บท
ตั้งค่า

Episode 06: Lollipop【1】

ดูดนิ้วของหมอนั่นแค่ครั้งเดียวก็เกินจะเหลือรับประทาน แต่นี่ดูดถึงสองครั้ง! สองครั้งที่มาจากการยัดเยียดให้ดูดตอนผมไม่ได้สติในครั้งแรก และครั้งที่สองจากการถูกบังคับ ซึ่งไม่ว่าจะครั้งไหน มันก็คือการขืนใจทั้งสิ้น!

ผมสาบานกับตัวเองไว้ตั้งแต่ผ่านคืนมหาวิปโยคนั้นไว้เลยว่าจะไม่มีทางกลายร่างจากหนุ่มเพลย์บอยเป็นนางเอกหนังเอวีอีก แม้ว่าไอ้น้ำใสๆ ที่ไหลจากปลายนิ้วหมอนั่นจะทำให้ผมมีอาการดีขึ้นกว่าเดิมก็ตาม แต่ก็ดีขึ้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ พอวันใหม่มาถึง ผมก็นอนแห้งเป็นผักจนหมอนั่นต้องมายัดเยียดให้ผมดูดนิ้วอีกเป็นครั้งที่สาม

ถามว่าผมดูดมั้ย... บอกเลยว่าไม่...

ไม่เหลือ! โดนมันจับยัดปากแถมขึงพืดอย่างนั้น ใครมันจะไปสู้ได้! ใช้ให้มันไปซื้ออาหารให้ มันก็ไม่ไป เอะอะก็จะให้ดูดนิ้วอย่างเดียว ดูดจนมันจะเอานิ้วทะลวงไปยังคอหอยได้อยู่แล้ว!

แต่การป่วยมันก็ดีอยู่อย่างนึงตรงที่พอผมไม่สบาย หมอนั่นก็เลยยกเลิกการดูดสารอาหารจากผมไปชั่วคราว ผมเลยไม่ต้องถูกมันบังคับให้ดูดนิ้ว แล้วก็ถูกมันดูดปากควบคู่กันไป และไอ้การรับสารอาหารจากหมอนั่นนี่แหละที่ทำให้ผมแงะตัวเองออกจากเตียงได้ กระนั้นอาการก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก แค่อยู่ในระดับที่พาตัวเองออกไปสูดอากาศนอกห้องได้เท่านั้น

และเหมือนริชาร์ดจะรู้ดีเสียด้วยว่าผมอาการดีขึ้นแล้ว เพราะพอรุ่งเช้ามาถึง หมอนั่นก็โทรสายตรงมาเร่งผมทันที เรื่องที่เร่งก็คือการพาคีธไปฟิตติ้งเสื้อผ้า ผมก็เลยต้องระเห็จพาหมอนั่นไปที่ห้องชมรมหนังมหา’ลัยตามนัดหมาย

พอมาถึงห้องชมรม เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของสมาชิกชมรมที่ดังลอดประตูออกมาก็ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ทุกคนวุ่นวายกันเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นคือพอเปิดประตูเข้าไป คนจำนวนมากที่อยู่ฝ่ายคอสตูมก็วิ่งวุ่นจัดเสื้อผ้าให้บรรดานักแสดงลองใส่กันจ้าละหวั่นก็ปรากฎสู่สายตา เห็นแล้วก็ชวนให้ปวดหัวเหลือเกิน

ผมพยายามไม่สนใจ ร้องเรียกรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเดียวกับลูกมือของริชาร์ดที่บรีฟบทให้นักแสดงที่มาแคสฯ บทเจ้าชายต่างดาวในวันนั้นให้ดูแลคีธที่เดินตามหลังมาต่อ ก่อนจะปลีกวิเวกมานั่งหลบมุมด้วยรู้สึกว่าตัวยังรุมๆ

หากแต่นั่งได้ไม่เท่าไหร่ คีธที่ถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องลองเสื้อเล็กๆ ก็กลับมาพร้อมกับรุ่นน้องของริชาร์ดคนนั้น ผมเหลือบมองแล้วก็ต้องส่ายหน้ากับความประหลาดของเสื้อผ้า

ก็เสื้อผ้าที่เขาใส่เป็นหลักมันเป็นชุดบอดี้สูทสีดำที่มีผ้าคลุมยาวสีแดงปกคอตั้งและรองเท้าบูทหนังสีดำยาวเต็มแข้งเป็นองค์ประกอบ ดูยังไงก็น่าจะเป็นชุดสำหรับรับบทเป็นแดร็กคิวล่ามากกว่าเจ้าชายต่างดาว แถมยังไร้เซ้นต์ด้านแฟชั่นสุดๆ จัดมาได้ยังไง สีโทนเดียวกันทั้งชุด ดีที่รองเท้าบูทยังมีดิ้นทองพอให้มีลวดลายแปลกตาบ้าง และหน้าตาคีธก็ดีพอที่จะกลบความบกพร่องของชุดนั้นได้ ยิ่งผ่านการแต่งหน้าทำผมมาแล้ว ก็ยิ่งดูดีอย่างไม่มีที่ติ ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่รอช้า ไปด่าคนจัดเสื้อผ้าให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว

“เควินคะ เดี๋ยวช่วยรับช่วงพาคีธไปที่ห้องสตูดิโอข้างๆ ได้มั้ย จะได้ถ่ายรูปไว้ทำโปสเตอร์น่ะค่ะ” ลูกมือของริชาร์ดไหว้วานผมหน้าตาเฉยโดยไม่ดูสีหน้าผมเลยว่าอยู่ในอารมณ์อยากช่วยหรือเปล่า

พอผมไม่ตอบรับ เอาแต่มองหน้าเธออย่างเคืองๆ เธอก็ย้ำขึ้นอีกครั้งจนผมต้องชักสีหน้าใส่

“แล้วไอ้ริชาร์ดมันไปไหน”

“ไปประชุมเรื่องโลเคชันที่ใช้ถ่ายทำน่ะค่ะ อีกสักพักคงจะไปที่สตูดิโอ”

ผมล่ะอยากจะด่าไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ งานก็ไม่ใช่งานผมแต่ต้องมารับผิดชอบโน่นนี่อย่างกับเป็นงานของตัวเอง

อยากจะปฏิเสธลูกมือของริชาร์ดเหมือนกัน แต่พอเห็นเธอถูกเรียกซ้ายทีขวาทีแล้ว ผมก็อดสงสารไม่ได้ ยอมรับปากส่งๆ ไป

“เออๆ เดี๋ยวจะจัดการให้”

“ขอบคุณมากค่ะ!” ยัยนั่นตอบรับดีใจเสียงหลง ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระปะปังในส่วนอื่นต่อ ทิ้งให้ผมกับคีธมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งหมอนั่นทำลายความเงียบออกมา

“เสื้อผ้ามนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินช่างล้าสมัยนัก เสื้อผ้าของชาวยูนิกมาทันสมัยกว่าเป็นไหนๆ”

“เออ ทันสมัยมาก ทันสมัยจนล้ำอนาคตไปไกลละไอ้ชุดบอดี้สูทสีเงินเลื่อมของนายน่ะ ถ้ามีปีกด้วย ฉันคงเข้าใจว่านายเป็นแมลงทับแทนมนุษย์ต่างดาวไปแล้ว” ผมค่อนแคะ

คีธย่นคิ้วไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าแมลงทับหมายถึงอะไร แต่ผมไม่สนใจ นอกจากผุดลุกขึ้นแล้วเดินนำเขาออกจากห้องให้เขาเดินตามต้อยๆ เท่านั้น

ห้องสตูดิโอที่ลูกมือริชาร์ดว่าอยู่ข้างห้องชมรมนั้น จริงๆ แล้ว บ้านผมไม่เรียกว่าข้างๆ เพราะมันอยู่ห่างกันคนละโยชน์ เรียกได้ว่าเดินออกจากห้องชมรมมา ก็ต้องเดินเลาะไปตามทางเดินไปจนสุดทางของตึกแล้วเลี้ยวขวาถึงจะเจอห้องสตูดิโอ ผมอยากกลับถ่อสังขารกลับไปกระชากยัยนั่นมาตะคอกใส่หน้าเหมือนกันว่า ‘นี่เรียกว่าข้างๆ บ้านหล่อนเหรอ!’ แต่ผมไม่ลงทุนขนาดนั้น ได้แต่บ่นในใจไปตามเรื่องแล้วผลักประตูบานเขื่องเข้าไป

ข้างในก็เหมือนกับห้องสตูดิโอทั่วไป ห้องถูกแปะด้วยฉากกั้นสีดำ มีฉากสีขาวและไฟสำหรับถ่ายภาพอยู่กลางห้อง ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ข้างในไม่มีใครอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ผมเลยต้องรับหน้าที่มาเปิดห้องเปิดไฟให้อีก รับรองเลยว่าถ้าไอ้ริชาร์ดโผล่หน้ามาล่ะก็ ผมด่ามันเปิงไม่ไว้หน้าแน่ที่ทำให้ผมต้องมาลำบากขนาดนี้

พอจัดการกับห้องเสร็จ ผมก็พาตัวเองเดินมาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้มุมห้อง ความวิงเวียนและพิษไข้ยังคงเล่นงานผมอย่างต่อเนื่องจนชักจะรู้สึกว่าเริ่มฝืนสังขารไม่ไหวแล้ว

แย่ชะมัด นี่คงเป็นผลพวงจากการเที่ยวกลางคืนหนักสินะ ไม่สิ... ไม่ใช่เที่ยวกลางคืนหนัก เป็นเพราะถูกไอ้บ้าหน้าตายนั่นดูดปากหนักไปต่างหาก!

ผมก้มหน้าลง ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางบนหัวเข่าแล้วเอายันหน้าผากตัวเองไว้ ไม่เคยรู้สึกว่าหัวตัวเองหนักได้เท่าตอนนี้เลย อยากกลับห้องไปนอนชะมัด

และเพราะท่าทางจะเป็นจะตายของผม ทำให้คีธที่ยืนมองอยู่ต้องทำลายความเงียบออกมา

“อาการป่วยของเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก”

“เพราะใครล่ะ” ผมว่าเสียงเขียว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ หากแต่คีธกลับตอบออกมาหน้าตาเฉย

“เพราะข้า”

“ไม่ได้เล่นเกมยี่สิบคำถามนะเว้ย อย่ามากวน” ผมเงยหน้าว่าดุๆ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้คีธสำนึกได้สักนิด ซ้ำยังพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องย่นคิ้วขึ้นมาอีก

“หากเจ้าอยากหาย ก็จงรับสารอาหารจากข้าซะ” ไม่ว่าเปล่า มันยังยื่นนิ้วชี้มาตรงหน้าผมอีกด้วย

ผมเงยหน้ามองนิ้วชี้เรียวที่ดูดไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วนด้วยสีหน้าพะอิดพะอมเล็กน้อย ก่อนจะมองเลยขึ้นไปยังใบหน้าหล่อๆ อย่างหัวเสีย

“บอกเลยว่าฉันไม่ดูดนิ้วนายอีกแล้ว ดูปากนะ ไม่-ดูด!” ผมตะคอก ก่อนจะไอโขลกจนตัวโยน

คีธมองผมนิ่ง แวบหนึ่งที่ผมเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยก่อนที่มันจะหายไปในพริบตา

“ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะดูดเองหรือต้องให้บังคับอีก”

ได้ยินคำว่า ‘บังคับ’ ความมึนในหัวผมก็อันตรธานหายไปทันใด ผมมองหน้าหมอนั่นพลางเบิกตาโต ขณะที่หมอนั่นยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่ก็รับรู้ได้ว่าหมอนั่นพูดจริง แล้วก็เอาจริงด้วยถ้าผมไม่ยอม ดูจากวันอื่นๆ ก็น่าจะรู้แล้วว่าผมจะตกอยู่ในชะตากรรมแบบไหนในอีกไม่กี่นาทีต่อไป

ไอ้ดูดในห้องน่ะมันไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ดูดนอกสถานที่นี่มันก็เกินไปมั้ง

“แต่นี่มันห้องสตูดิโอนะเว้ย” ผมก็เลยอ้างเรื่องสถานที่ไป

หากแต่มันไม่ได้ผล เพราะคีธยังคงมองผมด้วยสายตาแบบเดิมแล้วว่าออกมาเสียงเรียบ

“ที่ไหนก็บังคับได้ถ้าข้าจะทำ”

“แล้วถ้ามีคนมาเห็นจะทำยังไง” ผมเริ่มโวยวาย แต่ก็อย่างที่บอกว่าโวยวายไปก็เท่านั้นเพราะหมอนั่นไม่ฟัง พูดแต่สิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเท่านั้น

“เลือกมาว่าจะดูดหรือไม่ดูด”

ผมเม้มปากแน่น มองหน้าหมอนั่นที่ดูก็รู้ว่าถ้าผมไม่ตัดสินใจว่าจะดูดเอง ผมต้องโดนมันขืนใจให้ดูดนิ้วอีกแน่ เลยต้องรับปากไปอย่างไร้ทางเลือก

“เออ! ดูดก็ดูด”

สิ้นเสียง คีธก็ส่งนิ้วมาจ่อปากผมทันใด ผมรีบคว้ามือหมอนั่นไว้ก่อนที่ปลายนิ้วจะพุ่งเข้าไปในปาก แล้วว่าอย่างหงุดหงิด

“ไม่ต้องยัด เดี๋ยวจัดการเอง”

คีธเลิกคิ้วเล็กน้อย ชูนิ้วชี้รอให้ผมดูด ผมชั่งใจครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปากงับเอาปลายนิ้วหมอนั่นเข้าไปอยู่ดี

รสหวานปะแล่มไหลเข้าปากทีละน้อย มันทำให้ผมรู้สึกมีกำลังขึ้นกว่าเดิมพอสมควร กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้น้ำหนักที่หัวเบาลงได้เลย ดูดไปได้สักพัก ผมก็ต้องยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาวางบนเข่าแล้วยันหัวตัวเองเอาไว้อีกครั้ง

ตอนแรกผมก็ดูดไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอรู้สึกว่าคีธขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมก็รู้สึกตัวเอาในตอนนี้ว่าระดับสายตาตัวเองอยู่กับระดับเป้ากางเกงมันพอดี

จะเลื่อนเป้าเข้ามาหากูเพื่อ!?

ผมลำสักน้ำลายตัวเอง คายปลายนิ้วหมอนั่นออกจากปากอย่างรวดเร็ว

“ทำบ้าอะไรของนาย!” แล้วก็โวยวาย

“ข้าเห็นเจ้าดูดไม่ถนัดก็เลยกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ” หมอนั่นดูเหมือนจะรู้ว่าผมโวยวายเรื่องอะไรเลยตอบออกมาหน้าตาย ขณะที่ผมผลักหมอนั่นออกห่าง

“เอาเป้ามาใกล้จนจะเกยหน้าฉันแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นก็นึกว่าฉันกำลังกินโลลิป๊อปของนายอยู่พอดี”

“โลลิป๊อป?”

“เออ โลลิป๊อป” ผมไม่อยากจะอธิบายเลยว่าไอ้โลลิป๊อปที่หมายถึงคือจุ๊กกรู้ของหมอนั่น เลยได้แต่เออออส่งๆ

ทว่าหมอนั่นก็ทำให้ผมเกือบจะลืมไปว่าตัวเองป่วยเมื่อจู่ๆ ก็ดึงมือที่ให้ผมดูดกลับแล้วเลื่อนไปชี้เป้าตัวเอง

“โลลิป๊อป?”

มึงไม่ต้องย้ำก็ได้!

ผมปวดกะโหลกหนักกว่าเดิมก็ในตอนนี้ รีบดึงมือหมอนั่นออกจากเป้ากางเกงแล้วเอากลับมาดูดเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่

ดีที่คีธไม่ถามอะไรต่อ ปล่อยให้ผมดูดนิ้วดังเดิม หากแต่ครั้งนี้ผมดูดด้วยท่าทางหวาดระแวง เหลือบมองไปยังประตูเป็นระยะๆ ด้วย ที่หวาดระแวงก็ไม่ใช่อะไร กลัวว่าจะมีคนโผล่ทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นแล้วเข้าใจผิดว่าผมกำลังกินโลลิป๊อปของหมอนี่อยู่จริงๆ

คีธเห็นว่าผมมีท่าทีแปลกๆ ไปก็เลยโพล่งขึ้น

“หากเจ้าเป็นกังวล ข้าจะกำบังให้” แล้วมันก็ใช้มือข้างที่ว่างดึงชายผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัวผมเอาไว้

ผมรีบดึงผ้าคลุมนั่นออก แล้วแหวใส่หมอนั่น

“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!”

“ก็เจ้าเป็นกังวล ข้าก็เลยกำบังให้”

“ถ้าจะกำบังอย่างนี้ล่ะก็ไม่ต้องเลย คลุมไว้แบบนี้นี่คนเข้ามาเห็นจะได้ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่”

“ก็ยังดีกว่าให้คนอื่นมาเห็นเจ้าจังๆ แล้วกัน” หมอนั่นไม่ฟัง แถมยังยอกย้อน

ยอกย้อนอย่างเดียวไม่พอ ยังตลบชายผ้าคลุมมาคลุมหัวผมอีกรอบ ผมทำท่าจะมุดออก แต่ไม่ทันแล้ว หมอนั่นเอามือข้างที่ว่างกดหัวผมผ่านผ้าคลุมให้ลงต่ำ ขณะที่อีกมือหนึ่งใต้ผ้าคลุมเลื่อนมายัดปลายนิ้วเข้าปากผม ตอนนี้สภาพผมก็เลยกลายเป็นผีผ้าคลุมกินโลลิป๊อปไปเรียบร้อย

แน่นอนว่าผมไม่ยอมตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชอย่างนี้แน่ โดยเฉพาะอยู่ข้างนอกที่รโหฐานอย่างนี้!

ผมขืนตัว พยายามสะบัดหัวตัวเองออกจากฝ่ามือใหญ่ แต่ไม่ว่าจะออกแรงยังไงก็ไม่อาจสู้แรงของคีธได้ ผมเลยตัดสินใจว่าจะกัดนิ้วให้มันยอมปล่อย ทว่าคีธดันรู้ทัน พูดขึ้นมาก่อน

“เคยบอกไว้แล้วว่าถ้ากัดนิ้วข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”

งั้นก็ฆ่ากูเลยเถอะ ข่มเหงกันถึงขนาดนี้แล้วอย่าไว้ชีวิตกันอีกเลย!

ถูกขู่อย่างนั้น ผมก็เลยไม่กล้ากัด เอาแต่ฝืนเงยหน้าขึ้นจากมาแทน จนกลายเป็นว่าพอผมผงกหัวขึ้น คีธก็กดหัวผมลงมาอีก แล้วก็เป็นอย่างนี้อยู่ครู่ใหญ่จนผมชักจะคิดว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้เหมือนกับกำลังถูกบังคับให้ทำอะไรกับโลลิป๊อปอยู่ก็ไม่ปาน

มันจะอุบาทว์เกินไปแล้ว!

ผมสู้สุดกำลัง พยายามคายนิ้วที่อยู่ในปากออกจนน้ำลายเปรอะเปื้อนใบหน้าไปหมด ขณะที่คีธเองก็ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ ซ้ำยังย้ำขึ้นมาอีก

“ดูดจนกว่าเจ้าจะมีอาการดีขึ้น อย่าขัดขืน”

มันควรจะขัดขืนมั้ยเล่า! อยู่ในสภาพนี้เนี่ย!

แล้วสวรรค์ก็ยังไม่สาแก่ใจกับความอุบาทว์นี้ ยังส่งใครบางคนเปิดประตูผางเข้ามาตอนที่ผมกำลังถูกคีธกดหัวลงอีก

เสียงพูดคุยนั้นหยุดชะงักทันที จังหวะเดียวกับที่คีธคลายแรงจากการกดเพื่อหันไปมอง ผมสะบัดตัวหลุดออกจากผ้าคลุมก็ในตอนนี้ พอเห็นว่าเป็นริชาร์ดกับลูกมืออีกสองคนที่โผล่หน้าเข้ามา ผมก็อ้าปากค้าง ขณะที่พวกหมอนั่นก็อ้าปากค้างไปเหมือนกัน

อ้าปากค้างอย่างเดียวไม่พอ ใครบางคนยังทำเอกสารที่ถืออยู่ในมือตกลงพื้นเพราะอึ้งงันอีกด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel