Episode 05: A porn star【1】
มาคิดดูอีกที การพาคีธไปแคสติ้งกับริชาร์ดมันก็ดีเหมือนกัน เพราะหลังจากที่หมอนั่นได้รับบทเจ้าชายต่างดาวบ้าบอคอแตกอะไรแล้ว ริชาร์ดก็ไม่ยอมปล่อยให้กลับง่ายๆ รั้งตัวเอาไว้โดยอ้างว่าจะแนะนำนักแสดงคนอื่นๆ ให้รู้จักและเลี้ยงเปิดกล้อง รวมถึงการคุยเรื่องการฟิตติ้งเสื้อผ้าที่จะมีขึ้นในวันมะรืนด้วย ผมเลยได้ที ทิ้งมันไว้แล้วรีบชิ่งกลับมาก่อน โดยไม่ลืมสั่งริชาร์ดไว้ว่าคืนนี้ให้คีธไปนอนที่ห้องหมอนั่นแทน
ในใจก็ได้แต่ภาวนานั่นแหละว่าขอให้คีธมันหาเหยื่อสำหรับวางไข่คนต่อไปได้แล้วไม่ต้องโผล่หัวมาหาผมอีก ผมจะได้เป็นอิสระจากมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่สักที
และเพราะผมไม่มีคีธติดสอยห้อยตาม พอกลับมาถึงห้องได้ ผมก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว เตรียมไปร่อนที่ไนท์คลับตามประสาหนุ่มโสดทันที ระยะนี้อดอยากปากแห้งมานานแล้ว ขอไปหาเหยื่อแถวๆ นั้นกลับมากินบ้างเถอะ
ผมสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์เข้ารูป รวบผมที่ยาวระต้นคอมามัดรวบครึ่งหัวที่ท้ายทอยและฉีดน้ำหอมแบรนด์หรูที่ผู้หญิงคนไหนสักคนซื้อให้พลางมองตัวเองในกระจกเงา พอเห็นว่าอยู่ในสภาพดูดีไม่มีที่ติแล้ว ผมก็ตรงไปยังประตูห้อง เตรียมตัวจะออกไปท่องราตรี คืนนี้ผมคงไปได้แค่ไนท์คลับระดับกลางๆ เท่านั้นแหละ ช่วงนี้ใช้จ่ายมากไม่ได้ อยู่ในช่วงรัดเข็มขัด
ทว่าพอผมเปิดประตูออกไป ผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างระหงของหญิงสาวในชุดเดรสรัดรูป โชว์เรือนร่างอวบอัดอยู่ตรงหน้า
“เซอร์ไพรส์!” เธอตรงเข้ามากระโดดกอดผมทันทีที่สิ้นเสียง
“เอมิเลีย มาได้ยังไงเนี่ย” ผมย่นคิ้วนิดหน่อยที่เห็นเธอแบบไม่ทันตั้งตัว พลันดึงเธอออกห่างจากตัว
“ก็ขับรถมาน่ะสิ ถามอะไรแปลกๆ” เธอทำหน้ามุ่ยแบบขำๆ แต่ผมไม่ขำด้วย
โอเค ผมรู้ว่าเธอน่ะมีรถและขับรถมา แต่ที่อยากรู้ก็คือ ทำไมจู่ๆ ถึงได้โผล่มากะทันหันต่างหาก
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถาม เธอก็เหมือนจะรู้ว่าผมอยากรู้อะไรผ่านสีหน้าเคร่งเครียดของผม ทำให้เธอฉีกยิ้มร่า รีบตอบคำถามก่อนที่จะทำให้ผมหงุดหงิด
“ล้อเล่นน่า ฉันก็คิดถึงนายน่ะสิถึงได้มาหา ฉันโทรหานายตั้งหลายครั้งแล้วนะ นายไม่รับสายฉันเลย ส่งข้อความอะไรไปก็ไม่ตอบ ไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ ฉันก็เลยถ่อมาหาถึงที่นี่แหละ”
ผมพยักหน้ารับ เพิ่งจะนึกขึ้นได้เหมือนกันว่าเอมิเลียทั้งระดมโทร ระดมส่งข้อความมาหาผมหลายรอบแล้ว แต่ผมไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องคีธอยู่
“แล้วนี่นายจะไปไหนน่ะ แต่งตัวหล่ออย่างนี้ อย่าบอกนะว่าจะออกล่าเหยื่อ” ผมได้สติกลับมาเมื่อเธอทักขึ้น
“เปล่า ก็แค่จะออกไปผ่อนคลาย” โกหกหน้าตายด้วยไม่อยากฟังเธอตัดพ้อเรื่องที่ผมควงเธออยู่แล้ว แต่ยังมีหน้าออกไปหาผู้หญิงคนอื่น
“แน่นะ?”
“อือ”
สายตาเธอบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดสักนิด
“จริง” พอผมย้ำคำ เธอก็ยิ้มออก
“งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันก็นึกว่านายจะนอกใจฉันซะแล้ว”
เอาตรงๆ นะ ผมไม่ได้จริงจังกับเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมตกลงกับเธอก่อนจะควงกันแล้วด้วยว่าอย่ามาหึงหวงอะไรทำนองนี้ เพราะผมไม่ได้เป็นแฟนเธอ แต่เหมือนเธอจะลืมไปแล้วล่ะมั้ง
“แล้วมีธุระอะไรถึงมาหาฉัน” ผมตัดบทด้วยไม่อยากเสียเวลาสนุกไปมากกว่านี้ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เกือบจะสองทุ่มแล้วด้วย กว่าจะไปถึง กว่าจะหาเหยื่อได้ เดี๋ยวก็ดึกก่อนได้สนุกพอดี
“ก็บอกแล้วว่าคิดถึง คิดถึงนี่ไม่ใช่ธุระหรือไง” เอมิเลียชักสีหน้าใส่ผมที่ถูกถามอย่างนั้น พอผมถอนหายใจด้วยรำคาญ เธอก็พูดออกมาอีก “นอกจากคิดถึงแล้ว ธุระของฉันก็...บริการนายไง”
ไม่พูดเปล่า ยังแกล้งลากเล็บคมๆ ลงบนหน้าอกผมอีก สัมผัสวาบหวิวทำเอาผมขนลุกชันเล็กน้อย และผมก็รู้ได้ทันทีว่าเธอหมายถึงอะไร
“หรือนายอยากให้ฉันกลับ” เธอว่าทีเล่นทีจริง ช้อนสายตามองผมอย่างยั่วยวน แต่แค่นั้นคงยังไม่พอที่จะรั้งผมไว้ เธอยังโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ให้ผมเห็นเนินเนื้อนูนที่อยู่ใต้เสื้อชุดเดรสคอลึกของเธออีก
ผมยิ้มเผล่ออกมา เอาเถอะ ในเมื่อยั่วขนาดนี้ แถมมาหาถึงที่ ผมก็จะสนองให้แล้วกัน ดีเสียอีกที่ไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่เปลืองเงินดี
“งั้นก็เข้ามาก่อน” ผมผายมือให้เธอเดินเข้าไปในห้อง
ทันทีที่ประตูปิดลงและล็อคเรียบร้อย ผมก็ไม่รอช้า ดึงเธอเข้ามาบดจูบหนักหน่วงทันที เอมิเลียตอบสนองผมอย่างสิเหน่หา เธอเองก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน ดึงทึ้งเสื้อผมออกจากตัวอย่างกระหาย ผมจูบกับเธอนัวเนีย ประคองกันเข้าไปข้างในอย่างสะเปะสะปะ ก่อนจะมาทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ผมสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปใต้กระโปรงเธอแล้วถลกมันขึ้น ขณะที่มืออีกข้างก็ควานหาเพื่อนคู่ใจที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ
เพื่อนคู่ใจนี่ก็คือถุงยางอนามัยนั่นแหละ เคยบอกแล้วว่าถ้ารักสนุกก็ต้องรู้จักเซฟ ผมก็เลยซื้อมาทิ้งไว้เกลื่อนกลาดเต็มห้อง เวลาจะหยิบใช้จะได้คล่องตัว
พอคว้าตัวช่วยมาไว้ในมือได้ ผมก็ส่งให้เอมิเลียรับไว้ ก่อนจะผละจากเธอไปปลดเข็มขัดที่กางเกงยีนส์ตัวเอง เอมิเลียหัวเราะที่เห็นผมร้อนรนจนอดล้อเลียนไม่ได้
“เร่าร้อนจังเลยนะ อดอยากปากแห้งเหรอ”
ผมเหยียดยิ้มเป็นคำตอบ แกล้งแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อยให้เธอได้หัวเราะ เอมิเลียเอนตัวนอนอิงโซฟา รอให้ผมได้หรรษากับเรือนร่างของเธอ ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ถอดเข็มขัดออกจากตัวดี เสียงดังตึงก็ดังเข้ามาในหู ทำเอาผมกับเอมิเลียผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เสียงอะไรน่ะ” เธอถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ขณะที่ผมก็ตกใจไม่แพ้กัน
จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงก็ในเมื่อเสียงที่ได้ยินมันดังมาจากประตูห้องของผม แถมยังดังมากเหมือนกับว่ามีใครพยายามพังประตูเข้ามาอีกด้วย
“เดี๋ยวฉันไปดูก่อน”
เท่านั้นผมก็หย่อนตัวลงจากโซฟา เดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังประตูห้องทันใด แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นร่างใหญ่ของไอ้มนุษย์หน้าตายยืนหิ้วลูกบิดประตูผมอยู่ขณะที่ประตูเปิดอ้าออก
“ไอ้คีธ!”
“ขออภัย ข้าออกแรงมากไปหน่อย ไม่นึกว่าประตูของชาวโลกจะบอบบางถึงเพียงนี้”
หลุดมาทั้งลูกบิดอย่างนี้ บ้านกูไม่เรียกว่าหน่อยแล้ว!
หมอนั่นเดินมาหยุดตรงหน้า มือข้างหนึ่งคว้ามือผม แล้ววางซากลูกบิดประตูลงมาบนฝ่ามือเป็นเชิงว่าให้ถือไว้
“ข้าจะชดใช้ให้” แล้วก็ว่าเสียงเรียบออกมาอีก
ชดใช้อะไร! กูต่างหากที่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าประตูที่มึงทำพังเนี่ย!
ผมยกมือยีผมตัวเอง ชักสีหน้าไม่พอใจใส่คีธอย่างไม่ปกปิด ยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมโคตรจะหัวเสีย ไม่ใช่แค่หัวเสียที่หมอนี่โผล่เข้ามาไม่ได้จังหวะ แล้วก็พังประตูผมเท่านั้น แต่ยังหัวเสียที่เห็นหมอนี่กลับมาที่ห้องทั้งๆ ที่กำชับไอ้ริชาร์ดไปแล้วว่าให้หมอนี่นอนที่ห้องมัน นี่ยังจะปล่อยให้กลับมาอีก!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไร เอมิเลียที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็เดินออกมาเสียก่อน พลางถามด้วยน้ำเสียงตระหนก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเควิน มีใครมา ให้ฉันโทรเรียกตำรวจมั้ย”
ผมแค่มองหน้าเธอ ยังไม่ทันจะได้ตอบ แต่พอเธอเห็นคีธ สีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นฉงน ก่อนจะกลายเป็นยั่วยวนทันที
“แล้วนี่... เพื่อนนายเหรอ”
ผมมองหน้าเอมิเลียอย่างระอาที่จู่ๆ ก็แสดงอาการอ่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก็แหม ไอ้คีธมันหล่อนี่เนอะ ไม่อ่อยนี่สิถึงจะแปลก แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่มาอ่อยต่อหน้าผมทั้งที่เมื่อกี้ยังนัวเนียกับผมอยู่เลยนี่แหละ
“ไม่ใช่” ผมว่าเสียงห้วน หัวเสียสุดๆ ไปเลยตอนนี้
“เอ้า ไม่ใช่เพื่อนนายแล้วเป็นใคร”
“ข้าชื่อ คีทาเย ซาเค...”
ไอ้เวรนี่ก็เสร่อ ยัยนั่นไม่ได้ถามก็เสนอหน้าตอบ ทำให้ผมต้องขัดขึ้น
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
ทั้งคีธ ทั้งเอมิเลียหุบปากฉับ มองหน้าผมพลัน คีธน่ะมองหน้าผมโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ผมก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่ามันคิดอะไรอยู่ ส่วนเอมิเลียนี่คือหน้าม้านไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก นอกจากออกปากไล่
“กลับไปก่อนไป ฉันมีธุระต้องจัดการ”
“ฉันเพิ่งจะมาไม่ถึงชั่วโมงเองนะ” เธอท้วงเสียงแหลม ทำให้หัวคิ้วผมย่นยู่หนักขึ้นไปอีก
“ฉันบอกให้กลับไป”
“แต่ว่า...”
“กลับ-ไป-ซะ”
พอผมหันไปว่าเสียงเขียว เอมิเลียที่ทำท่าเหมือนจะงอนเมื่อครู่ก็ระงับสีหน้าทันใด ยอมเดินออกจากห้องไปโดยดี เหลือแต่ผมกับคีธเท่านั้นที่เผชิญหน้ากันอยู่ จนมันทำลายความเงียบขึ้นมา
“ไล่นางไปอย่างนั้น ไม่เป็นอะไรรึ”
“ช่างแม่ง ว่าแต่นายเถอะ กลับมาทำไม ฉันบอกริชาร์ดไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้นายนอนห้องหมอนั่น” ผมเข้าเรื่อง ในใจคิดว่าริชาร์ดคงจะไม่สะดวกให้คีธนอนด้วยหรือเหตุผลจำเป็นอะไรสักอย่างแน่ เพราะคนอย่างริชาร์ด ถ้ารับปากอะไรผมไปแล้ว มักจะทำตามเสมอ ไม่มีมาแคนเซิลทีหลังอย่างนี้หรอก
หากแต่คำตอบของคีธก็ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เพราะเหตุผลที่หมอนี่กลับมา ไม่ใช่เพราะริชาร์ด แต่เป็นเพราะตัวมันเอง
“ข้าจำเป็นต้องกินสารอาหารจากเจ้า ก็เลยตามกลิ่นเจ้ากลับมา”
เมื่อวานยังสูบไปไม่พออีกเหรอวะ!?
ผมทำหน้าแหยทันที อยากจะปฏิเสธให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าคีธก็ดักคอขึ้นมาก่อน
“หลังจากถือกำเนิด ข้าจำเป็นต้องกินสารอาหารจากโฮสต์ทั้งวัน เมื่อผ่านไปยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แค่วันละครั้งก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิต”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ากี่ครั้งต่อวันเว้ย มันอยู่ที่ทำไมจะต้องยอมให้จูบครั้งแล้วครั้งเล่าต่างหาก!
แถมพอหมอนั่นพูดเสร็จก็ไม่ยอมให้ผมได้พูดอะไร ขยับเข้ามาใกล้ รวบเอวผมเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้น ข้าจะขอกินสาอาหารจากเจ้าอีกครั้ง” ว่าจบก็โน้มใบหน้าลงมา
ผมถลึงตาโต รีบยกมือดันหน้ามันเอาไว้ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะเข้าครอบครองริมฝีปากผม
“หยุดเลยไอ้คีธ! ถ้าอยากกินล่ะก็ตามฉันมานี่ เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย!”
ตอนพูดไปก็ไม่ทันได้คิดหรอกว่าของอร่อยที่ว่าคืออะไร แต่มันก็ทำให้คีธยอมหยุดได้
“ของอร่อย?”
“เออ ของกินในโลกมนุษย์เนี่ย เดี๋ยวจะพาไปกิน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิวะ จะมากินสารอาหารอย่างนี้ตลอดได้ไง มนุษย์กินแบบไหนก็หัดกินตามบ้าง” ผมว่ายาวแล้วผลักอกหมอนั่นออกห่าง
หมอนั่นมองผมนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตอบรับออกมา
“ลองดูก็ได้ พาไปสิ”
อยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘มึง-สม-ควร-ลอง’ เอะอะก็มาดูดสารอาหารทั้งวันอย่างนี้ เดี๋ยวผมก็ได้แห้งตายก่อนพอดี
“งั้นตามมา จะพาไป”
พูดจบ ผมก็เดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่ลืมโทรบอกคนดูแลอพาร์ตเม้นต์ให้ส่งช่างขึ้นมาซ่อมลูกบิดให้ แน่ล่ะว่าผมโดนคนดูแลอพาร์ตเม้นต์บ่นนิดหน่อยที่โทรไปรบกวนช่วงกลางคืน แต่เพราะสนิทกัน เธอก็เลยส่งช่างประจำอพาร์ตเม้นต์ขึ้นมาดูพร้อมกับล็อคห้องให้ ผมเลยไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก นอกจากพาไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่ไปหาอะไรยัดลงท้องเท่านั้น
ร้านอาหารจีนข้างถนนละแวกที่พักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามกลางคืนแบบนี้ จริงๆ มันก็มีตัวเลือกอื่นนั่นแหละ แต่เพราะร้านนี้เป็นร้านประจำของผมเวลาที่ผมกลับจากไนท์คลับตอนดึกๆ แถมผมยังสนิทกับอาแปะเจ้าของร้าน ก็เลยเลือกที่นี่เป็นที่ฝากท้อง ที่สำคัญ ยังราคาถูก ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้พอสมควรถ้าคีธเกิดกินแบบยัดห่าขึ้นมา
พอเข้าไปในร้าน ผมก็จัดการสั่งบะหมี่ผัดสองที่สำหรับผมกับคีธทันที จริงๆ ไม่ทันจะได้สั่งเลย แค่ลูกจ้างหนุ่มชาวจีนของอาแปะเห็นหน้าผม เขาก็รู้แล้วว่าผมจะกินเมนูอะไร แค่ชูสองนิ้วบอกจำนวนที่ต้องการให้เท่านั้น
ไม่นาน บะหมี่ผัดสไตล์จีนในกล่องกระดาษก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ผมคว้ากล่องบะหมี่มาถือ พลางถามหาใครบางคนเมื่อตระหนักว่าไม่เห็นเขาอยู่ที่นี่
“อาแปะไปไหนล่ะวันนี้”
“อ๋อ เข้าห้องน้ำอยู่น่ะ วันนี้ลุงแกท้องเสีย ไม่รู้ไปกินอะไรมา เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะออกมา”
ผมพยักหน้ารับ ส่วนอาแปะที่ว่าก็คือเจ้าของร้าน เขาเป็นชายแก่ชาวจีนร่างเล็กที่ชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ลีโอนาร์โด’ เหตุผลก็เพราะนามสกุลเขาคือ ‘แซ่หลี่’ แต่ถ้าถูกฝรั่งเรียก มันจะเพี้ยนเสียงกลายเป็น ‘ลี’ ซึ่งฟังเหมือนเป็นนามสกุลของชาวเกาหลีและเขาไม่ชอบ แต่ดูจากสภาพหนังหน้ากับความเหี่ยวแล้ว ผมก็ทำใจเรียกลีโอนาร์โดไม่ไหว เลยเลี่ยงไปเรียกว่าอาแปะแทน เขาก็โอเคนะ อนุโลมให้ผมเรียกได้คนเดียวเท่านั้น เพราะเขาบอกว่าผมหล่อเหมือนเขาตอนหนุ่มๆ แม้ว่าเบ้าหน้าจะต่างกันคนละโยชน์เลยก็ตาม
ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ จัดการคีบบะหมี่ด้วยตะเกียบเข้าปากอย่างคล่องแคล่ว หากก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคีธถือกล่องบะหมี่ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือถือตะเกียบด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ หมอนั่นเหลือบมองผม ผมก็เลยยื่นมือที่ถือตะเกียบอยู่ไปตรงหน้า โชว์ให้ดูว่ามนุษย์โลกเขาใช้ตะเกียบกันยังไง
แต่จนแล้วจนรอด คีธก็ไม่สามารถคีบไม้แท่งเล็กๆ สองแท่งได้อยู่ดี พอทำท่าจะคีบบะหมี่ปุ๊บ ตะเกียบก็หลุดมือปั๊บ ทำเอาผมที่มองอยู่ถึงกับถอนหายใจ วางกล่องบะหมี่กับตะเกียบในมือตัวเองลงแล้วหันไปจับมือมัน
“นี่ๆ มันจับแบบนี้” ว่าพลางจัดระเบียบตะเกียบให้ไปพลาง
ใช้เวลาไม่นานนัก คีธก็สามารถจับตะเกียบได้สมใจหมาย นี่คงจะเป็นสกิลการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งล่ะมั้งถึงได้ทำตามได้เร็วขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่จับแหละนะ พอจะคีบบะหมี่เข้าปาก ตะเกียบก็กระเด็นกระดอนไปคนละทางจนผมชักรำคาญขึ้นมาตงิดๆ
“เฮ้ นายมีส้อมบ้างมั้ย” ผมร้องถามลูกจ้างของอาแปะทันที
หมอนั่นส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ส้อมพลาสติกหมดแล้ว วันนี้แปะยังไม่ได้ใช้ให้ไปซื้อใหม่เลย”
ผมลืมบอกไปสินะว่าถึงร้านอาหารจีนนี่จะเปิดเป็นร้านนั่ง แต่ก็เป็นแค่ร้านเล็กๆ ขนาดแค่พอแมวดิ้นตาย อุปกรณ์อะไรต่างๆ ก็เน้นเป็นของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
ผมก็เลยต้องกลับมาแก้ปัญหาด้วยตัวเองอีกครั้งเมื่อคีธพูดสวนขึ้นมา
“ข้าไม่กินก็ได้ ไว้รอกินสารอาหารจากเจ้า”
“ไม่ต้องเลย กินไม่ได้เดี๋ยวจะป้อน” ผมว่าเสียงขุ่น คว้ากล่องบะหมี่ของมันมาตรงหน้าแล้วจัดการคีบมันไปจ่อตรงปากอีกฝ่าย “อ้าปากสิ”
คีธมองบะหมี่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเปิดปากรับมันเข้าไปแต่โดยดี
“อืม รสชาติประหลาดนัก แต่ก็อร่อยดี”
“อร่อยก็กินเข้าไปให้หมดเร็วๆ เข้า” ผมเร่ง เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ผมกับหมอนี่เหมือนคู่รักเกย์ยังไงพิกล ยิ่งเห็นสายตาลูกจ้างของร้านมองมาที่ผมเป็นระยะๆ แล้ว ผมก็แทบจะจับไอ้คีธแหกปากแล้วเทบะหมี่ทั้งกล่องลงไปให้จบๆ ในทีเดียว
ไม่นานนัก บะหมี่ในกล่องก็ถูกจัดการจนหมด ช่วงเวลาแห่งการเป็นคู่รักโฮโมฯ กับหมอนี่ถึงได้จบสิ้นสักที ผมส่งกล่องบะหมี่คืนให้คีธแล้วหันมาจัดการกับบะหมี่ของตัวเองบ้าง ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำ อาแปะที่แทบจะเข้าไปนอนหลับในห้องน้ำก็โผล่หน้าออกมา เดินตรงไปยังอ่างล้างมือหน้าห้องน้ำ ทำท่าจะใช้มันแต่ก็ชะงักเมื่อหันมาเห็นผม เปลี่ยนใจจากล้างมือเป็นเดินเข้ามาหาผมแทน ก่อนทักทายอย่างเคยด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงจีนพร้อมยิ้มตาหยี
“ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวันแน่ะอาเควิน ช่วงนี้นอนเร็วหรือไง” ประโยคที่เขาถามก็เป็นประโยคเดิมๆ อีกเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าผมนอนเร็ว ก็หมายถึงวันไหนที่ผมไม่ได้ออกไปไนท์คลับ ผมก็ไม่ได้แวะมาหาอะไรกินที่ร้านของเขานั่นแหละ
“ช่วงนี้ยุ่งก็เลยเพลาๆ ลงก่อนน่ะ” ผมตอบอย่างขอไปที ก่อนจะเบนความสนใจไปยังคีธที่วางกล่องบะหมี่เปล่าในมือลง จ้องหน้าอาแปะนิ่งๆ ข้างราวกับคิดอะไรบางอย่าง ผมรู้เพราะเห็นหัวคิ้วของมันยู่ลงน่ะ
อาแปะเองก็เพิ่งจะสังเกตในตอนนี้ว่าผมไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีผู้ชายแปลกหน้าตัวยักษ์มาด้วย ทำให้เขาเบนความสนใจไปยังคีธทันที
“แล้วนี่เพื่อนใหม่ลื้อเหรอ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
ผมส่ายหน้า ตอบเสียงห้วน “กาฝาก”
อาแปะทำหน้าไม่เข้าใจ ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายว่ากาฝากคืออะไร คีธก็โพล่งขึ้นมาก่อน
“ข้าได้กลิ่นชาวโอนิซิสจากเจ้า”
รอยยิ้มพร่างพรายบนใบหน้าเหี่ยวย่นหายวับไปกับตาแทบในวินาทีนั้น ดวงตาเรียวเบิกโตอย่างตกใจจนผมต้องชะงักมือที่กำลังคีบเส้นบะหมี่เข้าปากอีกครั้งเหลือบมองท่าทางแปลกๆ ของเขา ผมเดาเอาไว้ในใจเลยว่าไอ้ชาวโอนิซิสอะไรที่หลุดออกมาจากปากคีธเมื่อครู่คงจะเป็นชื่อมนุษย์ต่างดาวอีกพันธุ์หนึ่งแน่ๆ พลันสงสัยว่าอาแปะลีโอนาร์โดที่ผมรู้จักคงจะไม่ใช่มนุษย์โลก
และก็จริงเสียด้วยเมื่ออาแปะโน้มหน้าเข้าใกล้คีธ แล้วถามเสียงเบาจนแทบกระซิบ
“ลื้อเป็นใคร”
“ชื่อของข้า คีทาเย ซาเคมอร์ฟ” คีธยังคงรักษาระดับน้ำเสียงไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา
สิ้นเสียง สีหน้าของอาแปะก็ดูตกใจมากขึ้นไปอีก ก่อนเขาจะครางออกมา
“ลื้อคือ...ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกมา”
คีธพยักหน้ารับ เท่านั้น จากสีหน้าตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้ายินดีทันที
“ได้ยินชื่อเสียงทั่วจักรวาลมานาน เพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงก็คราวนี้ อั๊วชื่อลีโอเธ”
ก่อนหน้านี้ยังชื่อลีโอนาร์โดอยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ
ผมอยากจะท้วงอย่างนี้นะ แต่พอเห็นอาแปะยื่นมือไปให้คีธจับทักทายแล้ว ผมก็เบิกตาโพลงพลัน
เดี๋ยว! เมื่อกี้เพิ่งออกมาจากห้องน้ำใช่มั้ย!? มือก็ยังไม่ได้ล้างด้วยมั้งรู้สึก!
