Episode 05: A porn star【2】
“เอ่อ...คีธ...”
ผมทำท่าจะบอกเขาว่าอาแปะนี่เพิ่งจะเช็ดประตูหลังมาสดๆ ร้อนๆ แถมยังไม่ได้ล้างมือด้วย แต่ไม่ทันแล้ว แค่ผมอ้าปาก ไอ้คีธมันก็คว้ามืออาแปะไปดูดดังจ๊วบเป็นที่เรียบร้อย
“ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านผู้เฒ่าลีโอเธ”
อะ...เอิ่ม... ช่างแม่งก็แล้วกัน
ผมทำหน้าสะอิดสะเอียน ความอยากกินบะหมี่หมดไปทันตา พอวางกล่องบะหมี่ลงบนโต๊ะ อาแปะก็หันมาให้ความสนใจกับผมอีกครั้ง
“ลื้อจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าชาวโอนิซิสคืออะไร แล้วผู้พิทักษ์แห่งยูนิกมาคืออะไร แล้วอั๊วรู้จักท่านผู้พิทักษ์นี่ได้ยังไง” ที่ถามอย่างนี้คงเพราะเห็นผมไม่แสดงท่าทีตกใจอะไรออกมาที่ได้เจอมนุษย์ต่างดาวตัวที่สองแบบไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง
“ไม่ล่ะ”
พอผมปฏิเสธ คิ้วยุ่งๆ ของอาแปะก็ยุ่งกว่าเดิมอีก
“ไม่ตกใจเลยรึ”
“แค่รู้ว่าตัวจริงของแปะเป็นมนุษย์ต่างดาวน่ะไม่น่าตกใจเท่าถูกไอ้บ้านี่แหวกสะดือออกมาหรอก”
อาแปะร้องอ๋อแล้วหัวเราะร่วนออกมาทันที
“ที่แท้ลื้อก็เป็นโฮสต์ให้ท่านผู้พิทักษ์น่ะเอง มิน่าถึงได้ดูไม่ตกใจที่รู้ว่าตัวจริงของอั๊วเป็นใคร เออ ไอ้หมอนั่นก็เป็นชาวโอนิซิสเหมือนกันนะ” ว่าจบ เขาก็หันไปชี้นิ้วที่ลูกจ้างของตัวเอง ก่อนที่ลูกจ้างนั่นจะหันมายิ้มให้ผมพร้อมเผยตัวตนให้เห็นแวบหนึ่ง
จากที่ไม่ตกใจ ผมก็ต้องตกใจในตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าแหลมเล็กสีม่วงเข้มและดวงตาปูดโปนฉาบแวบขึ้นมาแทนใบหน้าของมนุษย์โลกทั่วๆ ไป พออาแปะเห็นดวงตาเบิกโตของผมก็ระเบิดหัวเราะลั่น
“ตกใจแล้วสินะ”
“ตกใจสิแปะ ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว แล้วนี่ไปเอาหนังมนุษย์ที่ไหนมาใส่น่ะ” ผมถามอย่างนี้เพราะคิดว่ามนุษย์ต่างดาวพันธุ์ของอาแปะนี่น่าจะมีสกิลในการถลกหนังหรืออะไรเทือกนี้
ทว่าเขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ชาวโอนิซิสมีความสามารถในการลอกเลียนรูปร่างของชาติพันธุ์อื่นๆ ไม่ได้ไปเอาหนังมนุษย์มาใส่ตบตา ไม่ต้องห่วง”
“แล้วแปะมาที่โลกทำไม” ผมถามแบบนี้เพราะรู้อยู่แล้วล่ะว่าการที่มนุษย์ต่างดาวมาที่โลกต้องมีเหตุผลบางอย่างเหมือนกับคีธ และดูท่าทางเหตุผลนั้นจะเหมือนกับคีธเสียด้วย
“โดนไล่ล่าน่ะ ก็เลยอพยพมา”
เห็นมั้ย เหมือนอย่างที่ผมคาดเดาไม่มีผิด!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ปวดหัวหนึบขึ้นมาเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็มาอยู่ในดงมนุษย์ต่างดาวโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ อาแปะเรียกคีธว่าอะไร เลยหันไปถามหมอนั่นที่นั่งหน้าตายอยู่ข้างๆ
“เห็นแปะเรียกนายว่าเป็นผู้พิทักษ์ ผู้พิทักษ์นี่คืออะไร ใช่แบบพวกอัศวินอะไรแบบนี้ปะ”
คีธพยักหน้าน้อยๆ “ถ้าเป็นภาษาของมนุษย์โลกน่ะใช่ ข้าเป็นอัศวิน ผู้ปกป้องเชื้อพระวงศ์ของยูนิกมา”
เพิ่งจะรู้ในตอนนี้นี่แหละว่าดาวดวงอื่นก็มีระบอบกษัตริย์ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการที่อาแปะบอกว่าเคยได้ยินชื่อหมอนี่มาก่อน นั่นก็หมายความว่าเขาคงจะเป็นพวกฝีมือดีน่าดู ถึงได้เป็นที่รู้จักอย่างนี้
ทว่าไม่ทันจะได้ปริปากถาม อาแปะก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ท่านคีทาเยน่ะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่โด่งดังมากเลยนะ มีวีรกรรมเด็ดๆ อย่างเยอะ ทั้งปราบพวกปรสิตอวกาศ ทั้งรับมือกับพวกฮิวมานอยด์สายพันธุ์รุกราน ไหนจะช่วยพวกชาติพันธุ์อื่นที่ถูกรุกรานอีก จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยูนิกมาเลยล่ะ”
เรื่องแข็งแกร่งน่ะไม่เถียง จากที่เห็นมันพังประตูห้องก็น่าจะพอรู้อยู่
“ว่าแต่ทำไมท่านผู้พิทักษ์ถึงมาอยู่ที่โลกมนุษย์ได้ล่ะ” ว่าจบก็หันไปถามคีธ
“ยูนิกมาถูกพวกเซนไทน์รุกราน เลยต้องอพยพไปที่ดาวดวงอื่น ข้าได้รับมอบหมายให้มาสมทบกับพรรคพวกที่พาองค์ชายเสด็จมายังดาวเคราะห์สีน้ำเงินก่อนหน้า แต่ถูกพวกไซนไทน์ไล่ล่าทันเลยต้องสละยานกลางคัน ข้าก็เลยพลัดหลงกับพวกพ้อง”
อาแปะพยักหน้ารับราวกับเข้าใจเรื่องราวได้เป็นอย่างดี มีแต่ผมนี่แหละที่ทำหน้างงๆ
“งั้นตอนนี้ท่านก็กำลังตามหาพรรคพวกอยู่ล่ะสินะ”
คีธพยักหน้าอีกครั้ง “แล้วท่านผู้เฒ่าเห็นพรรคพวกของข้าบ้างหรือไม่”
“ถ้าถามถึงแถวนี้ล่ะก็ ไม่เคยเห็นนะ แต่เคยได้ยินมาว่ามีพวกยูนิกมาอยู่ในอเมริกาเหมือนกัน”
“ที่ไหนรึ”
“จำไม่ผิดก็น่าจะในแอลเอ แถวฮอลลีวูดล่ะมั้ง”
ผมย่นคิ้วพลัน มนุษย์ต่างดาวบ้าอะไรจะไปโผล่อยู่ในฮอลลีวูด แต่ดูท่าทางคีธคงจะเชื่อไปแล้วเรียบร้อย
“แล้วข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร”
“นั่งรถไป ขึ้นเครื่องบิน ไม่ก็ให้อาเควินพาไป”
ความซวยตกมาอยู่ที่ผมทันที คีธมองหน้าผมก่อนจะพูดออกมา
“พาข้าไปหน่อย”
“มันใช่ธุระกงการอะไรของฉันมั้ยเนี่ย” ผมแผดเสียงที่จู่ๆ ก็ถูกลากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทว่าก็ต้องเงียบเสียงเมื่อถูกคีธขู่
“หากเจ้าไม่ต้องการเป็นโฮสต์ให้ข้าไปชั่วชีวิต ก็จงช่วยข้า”
เวรเอ๊ย... นี่ผมจะเอาชนะหมอนี่สักครั้งไม่ได้เลยหรือไง
“เอาน่าอาเควิน แค่พาท่านผู้พิทักษ์ไปส่งที่ฮอลลีวูดแค่นี้ ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่หรอก”
“ไม่หนักหนาบ้าไรแปะ พาไปส่งก็ต้องใช้เงิน แถมฮอลลีวูดก็ไม่ใช่เล็กๆ พาไปหาใครก็ยังไม่รู้เลย แม่ง ปวดกบาลฉิบ” ปลายประโยคนี่ผมบ่นเองคนเดียวเบาๆ ทำให้อาแปะเอื้อมมือเหี่ยวย่นมาตีบ่าผม
“ถือว่าช่วยเหลือในฐานะโฮสต์ก็แล้วกัน เราเป็นสายพันธุ์ฮิวมานอยด์ประเภทรักสันติเหมือนกัน ช่วยๆ กันไปน่ะดีแล้ว ลื้อควรจะยินดีด้วยซ้ำที่ได้เป็นโฮสต์ของท่านผู้พิทักษ์ มนุษย์โลกอย่างลื้อน่ะไม่รู้หรอกว่าชาวยูนิกมาสูงส่งแค่ไหน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดในจักรวาลเลยก็ได้มั้ง”
ยินดีกับผีเหอะ! โดนมันวางไข่ คลอดมันออกมา เป็นแหล่งอาหารให้มัน แถมยังถูกมันขู่ฆ่า ใครมันจะไปยินดีวะ!
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ได้แต่เบ้หน้าเมื่ออาแปะตัดบทเอาดื้อๆ
“ไหนๆ ก็ได้เจอกับท่านผู้พิทักษ์โดยบังเอิญแล้ว มื้อนี้อั๊วจะเลี้ยงก็แล้วกัน กินเยอะๆ นะท่าน ไม่ต้องเกรงใจ” ว่าจบ ก็หันไปสั่งลูกจ้างให้ทำบะหมี่กล่องใหม่มาเสิร์ฟเพิ่ม
พอบะหมี่มาวางอยู่บนโต๊ะ เขาก็ขอตัวไปทำความสะอาดหลังร้าน ทิ้งให้ผมกับคีธนั่งมองหน้ากันเงียบๆ แน่นอนแหละว่าผมทำหน้าบอกบุญไม่รับ ขณะที่หมอนั่นมองหน้าผมนิ่ง แล้วก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“ป้อนหน่อย”
“เป็นง่อยหรือไง กินเองไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” ผมหลุดบ่นออกมาเป็นภาษาไทย
เหมือนเขาจะฟังรู้เรื่องนะ เพราะพอผมพูดจบ เขาก็หันไปคว้าตะเกียบมาจัดการคีบบะหมี่เข้าปากอย่างทุลักทุเล ผมมองได้ครู่หนึ่งก็คว้ากล่องบะหมี่มากินบ้าง
ดีเหมือนกัน ในเมื่ออาแปะนี่มัดมือชกกันแบบนี้ จะกินฟรีให้ร้านเจ๊งแม่งไปเลย
หากแต่ผมกินเข้าไปได้ไม่กี่คำ คีธก็วางกล่องบะหมี่กับตะเกียบลง แล้วหันมาจับไหล่ผมด้วยสองมือให้หมุนเข้าหาตัว
“กินด้วยวิธีแบบมนุษย์โลกมันลำบาก”
ผมถลึงตาโตในวินาทีนั้น ปากกลืนเส้นบะหมี่ลงคออย่างยากลำบากฉับพลัน
พูดมาอย่างนี้ ยะ...อย่าบอกนะว่า...
“ขอกินสารอาหารจากเจ้าหน่อย”
“เดี๋ยว! อุ๊บ!”
ห้ามไปก็ไม่ทันแล้ว ไม่ทันจะพูดจบ ไอ้บ้าคีธก็ดึงผมเข้าไปจูบทันใด ร่างกายผมสั่นเทา อ่อนปวกเปียกไปภายในเวลาไม่ถึงนาที ความวิงเวียนเข้าจู่โจมจนแทบทรงตัวไม่อยู่ จังหวะเดียวกับที่อาแปะกับลูกจ้างเดินออกมาจากหลังร้านพอดี พอเห็นผมกำลังถูกคีธสูบอย่างดูดดื่ม ก็พากันถอยกลับเข้าไปหลังร้านอีกครั้ง
ถึงจะรู้ว่าพวกนั้นรู้ว่านี่คือการกินสารอาหารของคีธ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่า แม่ง! ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ อีกแล้ว!
เพราะถูกดูดสารอาหารติดต่อกันมากเกินไป ร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน พอกลับมาถึงห้อง ผมก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา ผมอัดยาแก้ไข้แล้วรีบเข้านอนด้วยหวังว่าอาการจะทุเลาลงบ้าง แต่จนแล้วจนรอด อาการที่คาดว่าจะเบาลงก็ไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย กลับหนักขึ้นด้วยเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าช่วงกลางดึก
ผมนอนเหงื่อแตกพลั่กทั้งที่รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ร่างกายหนักอึ้งและตัวร้อนฉ่าดุจเปลวไฟทำให้รู้ว่าอาการของตัวเองไม่ใช่เล่นๆ แล้ว พรุ่งนี้คงจะไปเรียนไม่ไหวแน่ ผมเลยฝืนตื่นขึ้นมาส่งข้อความไปบอกริชาร์ดลวกๆ ว่าไม่สบาย จะไม่ไปเรียน ฝากมันเล็คเชอร์ด้วยแล้วล้มตัวลงนอนต่อ
หากแต่พอผมพยายามข่มตาหลับ อาการปวดหัวก็แล่นพล่านขึ้นมาจนหลับไม่ลง กลายเป็นดิ้นไปมาบนเตียงอย่างทรมานแทน
สงสัยต้องอัดยาเพิ่ม...
ผมพยายามดันตัวขึ้นนั่งเพื่อจะคว้ากระปุกยาพาราเซตามอลมากิน แต่โลกก็หมุนติ้วจนผมไม่อาจจะทรงตัวได้ ต้องทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิมอย่างไร้ทางเลือก
ผมล่ะเกลียดที่สุดเลยเวลาป่วยเนี่ย เพราะนอกจากมันจะทรมานชวนน่ารำคาญแล้ว ยังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่เต็มที่อีก
ทว่าสวรรค์ก็เหมือนจะเมตตา ในจังหวะที่ผมทิ้งตัวลงนอน ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของคีธ หมอนั่นเดินมาเปิดไฟเพดานอย่างถือวิสาสะจนผมต้องแหวใส่
“เปิดไฟทำบ้าอะไร”
“ข้าจะเช็ดตัวให้”
“จะทำอะไรนะ”
“เช็ดตัว” หมอนั่นว่าเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าหากมนุษย์โลกป่วยด้วยไข้ การดูแลอาการในขั้นแรกคือการทำให้ตัวเย็นลง”
ผมหรี่ตาขึ้นมองทันที แล้วก็เห็นว่าในมือหมอนั่นมีกะละมังใส่น้ำในมือและผ้าเช็ดตัวผืนเล็กพาดบ่าอยู่ ผมอยากจะบอกให้มันไสหัวไปฉิบเป๋ง แต่ก็ไม่ทันเพราะหมอนั่นพูดจบ ก็เดินเข้ามาวางกะละมังบนโต๊ะข้างหัวเตียง ทิ้งตัวนั่งข้างผมเป็นที่เรียบร้อย
“เออ จะทำอะไรก็ทำเหอะ เร็วๆ เข้าล่ะ ฉันจะได้นอน” สุดท้าย ผมก็ต้องยอมจำนน
คีธพยักหน้า เอื้อมมือไปชุบผ้าเช็ดตัวแล้วบิดหมาด ผมปิดเปลือกตาลง ไม่ได้ฉุกใจคิดเลยแม้แต่น้อยว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่จะเช็ดตัวเป็นหรือไม่ และการที่ผมละเลยข้อสงสัยนี้ไป คีธก็ทำสิ่งที่สร้างความพรึงเพริดให้ผมเป็นอย่างมาก เพราะทันทีที่ผมหลับตา หมอนั่นก็เอื้อมมือไปจับขากางเกงขายาวที่ผมใส่นอน แล้วดึงมันออกอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว กางเกงขายาวก็หลุดไปกองยังข้อเท้า เหลือแต่กางเกงบ็อกเซอร์ที่ยังปิดบังส่วนสำคัญเอาไว้
ถอดทำเตี่ยมึงเหรอ! แค่ถลกขากางเกงขึ้นมาก็ใช้ได้แล้วมั้ง!
“เดี๋ยวๆ!” ผมร้องห้ามทันทีเมื่อเห็นว่าคีธกำลังจะโปะผ้าเช็ดตัวเปียกลงไป
หมอนั่นชะงัก มองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วสูง
“ถามจริงจะถอดทำไมวะ เลิกขากางเกงขึ้นมาก็พอแล้ว”
“ข้าเกรงว่าจะคลายความร้อนในตัวเจ้าได้ไม่หมดจึงจำเป็นต้องเปลื้องผ้า”
เหตุผลโคตรปัญญาอ่อนเลย!
“ไม่ต้องเลย ขาไม่ต้องเน้น บ้านนายเช็ดตัวลดไข้กันนี่เน้นที่ขาเหรอวะ เค้าเน้นกันที่ช่วงตัวเว้ย หน้าอก คอ หลังอะไรแบบนี้ ไม่ใช่ขา” ผมว่าเสียงขุ่นขณะที่อีกฝ่ายยังคงทำหน้าตาย
ให้ตายเหอะ ขนาดผมป่วยอย่างนี้ หมอนี่ยังทำให้ผมหัวเสียจนแทบเป็นบ้าได้ มันจะสามารถเกินไปแล้ว!
แต่ยังดีที่หมอนี่เชื่อฟัง พอสิ้นเสียง มันก็ดึงกางเกงขึ้นมาใส่ให้เหมือนเดิม แล้วขยับมาถลกชายเสื้อผมขึ้น ถลกอย่างเดียวไม่พอ ยังกระชากจนเสื้อออกจนผมที่นอนอยู่เด้งไปตามแรงกระชาก รู้ตัวอีกที เสื้อก็หลุดออกจากตัวไปแล้ว
ถอดล่างไม่ได้ก็เลยมาถอดบนหรือไงวะ!?
จนปัญญาจะด่า ได้แต่ถอนหายใจแล้วปล่อยให้หมอนั่นวางผ้าเช็ดตัวแหมะลงบนแผงอก แล้วก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อหมอนั่นไม่ได้เช็ดตัวแบบปกติที่คนทั่วไปทำกัน แต่ดันวางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนผ้าแล้วถูไปมาอย่างกับถูพื้น
ถูอย่างเดียวไม่เท่าไหร่ เน้นถูหัวนมอีก ถูจนจะเงาเป็นกระจกส่องหน้ามันได้อยู่แล้วเนี่ย!
ผมกัดฟันแน่น พยายามข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมา รอให้มันทำให้เสร็จจะได้นอน พอเสร็จแล้ว คีธก็คว้าเสื้อมาใส่คืนให้ ผมรีบโบกมือไล่ทันที
“เสร็จแล้วก็ออกไป ที่นอนนายอยู่ข้างนอก”
คีธพยักหน้า แต่ยังไม่ยอมออกไป ทำให้ผมต้องจ้องเขม็ง
“อะไรอีก”
“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก หากไม่รีบฟื้นฟู เจ้าจะเป็นอันตรายได้”
“งั้นก็ส่งยามา จะได้กิน” ผมชี้นิ้วไปยังกระปุกยาข้างเตียง ทว่าสิ่งที่คีธส่งกลับมาก็คือนิ้วชี้ของตัวเอง
“กินสารอาหารจากข้า ยาของเจ้าไม่ช่วยให้หายไวนัก”
ผมเหลือบมองปลายนิ้วชี้ที่ครั้งหนึ่งเคยดูดตอนสลบก็เบ้หน้าทันที
ฝันไปเถอะ! ใครมันจะไปยอมดูดกันวะ!
“ฉันจะกินยา” สุดท้าย ผมก็ปัดมือหมอนั่นทิ้ง ทำท่าจะลุกขึ้น เอื้อมมือไปหยิบยา
หากแต่ถูกคีธคว้าข้อมือเอาไว้ แล้วดันตัวลงไปให้นอนเหมือนเดิมโดยรั้งข้อมือข้างนั้นไว้เหนือหัวผม
ไอ้กดลงนอนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่นี่มันดันไปคว้าข้อมืออีกข้างมารวบกับอีกข้างไว้ด้วยมือเดียวเนี่ยมันคืออะไร!? อย่าบอกนะว่าขืนใจกินสารอาหารยังไม่พอ จะขืนใจบังคับให้ผมกินสารอาหารจากมันอีกน่ะ!?
ผมดิ้นขลุกขลัก หนีการพันธนาการทันใด แต่ด้วยสังขารไม่เอื้ออำนวยทำให้ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ความจริงแล้ว ต่อให้สังขารเป็นปกติ ผมก็สู้แรงไอ้บ้านี่ไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าถึงอย่างนั้นก็ต้องสู้ ไม่งั้นถูกหมอนี่บังคับดูดนิ้วแน่ๆ
แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดก็ดันเกิดจริงๆ เสียด้วย เมื่อคีธว่าเสียงเรียบ
“หากเจ้าไม่กินแล้วเจ้าป่วยยาว เมื่อนั้นข้าจะลำบากเพราะเจ้าเป็นแหล่งอาหารของข้า รีบกินเสียจะได้พักผ่อน”
“ไม่เอาเว้ย!” ผมแหกปากลืมป่วยในนาทีนั้น แต่ไอ้จังหวะที่แหกปากนี่แหละ คีธก็ส่งปลายนิ้วชี้เข้าปากผม
“หากเจ้ากัดนิ้วข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” บังคับอย่างเดียวไม่พอ ยังขู่ด้วย ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก
“ดูดซะ อย่าต้องให้ข้าใช้กำลังไปมากกว่านี้”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้พูดเล่นแต่เอาจริง ผมจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
ดูดก็ดูดวะ!
คีธเหยียดยิ้มเล็กน้อยที่เห็นผมยอมจำนนแต่โดยดี บอกตรงๆ ว่าหมอนี่ตอนยิ้มเนี่ยดูดีเป็นบ้า ดีกว่าตอนทำหน้าตายเป็นไหนๆ แต่มันควรจะยิ้มในช่วงเวลาปกติต่างหากเว้ย ไม่ใช่ตอนกำลังบังคับขืนใจผมให้ดูดนิ้วแบบนี้!
น้ำรสหวานไหลเข้าปากผมทีละน้อย รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอก ออกจะอร่อยด้วยซ้ำ คล้ายๆ กับน้ำหวานเฮลบลูบอยละลายน้ำอะไรอย่างนั้น แต่พอผมเหลือบไปเห็นสภาพตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่บนตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างเตียง ไอ้ความอร่อยก็อันตรธานหายไปทันที
เหมือนนางเอกหนังเอวีญี่ปุ่นที่กำลังถูกผู้ชายหื่นบังคับให้ดูดนิ้วฉิบเป๋งเลยเว้ย!
ผมอยากจะร้องไห้ออกมาก็ในตอนนี้ หมดกันศักดิ์ศรีหนุ่มเพลย์บอยที่สะสมมาทั้งชีวิต ทำไมผมต้องมาถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่จับกดด้วยก็ไม่รู้!
โอย...พระเจ้า ชีวิตจะแย่ไปไหน!
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกินสารอาหารจากเขาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ เรี่ยวแรงที่หดหายไปในตอนแรกเหมือนจะคืนกลับมาเล็กน้อย ทว่าผมก็ต้องได้สติเมื่อคีธโน้มหน้ามามองผมเสียใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนของเขาคลอเคลียอยู่บนหน้า
“ดีขึ้นมั้ยกวินทร์” เขาถามเสียงต่ำ ให้ผมพยักหน้ารับพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่โผล่มาในกายผมโดยไม่ทันตั้งตัว
จะ...ใจเต้น... ยิ่งเห็นใกล้ๆ อย่างนี้ หมอนี่หล่อไม่มีที่ติชะมัด หล่อจนขนาดผมที่เป็นผู้ชายยังอดชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะดวงตาสีเทาสว่างนั่นที่จับจ้องผมอยู่ ดูยังไงก็เซ็กซี่เป็นบ้า...
เอ๊ะเดี๋ยว! นี่ผมโดนหมอนี่ถ่ายทอดเชื้อโฮโมฯ ให้เข้าแล้วใช่มั้ยถึงได้คิดอะไรไร้สาระแบบนี้!?
ผมพยายามจะสะบัดหน้าหนีทันทีด้วยตกใจกับตัวเองที่คิดอะไรฟุ้งซ่าน แต่คีธก็ไม่ยอมให้หนี กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ มันถึงเป็นฝ่ายดึงมือออกเองแล้วปล่อยผมออกจากพันธนาการ
“สีหน้าเจ้าดีขึ้นแล้ว แดงเรื่ออย่างนี้ แสดงว่าระบบเลือดหมุนเวียนดีขึ้น”
“เสร็จแล้วก็ออกไปได้แล้ว!” ผมแหวใส่ทันที ก่อนจะรีบตวัดผ้าห่มมาคลุมโปงแล้วพลิกตัวหนี
คีธมองผมอยู่ครู่หนึ่ง ก็เก็บข้าวของออกไป พอเสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ดับลง ผมก็โผล่หน้าออกจากผ้าห่ม ข่มก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นแรงเมื่อกี้ให้เป็นปกติเป็นพัลวัน
บ้าจริง... เผลอไปใจเต้นกับหมอนั่นได้ยังไงกันนะ
