บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1: โลกของอิง กรงทองที่มองไม่เห็น

ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก...

เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังสีครีมเรียบ เดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กรีดผ่านความเงียบงันภายในคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมือง มันเป็นเสียงเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ทำลายความสงบในอาณาจักรของ

อัญชิสา วงศ์วัฒนากุล

หญิงสาวในวัยยี่สิบเอ็ดปีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือไม้สีขาวสะอาดตา แสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสาดส่องลงบนหน้ากระดาษของตำรา Gray's Anatomy for Students ฉบับล่าสุด เผยให้เห็นลายเส้นกายวิภาคของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่ซับซ้อนราวกับแผนที่จักรวาล ดวงตาเรียวคมภายใต้กรอบแว่นทรงบางกวาดไล่ไปตามตัวอักษรภาษาอังกฤษขนาดจิ๋วอย่างมีสมาธิ ผมยาวตรงสีดำขลับถูกรวบเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย ไม่เหลือปอยผมแม้แต่เส้นเดียวให้หลุดลุ่ยลงมาเกะกะรำคาญใจ

ทุกอย่างในชีวิตของอัญชิสาคือความสมบูรณ์แบบที่ถูกจัดวาง

ตั้งแต่เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีอ่อนที่รีดจนเรียบกริบ ไปจนถึงปากกาไฮไลต์ห้าแท่งที่เรียงลำดับเฉดสีอย่างถูกต้องบนโต๊ะเขียนหนังสือ และเส้นทางชีวิตที่ถูกขีดเขียนไว้แล้วนับตั้งแต่วินาทีที่เธอลืมตาดูโลกในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลแพทย์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดตระกูลหนึ่งของประเทศ... วงศ์วัฒนากุล

นิ้วเรียวสวยเอื้อมไปขยับสันหนังสือเล่มหนาให้เข้าที่ ขยับแก้วน้ำที่รองด้วยแผ่นไม้ก๊อกให้ได้องศาที่พอดี ก่อนจะยกมือขึ้นดันกรอบแว่นที่ไม่ได้เลื่อนหล่นลงมาให้เข้าที่เดิม มันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย เป็นกลไกป้องกันตัวเองเมื่อแรงกดดันที่มองไม่เห็นเริ่มรัดแน่นรอบตัวเธอ

ความเหนื่อยล้าฉายชัดอยู่ในแววตาคู่สุขุมนั้น มันเป็นความเหนื่อยที่ไม่ใช่จากการอดนอนอ่านหนังสือ แต่เป็นความเหนื่อยล้าทางจิตวิญญาณที่กัดกินอยู่ภายในมาเนิ่นนาน

ครืด... ครืด...

เสียงสั่นจากสมาร์ตโฟนที่วางคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะทำลายภวังค์ความคิด ชื่อ ‘มิ้นท์’ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ อัญชิสาสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามรวบรวมพลังงาน ก่อนจะกดรับสาย

"ว่าไง" น้ำเสียงของเธอราบเรียบตามปกติ

“ยังไม่นอนอีกเหรอคุณหมออิง” เสียงของมินตรา เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในคณะแพทยศาสตร์ดังขึ้นที่ปลายสาย มีแววหยอกล้อแต่ก็แฝงความห่วงใยอย่างชัดเจน "นี่มันจะตีหนึ่งแล้วนะยะ พรุ่งนี้มีเลคเชอร์แค่ตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ"

"อ่านทวนนิดหน่อยน่ะ" อิงตอบ พลางใช้ปลายนิ้วเคาะเบาๆ บนแผนภาพระบบประสาทส่วนปลาย

"นิดหน่อยของแกคือยันสว่างล่ะสิ" มิ้นท์รู้ทัน "ฉันโทรมาเช็กเฉยๆ เห็นวันนี้ตอนเรียนเสร็จแกดูเครียดๆ ทะเลาะกับที่บ้านอีกรึเปล่า"

คำถามตรงไปตรงมาของเพื่อนสนากระตุกปมในใจของอิงเบาๆ สายตาของเธอเหลือบไปมองกรอบรูปดิจิทัลบนชั้นหนังสือ ภาพในนั้นคือภาพครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ... นายแพทย์ประกิจ วงศ์วัฒนากุล ผู้เป็นพ่อ ยืนสง่าในชุดสูทเต็มยศ ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมแฝงแววตาน่าเกรงขาม เคียงข้างด้วย คุณหญิงรตี ผู้เป็นแม่ ในชุดผ้าไหมไทยสีงาช้างงดงาม รอยยิ้มของท่านอ่อนโยนแต่ก็ดูระมัดระวังอยู่เสมอ และตรงกลางคือเธอ... เด็กหญิงอัญชิสาในวัยสิบขวบที่ยิ้มอย่างสดใส เป็นรอยยิ้มแบบที่เธอจำไม่ได้แล้วว่ายิ้มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

"เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ" อิงตอบเสียงแผ่วลงเล็กน้อย "คุณพ่อแค่โทรมา... ย้ำเรื่องการเลือกเรียนต่อเฉพาะทางเฉยๆ"

‘ย้ำ’ เป็นคำที่สุภาพเกินไป ความจริงคือ ‘คำสั่ง’ ต่างหาก นายแพทย์ประกิจคาดหวังให้อิงเดินตามรอยเท้าของท่านในฐานะศัลยแพทย์มือหนึ่ง และทุกการกระทำของอิงต้องเป็นไปเพื่อปูทางไปสู่เกียรติยศนั้น ห้ามผิดพลาด ห้ามออกนอกลู่นอกทาง

"เฮ้อ... ท่านก็เหมือนเดิมเลยนะ" มิ้นท์ถอนหายใจ "แล้วแกโอเคแน่นะอิง"

"อืม โอเค" อิงโกหก "แค่เครียดเรื่องสอบนิดหน่อย แค่นี้นะ จะอ่านหนังสือต่อ"

เธอตัดสายไปโดยไม่รอให้เพื่อนได้พูดอะไรต่อ ความเงียบกลับเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันหนักอึ้งกว่าเดิม อัญชิสารู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งอยู่ในตู้ปลาที่สวยงาม ผนังแก้วใสกั้นเธอออกจากโลกภายนอก ทุกคนมองเข้ามาเห็นแต่ภาพของปลาทองที่ว่ายวนอย่างสง่างามในปราสาทจำลอง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าอากาศใต้น้ำนั้นเบาบางลงทุกที

เธอหลับตาลง พยายามสลัดความรู้สึกอึดอัดที่รัดรึงอยู่ภายในอกทิ้งไป แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นหลังเปลือกตากลับไม่ใช่แผนผังเส้นประสาทที่เพิ่งอ่านไป

มันเป็นภาพของทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในวันแดดอ่อน... เสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กผู้หญิงสองคนดังก้อง... มือเล็กๆ ที่เคยจับจูงกันวิ่งไล่จับผีเสื้อ... รอยยิ้มที่สว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ของใครคนหนึ่ง... ใครคนนั้นที่เป็นตัวแทนของอิสรภาพทั้งหมดที่เธอโหยหา

ฟ้า...

ชื่อนั้นแวบเข้ามาในความคิดพร้อมกับความเจ็บแปลบในหัวใจ เธอเป็นคนเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์นั้นเองในวันที่ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนมัธยม ด้วยเหตุผลของ ‘ความเหมาะสม’ และความกลัว... กลัวความรู้สึกของตัวเอง กลัวการไม่ยอมรับจากครอบครัววงศ์วัฒนากุลที่ไม่มีวันเข้าใจมิตรภาพที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าเพื่อนของเด็กผู้หญิงสองคน

อัญชิสาลืมตาขึ้น ความทรงจำนั้นอันตรายเกินไป มันคือรอยร้าวบนผนังแก้วของกรงทองที่เธอใช้ชีวิตอยู่ เธอถอดแว่นตาวางลงบนโต๊ะ นวดคลึงเบาๆ ที่หัวคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจยอมแพ้ให้แก่ความอ่อนล้าในค่ำคืนนี้

บางทีการนอนหลับอาจช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น

เตียงนอนขนาดคิงไซส์ที่มีผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดตึงเรียบราวกับโรงแรมห้าดาวรองรับร่างบอบบางของเธอไว้ แต่ถึงกายจะเหนื่อยล้าเพียงใด จิตใต้สำนึกกลับยังคงทำงานอย่างซื่อตรงต่อความปรารถนาที่ถูกกดทับ

อัญชิสาจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา... แต่กลับไม่ใช่การหลับใหลที่มืดมิดและว่างเปล่า

ในความฝัน... เธอกำลังล่องลอยอยู่ในมวลน้ำอุ่นที่ไร้แรงโน้มถ่วง มันไม่ใช่สระว่ายน้ำคลอรีนที่คุ้นเคย แต่เป็นสายน้ำธรรมชาติที่โอบล้อมผิวกายทุกสัดส่วนด้วยความนุ่มนวลอย่างน่าประหลาด แสงแดดส่องลงมากระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ แต่กลับไม่รู้สึกร้อนแรง มีเพียงไออุ่นที่ซึมซาบเข้ามาในทุกอณู

แล้วเธอก็รู้สึกถึง สัมผัส

มันเริ่มต้นที่ปลายนิ้วเท้า... สัมผัสที่แผ่วเบาราวกับขนนก ค่อยๆ ไล้เรื่อยขึ้นมาตามข้อเท้า น่อง และเรียวขา สร้างความรู้สึกซาบซ่านปั่นป่วนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน ร่างกายของเธอตอบสนองไปเอง ขนอ่อนทั่วกายพร้อมใจกันลุกชันอย่างไม่อาจควบคุม

เธออยากจะลืมตา แต่เปลือกตากลับหนักอึ้ง อยากจะขยับตัว แต่ร่างกายกลับคล้ายถูกพันธนาการไว้ด้วยความรู้สึกวาบหวามที่ยอมจำนนโดยดุษฎี

สัมผัสนั้นเลื่อนสูงขึ้น... ผ่านช่วงเอวที่บอบบาง ก่อนที่ปลายนิ้วที่มองไม่เห็นนั้นจะเริ่มลากไล้ไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอ มันไม่ใช่แค่สัมผัสของผิวหนัง แต่คือเส้นทางที่ปลุกความร้อนรุ่มให้แล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กายราวกับกระแสไฟฟ้าสถิต อุณหภูมิในกายของเธอสูงขึ้น ลมหายใจเริ่มหอบกระเส่า

กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่คุ้นเคยลอยมาปะทะจมูก ไม่ใช่กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือสบู่ที่เธอใช้ แต่เป็นกลิ่นที่คล้ายกลิ่นดินหลังฝนตกผสมกับกลิ่นดอกไม้ป่าจางๆ... กลิ่นของอิสรภาพ

ความปรารถนาที่พลุ่งพล่านในกายดุจคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ไม่เคยรู้จักคำว่าหยุดนิ่ง ริมฝีปากของเธอเผยอออกเหมือนว่าจะกำลังรอคอยสัมผัสจากใครบางคน... หรือบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจระบุตัวตนได้

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ แต่ก็หวานใสในคราวเดียวกันดังขึ้นใกล้ๆ หู มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและความซุกซน ก่อนที่ลมหายใจอุ่นร้อนจะเป่ารดที่ข้างแก้ม...

แล้วทุกอย่างก็จบลง

อัญชิสาสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืด ร่างกายของเธอเกร็งไปชั่วขณะ หัวใจเต้นรัวแรงอยู่ในอกราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากและตามไรผม ทั้งที่เครื่องปรับอากาศในห้องทำงานอยู่ที่ยี่สิบสี่องศาเซลเซียส

เธอหอบหายใจอย่างหนัก พยายามกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่า ความเงียบและความเป็นระเบียบเรียบร้อยยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่เธอหลับตาลง

แต่ภายในร่างกายของเธอกลับไม่เหมือนเดิม

ความร้อนรุ่มจากความฝันยังคงตกค้างอยู่ สร้างความปั่นป่วนในช่องท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สัมผัสที่เลือนลางแต่กลับชัดเจนในความรู้สึกยังคงติดตรึงอยู่บนผิวเนื้อ เธอเผลอยกมือขึ้นลูบไล้แขนของตัวเอง สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ผิดปกติของผิวตัวเอง

มันเป็นแค่ความฝัน... เธอพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ มันเป็นแค่ผลผลิตจากความเครียดและความเหนื่อยล้าเท่านั้น

แต่ลึกลงไปในใจ... อัญชิสารู้ดีว่ามันคือสิ่งอื่น

มันคือเสียงกรีดร้องจากจิตวิญญาณที่ถูกกักขัง คือความปรารถนาที่ถูกเก็บกดไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ และบัดนี้... มันได้เริ่มปะทุขึ้นมาแล้ว และเธอไม่รู้เลยว่าจะสามารถควบคุมมันไว้ได้อีกนานแค่ไหน

นอกหน้าต่างบานใหญ่ ท้องฟ้าของกรุงเทพฯ เริ่มเปลี่ยนสีจากดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม วันใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แตสำหรับอัญชิสาแล้ว มันคือการเริ่มต้นของรอยร้าวบนกรงทองที่สวยงาม... รอยร้าวที่เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องการจะซ่อมแซมมันหรือไม่
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel