ตอนที่ 2: โลกของฟ้า อิสระและสีสัน
เสียงชัตเตอร์ของกล้อง Leica Q2 รุ่นคลาสสิกดังขึ้น “แชะ” หนึ่งครั้ง เก็บเอาภาพของใบไม้แก่ที่กำลังจะร่วงหล่นจากกิ่ง แต่ยังคงอาบไล้ด้วยแสงแดดสุดท้ายของวันไว้ในเฟรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วของคนอื่น โลกของ ฟ้ารดา สิริวัฒนา คือการหยุดเวลาไว้ในภาพถ่ายหนึ่งใบ
หญิงสาวร่างเพรียวในชุดเดรสยาวลายดอกไม้สไตล์โบฮีเมียนยืนนิ่งอยู่กลางทางเดินเล็กๆ ในสวนสาธารณะ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนดัดลอนตามธรรมชาติยาวประบ่าของเธอต้องลมยามเย็นเบาๆ ผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดดูสุขภาพดีตัดกับสายคล้องกล้องหนังสีเข้มที่พาดอยู่บนบ่าอย่างคุ้นเคย
ดวงตากลมโตเป็นประกายของเธอกำลังจ้องมองผ่านช่องมองภาพ (Viewfinder) ไม่ใช่แค่การมอง แต่คือการ ‘เห็น’... เห็นความงามในความธรรมดาสามัญ เห็นเรื่องราวในทุกสรรพสิ่ง
เธอลดกล้องลง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวขึ้นได้ในทันที ก่อนที่นิสัยติดตัวจะทำงานโดยอัตโนมัติ มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาเบื้องหน้า นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของทั้งสองมือประกอบกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยม จัดองค์ประกอบของภาพทิวทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง แม้จะไม่มีกล้องอยู่ในมือแล้วก็ตาม ริมฝีปากอิ่มฮัมเพลงอินดี้เพลงโปรดเบาๆ เป็นจังหวะที่เข้ากันกับพลังงานบวกรอบตัวเธอ
ชีวิตของฟ้ารดาคือผืนผ้าใบที่เต็มไปด้วยสีสัน คือบทเพลงที่เธอเป็นผู้ประพันธ์ คืออิสระที่เธอไขว่คว้ามาด้วยสองมือและหนึ่งหัวใจที่ซื่อตรงต่อความรู้สึก
“ได้กี่รูปแล้วจ๊ะ แม่ศิลปิน”
เสียงทุ้มที่แฝงแววล้อเลียนดังขึ้นจากด้านหลัง ฟ้ารดาหันไปตามเสียงพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
ภีมวัฒน์ หรือ ภีม เพื่อนสนิทร่วมคณะศิลปกรรมศาสตร์ของเธอกำลังเดินเข้ามาหา ในมือถือแก้วชานมไข่มุกอยู่สองแก้ว
ภีมคือหนุ่มอาร์ติสต์ตัวพ่อที่มั่นใจในตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า วันนี้เขามาในลุคเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายกราฟิกสุดจี๊ดกับกางเกงยีนส์ทรงขากระบอกที่ออกแบบและตัดเย็บเอง ปากอาจจะจัดจ้านแต่แววตาที่มองมายังเพื่อนสนิทนั้นเต็มไปด้วยความใจดีและความเข้าใจอย่างหาใครเทียบได้ยาก
“กำลังจะได้รูปที่ร้อย แต่แกมาขัดจังหวะซะก่อน” ฟ้าแกล้งทำเสียงงอนพลางรับชานมไข่มุกมาถือไว้ “ขอบใจนะ”
“ขัดจังหวะอะไรกัน แสงจะหมดแล้วย่ะ” ภีมพูดพลางยกมือขึ้นป้องหน้าผากมองไปยังดวงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงเกือบจะลับขอบฟ้า “ถ้าไม่ใช่เพราะแกบอกว่าอยากได้แสง Golden Hour ฉันไม่ถ่อมาถึงนี่ด้วยหรอกนะ นึกว่าหาโลเคชั่นถ่ายพรีเวดดิ้งให้ตัวเองอยู่”
“พูดจาเป็นมงคล” ฟ้าหัวเราะ ยกกล้องขึ้นถ่ายรูปภีมไปหนึ่งแชะ “เก็บไว้เป็นหลักฐาน เผื่อวันไหนแกขายเสื้อผ้าแบรนด์ตัวเองดังระดับโลก ฉันจะได้เอารูปนี้ไปขายได้ราคา”
“แหม รู้ทัน” ภีมโพสท่าเล่นใหญ่ “แต่จะว่าไป ธีสิสของแกเป็นไงมั่ง โปรเจกต์ ‘บาดแผลที่มองไม่เห็น’ น่ะ คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
รอยยิ้มของฟ้ารดาจางลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ
โปรเจกต์จบของตัวเอง ดวงตาที่เคยสดใสเป็นประกายหม่นแสงลงวูบหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยจนคนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น แต่ไม่ใช่สำหรับภีม
“ก็... เรื่อยๆ” เธอตอบเสียงเบาลงเล็กน้อย ยกชานมขึ้นมาดูดเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตา “ยังหา... แรงบันดาลใจชิ้นสุดท้ายอยู่”
“แรงบันดาลใจ... หรือว่าความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันกันแน่” ภีมถามเสียงเรียบ เขาลดความขี้เล่นลง เปลี่ยนเป็นโหมดที่ปรึกษาด้านหัวใจอย่างที่ทำเป็นประจำ
ฟ้านิ่งเงียบไป เธอรู้ดีว่าภีมมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง โปรเจกต์ภาพถ่ายชุด ‘บาดแผลที่มองไม่เห็น’ (The Unseen Wound) ของเธอ คือการเดินทางผ่านศิลปะเพื่อเยียวยาจิตใจตัวเอง คือการถ่ายทอดความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง ความเจ็บปวดจากการรอคอย และความผูกพันที่ไม่เคยจางหายไปไหน... มันคือเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง’ ที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกวัยเด็กของเธอ
“ฉันแค่... ไม่รู้ว่าจะจบมันยังไง” ฟ้าพูดความจริงออกมาในที่สุด “ทุกภาพที่ฉันถ่าย มันเต็มไปด้วยความโหยหา ความทรงจำ แต่ฉันไม่รู้ว่าบทสรุปของเรื่องนี้มันคืออะไร มันควรจะจบลงแบบไหน”
“บางที... เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน
หรอกมั้งฟ้า” ภีมแตะที่ไหล่เพื่อนเบาๆ “มันอาจจะเป็นแค่การยอมรับว่าบาดแผลนั้นมีอยู่จริง และมันได้หล่อหลอมให้แกเป็นแกในวันนี้... คนที่แข็งแกร่งและใช้ศิลปะโอบกอดความเจ็บปวดของตัวเองได้”
คำพูดของภีมทำให้ฟ้ารู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถปัดเป่าเงาของอดีตที่เกาะกุมหัวใจเธอออกไปได้ทั้งหมด
คืนนั้น หลังจากแยกกับภีมแล้ว ฟ้ารดากลับมายังอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่เธอเช่าอยู่ด้วยเงินทุนการศึกษาและรายได้จากการเป็นช่างภาพอิสระ ห้องของเธอคือภาพสะท้อนตัวตนที่ชัดเจนที่สุด มันอาจจะดูรกในสายตาของคนเจ้าระเบียบ แต่สำหรับเธอ ทุกอย่างมีที่ทางของมัน ผนังห้องเต็มไปด้วยภาพสเก็ตช์และ Post-it ที่แปะไอเดียต่างๆ ไว้ ชั้นหนังสือไม้แออัดไปด้วยหนังสือศิลปะและปรัชญา บนพื้นมีกระถางต้นไม้เล็กๆ ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น กลิ่นของน้ำมันสนจากงานเพนต์ติ้งชิ้นล่าสุดยังคงลอยอบอวลปะปนกับกลิ่นหอมของกาแฟดริปที่เธอเพิ่งทำ
เธอนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรม Lightroom เพื่อดูภาพที่ถ่ายมาในวันนี้ ไล่ดูภาพแล้วภาพเล่า... ภาพแสงแดด ภาพเงาไม้ ภาพผู้คน แต่แล้วเธอก็หยุดนิ่งที่ภาพหนึ่ง
เป็นภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังนั่งชิงช้าโดยหันหลังให้กล้อง แสงยามบ่ายที่ลอดผ่านใบไม้ลงมาทำให้เกิดเป็นโบเก้ (Bokeh) รูปวงกลมสวยงามรอบตัวเด็กคนนั้น มันเป็นภาพที่ดูเหงาแต่อบอุ่นในเวลาเดียวกัน
ภาพนี้... ทำให้ความทรงจำระลอกหนึ่งซัดโถมเข้ามาในใจอย่างจัง
เธอไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายภาพนี้ แต่องค์ประกอบทุกอย่างมันทำให้เธอนึกถึง... อิง
ฟ้ารดาจำได้... จำได้ดีถึงบ่ายวันหนึ่งในสวนหลังบ้านที่ต่างจังหวัด เด็กหญิงฟ้ารดาในตอนนั้นกำลังแกว่งชิงช้าให้เพื่อนรักผมยาวตรงสีดำขลับที่นั่งอยู่อย่างเงียบๆ เสียงหัวเราะของเธอในวันนั้นดังก้องไปทั่ว ในขณะที่อิงเอาแต่ยิ้มบางๆ แต่แววตาหลังกรอบแว่นนั้นกลับมีความสุขอย่างที่เธอไม่เคยเห็นเวลาที่อิงอยู่กับคนอื่น
อิงคือความสงบเยือกเย็น ส่วนเธอคือพายุฤดูร้อนที่สดใส ทั้งสองคนแตกต่างกันราวกับกลางวันและกลางคืน แต่กลับเติมเต็มกันและกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ สำหรับฟ้าแล้ว อิงคือปริศนาที่น่าค้นหา คือโลกส่วนตัวที่อิงยอมเปิดให้เธอเข้าไปสำรวจเพียงคนเดียว และสำหรับอิง... ฟ้าคืออิสรภาพ คือสีสัน คือเสียงหัวเราะที่อิงไม่เคยมี
จนกระทั่งวันหนึ่ง... โลกใบนั้นก็ปิดตายลง
การจากไปของอิงในวันนั้น ไม่ใช่การลาจากด้วยคำพูด แต่เป็นการเงียบหายไปอย่างเลือดเย็น ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและคำถามมากมายที่เด็กหญิงฟ้ารดาในวัยนั้นไม่สามารถหาคำตอบได้ มันคือบาดแผลแรกในชีวิต บาดแผลที่มองไม่เห็นแต่กลับเจ็บปวดรวดร้าว และศิลปะคือสิ่งเดียวที่ช่วยเยียวยาเธอมาตลอดหลายปี
ฟ้ารดาถอนหายใจยาว ปิดโปรแกรมแต่งภาพลง เธอรู้ว่าคืนนี้คงทำงานต่อไม่ไหวแล้ว
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยังมุมหนึ่งของห้องที่เป็นชั้นวางของเก่าๆ เธอหยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ซุกซ่อนอยู่หลังกองหนังสือออกมาอย่างแผ่วเบา ฝุ่นชั้นบางๆ ที่เกาะอยู่บนฝากล่องบอกได้ดีว่าเธอไม่ได้เปิดมันมานานแค่ไหนแล้ว
เธอใช้หลังมือปัดฝุ่นออก ก่อนจะเปิดฝากล่องขึ้นอย่างช้าๆ
ข้างในนั้นมีของอยู่ไม่กี่ชิ้น... กิ๊บติดผมรูปดาวที่สีลอกไปแล้ว ยางลบที่ถูกแกะสลักเป็นตัวอักษร ‘F’ กับ ‘A’ อย่างไม่ประสา และรูปถ่ายโพลารอยด์ใบหนึ่งที่สีเริ่มซีดจางตามกาลเวลา
เธอหยิบรูปใบนั้นขึ้นมา...
มันเป็นภาพของเด็กผู้หญิงสองคนถ่ายรูปคู่กันใน
ตู้สติกเกอร์ เด็กหญิงผิวสีน้ำผึ้งในภาพกำลังยิ้มกว้างจนตาหยี สองแขนโอบกอดคอเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสนิทสนม ส่วนเด็กหญิงอีกคน... เด็กหญิงผิวขาว ผมยาวตรงที่สวมแว่นตา กำลังมองตรงมาที่กล้องด้วยแววตาที่เรียบเฉย แต่ที่มุมปากของเธอนั้น... มีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่ เป็นรอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็น
ปลายนิ้วของฟ้ารดาลูบไล้ไปบนใบหน้าของเพื่อนในรูปถ่ายอย่างแผ่วเบา... สัมผัสได้ถึงความผูกพันที่ยังคงอยู่ แม้กายจะห่างไกลและเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
บาดแผลจากการถูกทอดทิ้งยังคงอยู่... แต่มันก็ถูกเคลือบไว้ด้วยความทรงจำที่งดงามและความรู้สึกโหยหาที่อธิบายไม่ได้
"ตอนนี้... เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ อิง" เธอพึมพำกับตัวเองเสียงเบาๆ
คำถามนั้นล่องลอยอยู่ในความเงียบของค่ำคืน โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าในอีกฟากหนึ่งของเมืองใหญ่แห่งนี้ ใครอีกคนก็เพิ่งสะดุ้งตื่นจากความฝันที่เร่าร้อน... ความฝันที่มีกลิ่นอายของอิสรภาพและเสียงหัวเราะที่เธอเคยทิ้งไว้ข้างหลังเช่นกัน
ฟ้ารดาเก็บรูปใบนั้นกลับเข้ากล่องอย่างทะนุถนอม ความรู้สึกภายในใจของเธอบอกว่า... โปรเจกต์ ‘บาดแผลที่มองไม่เห็น’ ของเธอ ยังไม่จบลงง่ายๆ แน่ บางที... มันอาจจะกำลังจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งต่างหาก