บท
ตั้งค่า

Episode 06: Lollipop【2】

ริชาร์ดได้สติเป็นคนแรก รีบดันคนในทีมให้ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว พอเสียงประตูปิดดังขึ้นเท่านั้น ผมก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทว่ายังไม่ทันจะได้หลั่งน้ำตา ริชาร์ดก็เปิดประตูกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับชี้นิ้วไปที่มุมปากของตัวเองแล้วชี้มายังผม เป็นสัญญาณให้รู้ว่าผมควรจะเช็ดอะไรบางอย่างออกจากปาก

ซึ่งอะไรบางอย่างเนี่ย มันคือน้ำลายผมเอง แต่ดูท่าไอ้ริชาร์ดมันคิดว่าเป็นอย่างอื่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วโว้ย!

ริชาร์ดชูมือขึ้นห้านิ้วเป็นสัญญาณให้รู้ว่าอีกห้านาทีจะกลับมา แล้วก็ออกไป ทิ้งผมไว้กับคีธราวกับบอกว่าให้รีบจัดการให้เสร็จอย่างไรอย่างนั้น

“บ้าฉิบ...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา สบถออกมาอย่างเหลืออด

หากแต่คีธยังไม่รู้สึกตัว ยังมีหน้ามาชูนิ้วชี้มาให้อีก

“ดูดต่อสิ เจ้ายังอาการดีขึ้นไม่มากไม่ใช่รึ”

ผมสะบัดหน้าหนี ไม่อยากจะคุยกับมันเลยให้ตาย กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้ที่ถูกมันทำอะไรบ้าๆ จนคนอื่นเข้าใจผิดอย่างนี้

หากแต่การที่ผมปฏิเสธนั้น กลับทำให้คีธย่นคิ้วแล้วว่าเสียงเนือยๆ

“บอกแล้วว่าหากเจ้าไม่ดูดเอง ข้าจะบังคับ”

แล้วมันก็บังคับจริงๆ ด้วย สิ้นเสียง มันก็เอามืออีกข้างคว้าท้ายทอยผมให้โน้มต่ำลงมา ขณะที่มืออีกข้างก็จัดการยัดนิ้วเข้าปาก ผมอยากจะร้องไห้ลั่นก็ตอนนี้

อนาคตนางเอกเอวีญี่ปุ่นแท้ๆ เลย บัดซบเอ๊ย!

ริชาร์ดไม่ได้กลับมาในห้านาทีให้หลังอย่างที่บอก ผมเพิ่งเข้าใจทีหลังว่าที่หมอนั่นยกมือขึ้นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าห้านาที แต่เป็นห้าสิบนาทีต่างหาก หมอนั่นคงจะคิดว่าหลังจากผมกินโลลิป๊อปเสร็จแล้ว ผมคงจะเปิดสตูดิโอถ่ายหนังผู้ใหญ่ต่อล่ะมั้งถึงได้มาช้าขนาดนี้ และพอหมอนั่นกลับเข้ามาพร้อมกับพรรคพวก ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์สุดอัปยศก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที

ผมเองก็เช่นกัน…

ก็จะให้ไปบอกพวกมันยังไงว่าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พวกมันคิดในเมื่อท่าทางมันให้เสียขนาดนั้นน่ะ!

โชคดีที่เจ้าพวกลูกมือของริชาร์ดเป็นผู้ชายและสนิทกับผมพอสมควร ผมเลยมั่นใจได้ว่าพวกนั้นคงจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปบอกใคร ยิ่งมีริชาร์ดคอยกำชับแกมขู่ว่าจะไล่ออกจากชมรมหากแพร่งพรายความลับด้วยแล้ว ผมก็เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็กระอักกระอ่วนอยู่ดีที่ต้องทำทีวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่มันมีบางอย่างเกิดขึ้น จะมีก็แต่ริชาร์ดกับคีธนี่แหละที่ปรับตัวได้เร็ว

สำหรับคีธน่ะ มันไม่เคยรู้สึกรู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แต่สำหรับริชาร์ด หมอนั่นคงพยายามทำให้ผมไม่อึดอัดล่ะมั้ง

พวกนั้นใช้เวลาไม่นานในการถ่ายฟิตติ้ง ผมก็นั่งตัวลีบ มองคีธกับนักแสดงคนอื่นๆ ถ่ายรูปกันไปแต่ในใจโคตรอยากจะหนีกลับ ไม่ก็มุดดินหนีไปที่ไหนสักที่แทบแย่ เพราะถึงลูกมือของริชาร์ดจะไม่พูด แต่สายตาที่มองมายังผมเป็นระยะก็ทำให้ผมอยากเข้าไปตบกะโหลกคีธสักป้าบสองป้าบ โทษฐานทำชาวบ้านชาวเมืองเข้าใจผิด

เข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ นี่ยังไม่เจ็บเท่าถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ ฝ่ายรับนะ รู้สึกเสียศักดิ์ศรีชะมัด

นานพอดูกว่าการถ่ายภาพฟิตติ้งสำหรับทำโปสเตอร์จะสิ้นสุดลง ริชาร์ดสั่งให้นักแสดงทุกคนแยกย้ายกันกลับได้ ขณะที่หมอนั่นเรียกทีมงานบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเขียนบทมาประชุมต่อในสตูดิโอนั้น

“ฉันกลับก่อนนะ” พอเห็นว่ากลับได้แล้วก็ไม่รอช้า ไปบอกลาริชาร์ดที่กำลังกางบทไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งทันที

“เฮ้ย กลับแล้วเหรอ ฉันยังไม่ได้คุยกับนายเลย” หมอนั่นทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่ผมไม่อยู่รอคุยด้วย

ใครมันจะไปอยู่คุยด้วยไหววะ โดนเห็นในสภาพแบบนั้นคงจะมีอารมณ์อยู่เสวนาด้วยหรอก

“ฉันไม่ค่อยสบาย จะกลับไปนอน” ผมว่าส่งๆ ก่อนที่ริชาร์ดจะหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์

“กลับไปนอน หรือว่าจะกลับไปต่อ”

“ต่อบ้านมึงเถอะไอ้เจ๊ก” ผมสวนเป็นภาษาไทยกลับไป ก็ไอ้ต่อที่หมอนั่นว่ามันหมายถึงเรื่องใต้สะดือน่ะสิ

ริชาร์ดหัวเราะในลำคอน้อยๆ ไม่รู้หรอกว่าผมพูดว่าอะไร แล้วก็ไม่สนใจด้วย ก่อนหันไปให้ความสนใจกับคนอื่น คนอื่นที่ว่าก็คือลูกทีมของหมอนั่นที่มาเห็นผมกับคีธ พวกนั้นก็ดูท่าไม่อยากจะให้ผมอยู่ต่อสักเท่าไหร่นัก คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกันที่จู่ๆ เห็นรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเป้าพระเอกหนังของพวกมันน่ะ

“เอาเป็นว่าฉันกลับก่อนแล้วกัน” ผมตัดบท ไม่สนใจริชาร์ดแต่อย่างใด หากแต่ริชาร์ดก็คว้าแขนผมเอาไว้ ก่อนจะว่าขึ้น

“ขอห้านาที ฉันอยากปรึกษาเรื่องบทกับคีธสักหน่อย”

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ!

ผมเกือบจะตะโกนใส่หน้ามันแล้ว ถ้าหากว่าคนที่หมอนั่นอยากคุยด้วยไม่เดินผ่าเข้ามากลางวงเสียก่อน ริชาร์ดเลยผละจากผมไปให้ความสนใจคีธ

“เออคีธ ว่าจะถามความเห็นหน่อยน่ะ”

“ความเห็น?”

“เรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าชายต่างดาว” ริชาร์ดว่า

คีธเลิกคิ้วข้างหนึ่งเล็กน้อยเป็นเชิงให้หมอนั่นถาม ก่อนที่ริชาร์ดจะคว้ากระดาษที่จดข้อมูลต่างๆ ออกมาร่ายยาว

“ฉันเขียนว่าเจ้าชายต่างดาวเนี่ยมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดาวของเจ้าชายอยู่ห่างจากโลกไปประมาณพันล้านปีแสง เดินทางมาที่โลกด้วยยานอวกาศที่มีความเร็วเหนือแสง ความเร็วในการเดินทางในห้วงอวกาศของยานอยู่ที่ประมาณหนึ่งปีแสงต่อวัน นายว่าเป็นไงบ้าง”

คีธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะว่าเสียงเรียบ “ความเร็วยานเหนือแสงที่เดินทางได้แค่หนึ่งปีแสงต่อวันช้ามากนะ หากเจ้าท่องอยู่ในอวกาศด้วยยานความเร็วเท่านั้น จากดาวดวงนั้นกว่าจะมาถึงดาวของเจ้า มีหวังคงได้สิ้นอายุขัยก่อนจะมาถึงแน่”

“งั้นเหรอ แต่ฉันว่ามันเร็วแล้วนะ” ริชาร์ดทำท่าคิด ให้คีธได้ว่าขึ้นมาอีก

“เร็วสำหรับพวกเจ้าที่วิทยาการยังไม่ก้าวหน้า ข้าพอรู้ว่ามายานของพวกเจ้าที่เรียกว่าจรวดสามารถเดินทางในอวกาศด้วยความเร็วประมาณสองหมื่นเจ็ดพันกิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเจ้าสามารถเดินทางด้วยความเร็วแค่หกแสนสี่หมื่นแปดพันกิโลเมตรต่อวันเท่านั้น การเดินทางด้วยความไวแสงเพียงหนึ่งปีแสง หากเทียบกับยานจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล เรียกได้ว่าวิทยาการนั่นเชื่องช้ากว่าการเคลื่อนไหวของปรสิตอวกาศเสียอีก ความเร็วระดับนั้น เชื่อได้เลยว่าเจ้าคงหนีแรงดึงดูดจากหลุมดำไม่พ้น อย่าว่าแต่หลุมดำเลย แม้แต่ปรสิตอวกาศก็อาจจะหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ”

“ก็จริงแฮะ คิดไปคิดมาก็คงจะช้าอย่างที่นายพูด” ริชาร์ดทำท่าเหมือนจะคิดได้ “แล้วนายคิดว่าฉันควรจะเปลี่ยนแปลงยังไงดี เอาแบบที่คนดูดูแล้วรู้สึกเชื่อว่าเจ้าชายมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาลจริงๆ น่ะ”

พอเปิดทางให้แบบนี้ คีธก็ได้ทีร่ายยาวออกมาเป็นมหากาพย์พลัน

“ดาวยูนิกมาของข้าได้ชื่อว่าเป็นดาวที่มีวิทยาการสูงเกือบที่สุดในจักรวาล ดังนั้น ยานของดาวข้าจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งพันปีแสงต่อวัน ขณะที่ยานขนาดเล็กจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งร้อยปีแสงต่อวัน ส่วนความไกลของดาวข้าและดาวของเจ้าห่างกันอยู่สิบห้าพันล้านปีแสง กระนั้นการเดินทางมาดาวของเจ้า ความเร็วเหนือแสงขนาดนั้นก็ไม่อาจมาถึงดาวของเจ้าในเร็ววันได้ พวกข้าจำต้องใช้รูหนอนในการเดินทาง กว่าข้าจะมาถึงดาวของเจ้าได้ ข้าต้องเดินทางในรูหนอนเพื่อย่นระยะเวลา รูหนอนที่มีพิกัดอยู่ใกล้ดาวของเจ้าที่สุดอยู่ห่างไปสี่หมื่นปีแสง ฟังดูเหมือนจะไม่ไกล แต่ข้าก็ต้องใช้เวลาถึงปีครึ่งในการมาถึงที่นี่ หากไม่รวมระยะเวลาที่ร่อนเร่อยู่ในอวกาศอีกสองปีครึ่ง รวมทั้งสิ้น ข้าเดินทางในอวกาศมายังดาวของเจ้าเป็นเวลาสี่ปี สรุปได้ว่า ต่อให้มีวิทยาการสูงเพียงใด การเดินทางในอวกาศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากเจ้าต้องการจะใช้ข้อมูลของดาวที่มีวิทยาการสูงสุดในจักรวาลแล้ว ข้อมูลจากดาวข้านับเป็นข้อมูลที่ดีและสมจริงที่สุด เสียดายนักที่ข้าไม่รู้ข้อมูลของพวกเซนไทน์ที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ไม่อย่างนั้นคงจะแนะนำเจ้าได้มากกว่านี้”

สิ้นเสียง ทั้งริชาร์ด ทั้งผมและลูกทีมที่ฟังอยู่ก็อ้าปากค้างไปทันที

สำหรับผม บอกได้เลยคำเดียวว่าอ้วกแตก! พูดอะไรของมันวะ ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด!

แต่สำหรับกูรูเอเลี่ยนอย่างริชาร์ดแล้ว หมอนั่นก็อึ้งได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนจะยิ้มร่าแล้วตบบ่าคีธเป็นการใหญ่

“เจ๋งว่ะ คำนวณเป๊ะแบบนี้เอาใจไปเลย ขอยืมข้อมูลมาใช้เลยนะ”

คีธพยักหน้ารับพลางหยักยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะอธิบายสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ซ้ำอีกรอบให้ริชาร์ดกับพรรคพวกจดตามเป็นพัลวัน

ผมยืนรออยู่พักใหญ่ ริชาร์ดก็ยอมปล่อยตัวคีธออกมาได้ แถมยังมีหน้ามากำชับผมอีกว่าให้ดูแลคีธให้ดีๆ เพราะหมอนั่นเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อหนังสั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะการตอบสนองเรื่องอย่างว่า

“บริการให้ดีๆ ล่ะคืนนี้น่ะ เดี๋ยวฉันออกค่าถุงยางให้” ริชาร์ดว่าไล่หลังขณะที่ผมกำลังจะออกจากสตูดิโอ

ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง พลันชูนิ้วกลางให้แล้วว่าเสียงขุ่น

“เก็บเงินไว้เป็นค่าทำแผลปากนายเหอะ”

ริชาร์ดไม่ถือสา หัวเราะร่วนแล้วหันกลับไปสนใจกับงานของตัวเองต่อ ผมเลยเดินออกจากห้องมา ปล่อยให้คีธเดินตามหลังต้อยๆ

“เดี๋ยวนายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องชมรมนะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” ผมว่าส่งๆ ขณะที่คีธหยุดเดินให้ผมหันกลับไปมอง

“อะไร” ผมถามเสียงขุ่นพลัน

“เจ้าไม่คิดจะถามข้าหน่อยรึว่าสิ่งที่ข้าพูดไปมันคืออะไร”

“จำเป็นต้องรู้มั้ย”

“ก็ไม่จำเป็น เพียงแต่ข้าอยากจะตอบแทนที่เจ้าสอนให้ข้ารู้ศัพท์ใหม่ของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินก็เท่านั้น”

หัวผมประมวลผลทันทีว่าผมไปสอนศัพท์ใหม่ให้หมอนั่นตอนไหน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้เมื่อหมอนั่นพูด

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเรียกสิ่งนี้ว่าโลลิป๊อป” แล้วก็ชี้ไปที่เป้ากางเกงตัวเอง

ผมรีบเข้าไปตะครุบมือหมอนั่นแล้วดึงออกห่างกลางลำตัวทันทีด้วยเห็นว่ารอบข้างมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพลุกพล่าน

“ไม่ต้องระบุพิกัด” ผมกัดฟันว่า หมอนั่นเลยยอมลดมือลง

“ตกลงเจ้าอยากจะถามอะไรข้าหรือไม่”

“ไม่” ผมปฏิเสธ ใจนี่อยากจะกลับห้องเต็มแก่แล้ว หากแต่คีธก็พูดขึ้นมาอีก

“ไม่ถามรึว่าเหตุใดข้าต้องดูดนิ้วอีกฝ่ายยามทักทายกัน”

ผมชะงักขึ้นมาในตอนนี้ จะว่าไปผมก็สงสัยมาพักหนึ่งแล้วเหมือนกัน ก็เลยยกมือขึ้นกอดอก เชิดหน้าถามกลับ

“แล้วดูดนิ้วทำไม”

“การทักทายโดยการดูดนิ้วอีกฝ่ายถือว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดของชาวยูนิกมา เพราะการดูดนิ้วนั้นถือว่าเป็นการสร้างชาวเราขึ้นมาให้เติบใหญ่ การแสดงความเคารพเช่นนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเจริญเติบโตของทารกชาวยูนิกมาที่ล้วนได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อและแม่ผ่านทางสารอาหารจากปลายนิ้ว”

ผมพยักหน้าเข้าใจ มิน่าล่ะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ขยันดูดนิ้วชาวบ้านไปทั่วเหลือเกิน

“อยากจะถามอะไรต่อหรือไม่” พออธิบายเรื่องแรกจบ ก็ถามขึ้นมาอีก

ผมส่ายหน้าดิก “ไม่ล่ะ ไม่อยากรู้”

“เรื่องอายุข้าก็ไม่อยากรู้รึ”

พอถูกถามแบบนี้ จากที่ไม่อยากรู้ก็อยากรู้ขึ้นมาทันควัน

“เออ แล้วนายอายุเท่าไหร่”

“สี่สิบสี่”

ผมอ้าปากค้าง “สี่สิบสี่เนี่ยนะ ทำไมดูอย่างกับรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเลยวะ”

“สี่สิบสี่ปียูนิกมา เท่ากับยี่สิบสองปีของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ชาวยูนิกมามีอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่า”

ผมร้องอ๋อทันใด “งั้นก็อายุเท่ากันกับฉัน ฉันก็ยี่สิบสอง”

คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ใจจริงผมก็มีเรื่องอยากจะถามต่อล่ะนะ แต่ดันได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงที่เป็นลูกมือของริชาร์ดดังขึ้นเรียกให้คีธไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ผมก็เลยเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ แล้วโบกมือไล่หมอนั่นแทน

“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ฉันจะได้กลับไปนอน”

คีธไม่ตอบรับ หมุนตัวไปยังห้องชมรม หากแต่ก็ชะงักขา แล้วเดินวนกลับมาหาผมอีกครั้ง

“เมื่อกลับถึงที่พักของเจ้า ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”

“อะไร” ผมมุ่นคิ้วแทบผูกกันเป็นโบว์ ก่อนหมอนั่นจะพูดขึ้น

“ข้าสงสัยนักว่าโลลิป๊อปของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินจะเหมือนกับของชาวยูนิกมาหรือไม่ เมื่อกลับไปถึงที่พักแล้ว ข้าอยากจะขอดูโลลิป๊อปของเจ้าสักหน่อย”

“คะ...ใครเค้ามาขอดูกันหน้าด้านๆ แบบนี้บ้างวะ!” หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

จะสองแง่สองง่ามมากเกินไปแล้ว!

“หากเจ้าให้ข้าดู ข้าจะให้ดูของข้าเป็นการตอบแทน”

ยังๆ มันยังไม่หยุดอีก!

“ไม่ดูเว้ย! รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยไป!” ผมรีบโบกมือไล่เป็นพัลวันขณะที่ความร้อนไม่ได้แล่นพล่านแค่ที่หน้า แต่ดันแล่นไปทั่วทั้งกายพร้อมกับก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นระทึกขึ้นมาเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่คลอดหมอนั่นในสภาพเปล่าเปลือย

จะว่าไปตอนนั้นผมก็เห็นโลลิป๊อปของหมอนั่นนี่หว่า... มะ...แม่ง! นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!

สิ้นเสียงผม คีธก็ทำท่าราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาว่าพูดอะไรออกไป ทว่าในจังหวะที่หมอนั่นหมุนตัวกลับไปยังห้องชมรม ผมดันแอบเห็นเสี้ยวหน้าของหมอนั่นมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่าถูกหมอนั่นแกล้งเข้าให้แล้ว

หน็อย... อีแบบนี้มันแกล้งโง่นี่หว่า! ไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่ชักจะลามปามมากเกินไปแล้ว!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel