คะแนนที่ดีที่สุดเหมือนที่เคยเป็น" น้ำเสียงของท่านเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยความคาดหวังที่กดดัน "ช่วงนี้มีเรื่องอะไรมา
รบกวนสมาธิรึเปล่า"
เส้นเลือดในขมับของอิงเต้นตุบๆ "ไม่มีค่ะ... คงเป็นเพราะเนื้อหาช่วงนี้ยากขึ้น อิงจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ"
"ดีแล้ว" นายแพทย์ประกิจกล่าว "อย่าลืมว่าทุกย่างก้าวของลูกมีผลต่ออนาคต การจะเป็นศัลยแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้ ต้องสมบูรณ์แบบในทุกด้าน พ่อไม่อยากให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาทำให้ลูกเสียสมาธิ เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม"
"เข้าใจค่ะ..."
"อีกเรื่อง... สุดสัปดาห์นี้เตรียมตัวให้พร้อมนะ พ่อจะให้หมอเอกเขามารับไปทานข้าว"
ชื่อของ หมอเอก หรือ นายแพทย์เอกภพ ทำให้ก้อนความจุกเสียดตีขึ้นมาในอกของอิง เขาคือแพทย์ประจำบ้านหนุ่มอนาคตไกล เป็นสุภาพบุรุษไร้ที่ติตามมาตรฐานสังคมทุกอย่าง และเป็นคนที่พ่อของเธอหมายมั่นจะให้เป็น ‘ทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ’ สำหรับชีวิตเธอ
"คุณพ่อคะ คืออิง..." เธอพยายามจะปฏิเสธ
"ไม่มีแต่... อิง" นายแพทย์ประกิจตัดบทอย่างเฉียบขาด "ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัว ได้พูดคุยกับรุ่นพี่เก่งๆ จะได้มีแรงบันดาลใจในการเรียน พ่อจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทำตัวดีๆ ล่ะ แค่นี้แหละ"
ติ๊ด
สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและเสียงสัญญาณที่บ่งบอกว่าบทสนทนาได้สิ้นสุดลงแล้ว
สิ้นสุด... เหมือนกับชีวิตของเธอที่ถูกกำหนดให้สิ้นสุดลงในเส้นทางที่เธอไม่ได้เลือก
วินาทีนั้นเอง... บางสิ่งบางอย่างในตัวอัญชิสาก็ขาดผึง
กำแพงที่เธอสร้างมาทั้งชีวิต... พังทลายลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี
ความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ความกดดัน ความสับสน ความรู้สึกผิด และความโดดเดี่ยวที่สั่งสมมานานทะลักทลายออกมาพร้อมกัน หยาดน้ำตาที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไหลริน บัดนี้มันเอ่อคลอขึ้นมาจนภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด
มือของเธอกำโทรศัพท์ไว้แน่นจนข้อขาว สั่นเทาไปทั้งร่าง เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำตายอยู่ในห้องของตัวเอง... ห้องที่เปรียบเสมือนกรงทองที่สวยงามแต่ไร้ซึ่งอากาศหายใจ
เธอต้องการใครสักคน... ใครสักคนที่จะรับฟังเธอโดยไม่ตัดสิน ใครสักคนที่จะบอกเธอว่าไม่เป็นไร ใครสักคนที่ไม่ใช่คนในโลกของ ‘วงศ์วัฒนากุล’
และในวินาทีที่เปราะบางที่สุดของชีวิต สมองที่เคยทำงานด้วยตรรกะก็หยุดชะงัก ปล่อยให้หัวใจและสัญชาตญาณดิบเป็นผู้นำทาง
นิ้วที่สั่นเทาของเธอเลื่อนไปกดที่รายชื่อผู้ติดต่อ... ผ่านชื่อของมิ้นท์ไป... และหยุดลงที่ชื่อๆ หนึ่งที่เธอเพิ่งได้รับมา...
Fah Farada
เธอไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าทำไปทำไม รู้แค่ว่านี่คือฟางเส้นสุดท้ายที่เธอต้องคว้าไว้ ก่อนที่ตัวเองจะแตกสลายไปมากกว่านี้
อัญชิสากดโทรออก...
เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นหนึ่งครั้ง... สองครั้ง... แต่ละวินาทีที่ผ่านไปยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ เธออยากจะกดวางสาย อยากจะกลับไปเป็นอัญชิสาคนเดิมที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง แต่ก็สายเกินไปแล้ว
[“ฮัลโหล... อิง”]
เสียงที่ดังมาจากปลายสายนั้น... อบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
เพียงแค่ได้ยินเสียงนั้น ท่อน้ำตาของอัญชิสาก็แตกทะลักออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้ เสียงสะอื้นที่เธอเก็บกดมาทั้งชีวิตหลุดรอดออกมาจากลำคออย่างน่าสมเพช
"ฟ้า..." เธอเปล่งเสียงเรียกชื่อนั้นออกมาได้แค่นั้น ก่อนที่คำพูดทั้งหมดจะจุกอยู่ที่ลำคอ
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด แต่เป็นความเงียบที่กำลัง ‘รับฟัง’ อย่างตั้งใจ
[“อิง... เกิดอะไรขึ้น ร้องไห้ทำไม”] น้ำเสียงของฟ้าเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง [“อยู่ไหน... ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆ พูด”]
คำว่า ‘ไม่เป็นไรนะ’ ของฟ้าคือตัวจุดชนวน มันทำลายกำแพงอันสุดท้ายที่เหลืออยู่ในใจของเธอจนหมดสิ้น อัญชิสาปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กหลงทาง เธอเล่าทุกอย่าง... เล่าออกมาอย่างไม่ปะติดปะต่อ ทั้งเรื่องความกดดันจากพ่อ เรื่องการเรียน เรื่องความรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในกรง และที่สำคัญที่สุด... เธอเล่าถึงความกลัวและความรู้สึกผิดที่กัดกินใจเธอมาตลอดหลายปี
"...ฉันขอโทษนะฟ้า" เสียงของเธอสั่นเครือและขาดห้วง "เรื่องเมื่อก่อน... ที่ฉัน... ที่ฉันทิ้งแกไป... ฉัน... ฉันมันขี้ขลาด... ฉันขอโทษ..."
เธอสารภาพมันออกมาในที่สุด... สารภาพบาปที่เธอแบกรับไว้เพียงลำพังมาตลอด
ฟ้ารดาที่ปลายสายยังคงเงียบฟังอย่างอดทน เธอไม่พูดแทรก ไม่ตัดสิน ไม่ซักไซ้ เธอปล่อยให้อิงได้ระบายทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น ปล่อยให้เสียงสะอื้นค่อยๆ แผ่วลงจนเหลือเพียงเสียงลมหายใจที่หอบกระเส่า
เมื่อแน่ใจว่าอิงสงบลงแล้ว ฟ้าจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและอบอุ่นที่สุด
[“ฟังนะอิง... เรื่องอดีตช่างมันก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวแก... คือความรู้สึกของแกในตอนนี้”]
อัญชิสาเงียบฟัง... น้ำตายังคงไหลอาบแก้ม แต่หัวใจที่เคยปั่นป่วนเริ่มสงบลงเมื่อได้ยินเสียงของฟ้า
[“แกไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว... ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้”]
แล้วประโยคที่ทำให้อัญชิสาหยุดหายใจไปชั่วขณะก็ดังขึ้น...
[“มาหาฉันสิ... ตอนนี้เลย”]