บท
ตั้งค่า

Episode 04: Alien Prince’s casting【2】

“ใช่” คีธตอบ “อย่างที่ข้าได้บอกกับสหายเจ้าไว้ว่าชาติพันธุ์ในกลุ่มฮิวมานอยด์ ส่วนมากเป็นพวกรักสันติ แต่ก็มีบางพวกที่ชอบรุกรานชาติพันธุ์อื่น ชาติพันธุ์ของข้าได้ชื่อว่าเป็นพวกรักสงบมากที่สุดในกลุ่มนี้หากไม่นับมนุษย์โลก จึงทำให้ถูกรุกรานจากเผ่าพันธุ์นักล่า ถึงวิทยาการจะล้ำหน้าไม่แพ้ชาติพันธุ์ใด แต่ก็นับว่าด้อยอยู่มากหากเทียบกับชาติพันธุ์ที่มารุกรานแล้วเลยต้องอพยพ จริงๆ พวกข้าก็อพยพไปหลายดาวแล้ว ถึงอย่างนั้นก็หนีไม่พ้นการตามล่าสักทีเลยต้องมาที่นี่”

“เป็นตัวซวยของจักรวาลล่ะสิพวกนายน่ะ ไปที่ไหน ที่นั่นฉิบหายวายป่วง” ผมเหน็บ “แล้วเวลาไปที่ดาวอื่นนี่พูดภาษาของดาวนั้นด้วยปะ”

ที่ถามอย่างนี้เพราะเพิ่งจะนึกได้ว่าหมอนี่พูดภาษาอังกฤษคล่องเป็นต่อยหอย แม้ว่าสำนวนจะเป็นแบบผู้ดีอังกฤษโบร๊าณโบราณก็ตาม

คีธพยักหน้ารับ ก่อนอธิบาย “สมองของชาวยูนิกมามีความซับซ้อนมากและประมวลผลได้ฉับไวกว่าชาติพันธุ์อื่นๆ เพียงแค่ฟังภาษาอื่นไม่กี่นาทีก็พูดได้แล้ว ภาษาของเจ้า ข้าเองก็เพิ่งจะมาเรียนรู้เอาตอนที่ออกเดินทางมาที่นี่จากสิ่งบันเทิงที่มีภาพเคลื่อนไหวของมนุษย์”

“สิ่งบันเทิงที่ว่าคงจะเป็นหนัง?”

“ถ้าจำไม่ผิด เหมือนสิ่งบันเทิงนั่นจะมีชื่อว่าเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ได้ยินว่ามนุษย์โลกยกย่องให้เป็นสิ่งบันเทิงชิ้นเอกของดาวในยุคสมัยนี้ พวกข้าถึงได้ศึกษาภาษาของเจ้าจากสิ่งนี้”

เออ ไม่แปลกหรอกที่จะพูดจาเหมือนหลุดออกมาจากยุคโบราณอย่างนี้ ไปดูหนังโบราณแถมแฟนตาซีอย่างนั้น ก็ต้องสำนวนอย่างนี้แหละ

“ถ้าบอกว่าฟังแค่ไม่กี่นาทีก็พูดได้ งั้นก็หมายความว่านอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาอื่นก็พูดได้งั้นสิ”

“ถ้าได้ฟังก็ไม่มีปัญหา”

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกอิจฉาความสามารถของหมอนี่ขึ้นมาตงิดๆ ผมพูดได้แค่สองภาษาเอง แถมกว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างนี้ยังต้องใช้เวลาเรียนมาเกือบทั้งชีวิต โคตรจะไม่แฟร์เลย

“งั้นนายก็ไปหัดฟังภาษาไทยบ้างนะ ฉันจะได้ไม่ต้องพูดกับนายด้วยภาษาอังกฤษ เวลาด่ามันไม่ถนัดปาก” ผมว่าทีเล่นทีจริง

ทว่าคีธดันเอาจริง “ได้ หาสิ่งบันเทิงที่เป็นภาษานั้นมาให้ข้าฟังก็แล้วกันกวินทร์”

เป็นครั้งแรกที่คีธเรียกชื่อผม แถมสำเนียงยังชัดเจนมากราวกับได้ยินคนไทยมาพูดเอง ถึงชื่อผมจะออกเสียงง่ายสำหรับชาวต่างชาติ แต่มันก็ฟังรู้ว่าชาวต่างชาติพูด ไม่เหมือนกับหมอนี่ที่ฟังแล้วไม่รู้เลยว่าเป็นชาวต่างชาติพูดหรือคนไทยพูดกันแน่

แต่ก็ดีเหมือนกัน ผมก็ไม่ได้ยินคนเรียกชื่อจริงตัวเองมานานแล้ว

“ไว้จะหาให้” ผมรับปากส่งๆ แล้วจัดการกินเบอร์เกอร์ในมือต่อ

ความเหนื่อยล้าทำให้ผมไม่สามารถกินได้หมดทั้งชิ้น ไม่ถึงครึ่งผมก็จำต้องวางมันลง หันไปมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาว่าเกือบจะเย็นแล้ว ผมจึงตัดสินใจว่าจะกลับห้อง ทว่าพอยืนขึ้นเท่านั้น ขาทั้งสองข้างก็สั่นจนผมต้องทรุดตัวนั่งลงมาอีก

ให้ตาย... แค่โดนสูบสารอาหารแค่นี้ถึงกับไปไม่เป็นเลยหรือไงนะ

“หากเจ้าต้องการจะกลับที่พัก ข้าจะพาไป” เสียงของคีธดังขึ้นเรียกให้ผมหันไปมอง

และไม่ทันที่ผมจะได้ตอบรับหรืออะไร หมอนั่นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเข้ามาช้อนผมขึ้นอุ้มด้วยสองแขน

“ทำอะไรของนายวะ!” ผมโวยวายทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในท่าถูกอุ้มแบบอุ้มเจ้าสาว

คีธชะงัก ชำเลืองมองหน้าผมเล็กน้อย แล้วปล่อยผมลงยืนดังเดิม

“ไม่สบายตัวรึ เช่นนั้นก็อย่างนี้แล้วกัน”

แล้วมันก็เดินมาข้างหน้าผม ดึงแขนผมไปเกาะคอมันแล้วออกแรงดึงขึ้น กลายเป็นถูกอุ้มด้วยท่าขี่หลังอีก

“ปล่อยนะเว้ยไอ้คีธ!”

คีธปล่อยผมลงยืนบนพื้นอีกครั้ง มองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

“ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอนัก ขืนเคลื่อนไหวมาก เจ้าจะบาดเจ็บได้” ว่าจบ มันก็เข้ามายกผมขึ้นพาดบ่าทันใด

“ไม่ต้องอุ้มโว้ย! เดินเองได้!” ผมตะโกนสุดเสียง เรียกให้ริชาร์ดที่นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนออกมาดูเหตุการณ์

พอเห็นผมที่อยู่ในสภาพดิ้นไม่หยุด ขณะที่คีธจับผมแน่น ก็ออกปากแซวทันควัน

“ทุบหัวเสร็จแล้ว จะเข้าถ้ำมั้ย เดี๋ยวสละถ้ำให้” ว่าพลางชี้เข้าไปในห้อง

อย่ามาพูดอย่างกับว่าสิ่งที่เห็นมันเกิดขึ้นในยุคหินนะโว้ย!

“ไม่เป็นไร ข้าจะพากวินทร์กลับที่พัก” ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบาย คีธก็ว่าขึ้นอีก

“ไปต่อกันที่ห้องคงจะสบายใจกว่าสินะ” ริชาร์ดยิ้มเผล่

“ดูสถานการณ์แล้วเลิกล้อเล่น ไสหัวมาช่วยเพื่อนสักที!” ผมหันไปพ่นภาษาไทยใส่มันรัวๆ

ทว่าริชาร์ดกลับเมินเฉย แล้วหันไปพูดกับคีธราวกับผมไม่อยู่ตรงนั้น

“จะทำอะไรก็เอาเถอะ แต่อย่าหักโหมมากแล้วกันเพราะพรุ่งนี้นายต้องมาแคสติ้งกับฉันตอนบ่ายโมง อย่าเลทล่ะ สถานที่ก็ที่ห้องชมรมของมหา’ลัย ให้เควินพามาแล้วกันจะได้มาถูก”

เมินใส่อย่างเดียวไม่ว่า ยังมาสั่งเป็นฉากๆ อีก ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเหลือเกินว่า ‘ไม่’ แต่ด้วยความที่ต้องดิ้นให้หลุดจากการถูกจับพาดบ่าจึงทำให้พูดไม่ถนัด คีธเลยแทรกขึ้นมาก่อน

“ได้ ข้าจะย้ำกวินทร์ให้” สิ้นเสียง ก็แบกผมเดินออกจากห้องไปทันทีโดยมีริชาร์ดเปิดประตูออกมาส่ง

“กลับให้ถึงที่ล่ะ อย่าแวะข้างทาง เควินไม่ชอบแบบบุกป่าฝ่าดง ถนอมๆ หน่อย”

ปวดกบาลกับไอ้เพื่อนเวรนี่จริงๆ! เลิกคิดว่าผมกับไอ้มนุษย์ดาวโฮโมฯ นี่จะไปมีซัมธิงกันสักทีเถอะ!

สุดท้ายแล้ว การดิ้นรนของผมให้หลุดจากการถูกแบกก็สูญเปล่า แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งทำให้คนมองมากขึ้นอีกต่างหากที่เห็นผู้ชายสองคนอุ้มกันหน้าตาเฉยขณะเดินไปตามถนน และเพราะกลายเป็นจุดสนใจ ผมจึงแกล้งตายตั้งแต่หมอนั่นพาผมออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ของริชาร์ด พอถึงห้องถึงได้ฤกษ์วีนใส่

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็สู้มันไม่ได้อยู่ดีด้วยถูกมันสูบสารอาหารอีกครั้งสำหรับมื้อเย็น แม้มันจะบอกว่าเป็นครั้งสุดท้ายของวัน ทว่ากลับทำให้ผมรู้สึกว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตก่อนผมจะตายยังไงก็ไม่รู้

หลังจากถูกดูดสารอาหาร ผมก็หลับยาวกระทั่งเข้าเที่ยงวันของวันใหม่ ตอนแรกผมกะจะเบี้ยวนัดริชาร์ดอยู่แล้วด้วยยังรู้สึกเหนื่อยล้า แต่พอถูกคีธมานั่งจ้องข้างเตียง เร่งให้ผมพาไปแคสติ้งด้วยแล้ว ผมก็รีบลุกพรวดด้วยเกรงว่าถ้าไม่พามันไป มันจะสูบสารอาหารจากผมอีกทั้งที่ปากมันบอกว่าจะให้ผมพักก็ตาม

และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมายืนอยู่ในห้องชมรมทำหนังของริชาร์ด ชมรมนี้เป็นชมรมที่รวมเอานักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์และคณะอื่นทั้งปริญญาตรีและโทที่มีใจรักการทำหนังเอาไว้ด้วยกัน โดยปีนี้มีริชาร์ดเป็นประธานชมรม

ผมไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมหรอกแต่ก็มาเยือนบ่อยเพราะบางครั้งริชาร์ดก็ขอให้ผมมาช่วยงานกำกับบ้าง นั่นทำให้มีเสียงทักทายดังขึ้นตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องชมรม และตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ เล็กน้อยเมื่อผมพยักหน้ารับคำทักทายนั้น ผมเองก็ป็อปปูล่าร์ในหมู่เด็กในชมรมนี้เหมือนกัน อีกทั้งบางคนก็เคยคั่วกับผมระยะหนึ่งด้วย

จริงๆ แล้วอย่าเรียกว่าบางคนเลย เกือบทั้งหมดที่เป็นเพศหญิงเลยดีกว่า จะมีก็แต่พวกหน้าใหม่บางคนนี่แหละที่ผมยังไม่เคยควง

ทว่าตอนนี้ ผมไม่มีอารมณ์จะสนใจผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น นอกจากเดินตรงไปนั่งกับริชาร์ดที่อยู่หลังจอมอนิเตอร์ของกล้องบันทึกเทปตัวใหญ่

“เมื่อคืนหนักหรือไงถึงได้เป็นผีตายซากอย่างนี้” และนี่คือประโยคแรกที่มันทักผม

ผมหันไปมองมันตาเขียว “ถ้าอยากจะให้ไอ้เวรคีธแคสฯ กับนายล่ะก็ หุบปากไปเลย”

ริชาร์ดยักไหล่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วหมอนั่นไปไหนล่ะ”

ผมพยักปลายคางไปยังบริเวณเก้าอี้มุมห้องที่ถูกจัดให้พวกนักแสดงที่มาแคสติ้งนั่ง ริชาร์ดหันไปมองคีธซึ่งอยู่ในเสื้อยืดสีเทาเข้มที่ผมเพิ่งซื้อจากซูเปอร์มาเก็ตให้เมื่อเช้ากับกางเกงยีนส์ตัวเมื่อวานเล็กน้อย พลันว่าขึ้น

“หมอนี่ตั้งใจมาแคสฯ จริงๆ เปล่าวะ แต่งตัวอย่างกับอยู่บ้าน นายออกจะเซ้นส์แฟชั่นดี ทำไมไม่หาเสื้อผ้าดีๆ ให้หมอนั่นล่ะ”

ก็ถูกของริชาร์ดนั่นแหละหากเทียบกับการแต่งตัวของนักแสดงคนอื่นๆ ที่มาแคสติ้ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก แค่พามันมาให้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงแล้ว

“หน้าตาอย่างมัน ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวยังดูดีเลย แค่นี้แหละพอแล้ว อย่าเยอะ”

ริชาร์ดเลิกคิ้วอย่างเห็นด้วย ก่อนที่นักศึกษา ป.ตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกมือของริชาร์ดจะเข้าไปคุยกับพวกคนที่มาแคสติ้ง พร้อมแจกกระดาษสำหรับบทที่จะต้องพูดต่อหน้าผู้กำกับ

“บทที่ทุกคนจะต้องแคสฯ ในวันนี้เป็นบทของเจ้าชายต่างดาวซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องนะคะ ส่วนฉากที่จะต้องแสดงก็คือ ฉากที่เจ้าชายร้องขอความรักจากหญิงสาวชาวมนุษย์ พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้นค่ะ ส่วนแอคติ้งก็ทำยังไงก็ได้ให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอยากจะตอบรักความรักนะ เดี๋ยวทางเราจะให้นักแสดงที่รับบทเป็นหญิงสาวมาเข้าฉากด้วยจะได้สมจริง แล้วก็เตรียมตัวสแตนด์บายได้เลย อีกห้านาทีจะเริ่มแคสติ้งแล้ว” เธอว่ายาว

ผมฉงนใจทันที หันไปหาริชาร์ดที่นั่งไขว่ห้างอยู่ข้างๆ

“แคสฯ แค่นี้เองเหรอวะ”

“อือ แค่นี้แหละ อย่าเยอะ” หมอนี่ล้อเลียนผม ส่งกระดาษซึ่งเป็นบทพูดของเจ้าชายต่างดาวอะไรนี่มาให้

ในกระดาษนั้นเขียนแค่ว่า ‘ได้โปรด รับความรักจากข้า’ แค่นี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย

ผมมองหน้าริชาร์ดอย่างขอคำตอบว่าทำไมบทสำหรับการแคสติ้งถึงได้ง่ายนัก แต่ไม่ต้องออกปากถาม ริชาร์ดก็เหมือนจะรู้ว่าผมสงสัยอะไร

“หนังสั้นเรื่องนี้เน้นแอคติ้งของนักแสดงมากกว่าบทพูด เจ้าชายต่างดาวเป็นพวกพูดน้อยแต่แสดงออกด้วยสีหน้ากับสายตาเป็นหลัก อารมณ์แบบพวกแข็งนอกอ่อนใน ฉันเลยให้พูดแค่นี้”

ผมพยักหน้า นึกในใจพลันว่าอย่างคีธเนี่ยคงไม่ผ่านแน่นอน แสดงสีหน้าได้แบบเดียว แถมยังทำสายตาได้แค่แบบเดียวอย่างนั้น ฝันไปเลยว่าจะเข้าตากรรมการ

ไม่นานนัก การแคสติ้งก็เริ่มขึ้น ทุกคนที่มาเข้าแคสติ้งต่างแสดงออกมาได้ดี ทว่าก็ไม่ได้ดีมากนักในความรู้สึกผม ริชาร์ดเองก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน เพราะผมเห็นหมอนี่ได้แต่กากบาทรายชื่อนักแสดงที่ไม่เข้าตาออกอย่างเดียว

“แย่ว่ะ บุคลิกไม่ได้เลย แค่นักแสดงหลัก ทำไมมันหายากจังวะ” ริชาร์ดพึมพำด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ถ้าหาไม่ได้ นายก็เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ตัวละครสิวะ ไม่เห็นจะยาก” ผมว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตาจับจ้องไปยังนักศึกษารุ่นน้องที่เพิ่งจะแสดงจบไป ก่อนจะเบือนไปยังคีธที่ถูกลูกมือของริชาร์ดเรียกให้ออกมา

ริชาร์ดตั้งใจดูหมอนั่นเป็นพิเศษ ในใจก็คงจะหวังว่าคีธคงจะแสดงออกมาได้ดีล่ะมั้ง แต่ขอโทษที่หมอนั่นต้องทำให้ผิดหวังอย่างแรง เพราะนอกจากจะเดินเนือยๆ ออกมาโดยไม่แนะนำตัวหรืออะไรแล้ว ยังพูดออกมาทื่อๆ อีกต่างหาก

“ได้โปรด รับความรักจากข้า”

ริชาร์ดยกมือตบหน้าผากตัวเองทันใด ขณะที่ผมหัวเราะร่วนที่เห็นหมอนั่นแสดงได้แข็งเป็นท่อนไม้

“ว่าที่พระเอกนายนี่หินเรียกพี่เลยว่ะ”

ริชาร์ดมองผมเคืองๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเรียกความสนใจของทุกคนที่มองยังคีธอยู่ไป

“ลองแสดงใหม่อีกทีซิคีธ จินตนาการว่าคนที่อยู่ตรงหน้านายเป็นผู้หญิงที่นายรักมาก แล้วนายอยากได้มาเป็นแม่ของลูกน่ะ ไม่ต้องเกร็ง”

คีธพยักหน้ารับหน้าตาย ก่อนที่จะหันไปมองนักแสดงสมทบอีกครั้ง

และ...

“ได้โปรด รับความรักจากข้า”

...พูดออกมาแข็งทื่อเหมือนเดิม

ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ก็ในตอนนี้ “หมอนั่นไม่ไหวหรอกมั้ง ให้แสดงเป็นหินก็ว่าไปอย่าง”

ริชาร์ดพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะยกแขนมากระทุ้งผม “นายไปโชว์ให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยซิ”

“ฉันเนี่ยนะ” ผมหันไปมองเหวอๆ รอยยิ้มพร่างพรายบนใบหน้าเลือนหายไปทันที

“นายนั่นแหละ”

“ฉันไม่เคยแสดงนะเว้ย จู่ๆ มาให้ไปแสดงแบบนี้มันได้ที่ไหน”

“เสือผู้หญิงตัวพ่อไม่ใช่เหรอ แค่นี้คงไม่คณามือหรอกมั้ง”

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าถูกริชาร์ดดูแคลนอยู่กลายๆ พอสิ้นเสียง ผมก็ลุกขึ้นยืน

“ก็ได้ เดี๋ยวป๋าโชว์ให้ดูเอง” ว่าจบ ผมก็เดินเข้าไปหาคีธ ขณะที่ริชาร์ดว่าเสียงดัง

“เดี๋ยวฉันจะให้เควินแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างนะ”

พอคีธพยักหน้ารับ ผมก็เริ่มการแสดงทันทีโดยการยื่นมือออกไปจับมือของนักแสดงสมทบข้างหน้า ใช้นิ้วโป้งลูบหลังมืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองพลางส่งสายตาหวานหยดให้

“ได้โปรด... รับความรักจากข้า”

นักแสดงสมทบถึงกับอึ้งงันเมื่อเห็นสายตาที่ผมมอง ไม่เว้นแม้แต่สาวๆ คนอื่นที่อยู่รอบนอกซึ่งพากันส่งเสียงกรี๊ดเบาๆ ตามมา ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันจะต้องออกมาเป็นอย่างนี้ ก็สายตาของผมน่ะ มันเย้ายวนจนไม่เคยมีผู้หญิงที่ถูกผมมองด้วยสายตาแบบนี้หลุดรอดไปได้สักราย

“เนี่ย แบบนี้เนี่ย ทำได้มั้ย” พอแสดงจบ ริชาร์ดก็ถามคีธ “แต่ไม่ต้องเอาแบบอย่างเควินมันนะ เอาแบบสไตล์นาย เดี๋ยวมันดูไม่เป็นธรรมชาติ”

คีธพยักหน้า พอผมเดินกลับมานั่งที่ หมอนั่นก็แสดงแบบเดิมอีก

“ได้โปรด รับความรักจากข้า”

ริชาร์ดถึงกับกำกระดาษในมือแน่นด้วยหัวเสียขึ้นมา ผมหัวเราะในลำคอ สะใจไม่น้อยที่หมอนี่ไม่ได้สมหวัง แต่ริชาร์ดไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดูท่าทางอยากให้คีธได้รับบทนี้เต็มแก่ถึงได้ให้โอกาสแก้ตัวอยู่หลายต่อหลายครั้งแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ป่านนี้หมอนี่เฉดหัวออกจากห้องไปนานแล้ว

“ไปแนะนำมันหน่อยซิว่าควรทำยังไง นายอยู่กับมัน น่าจะรู้ว่ามันเป็นคนสไตล์ไหน”

“ทำไมต้องเป็นฉันวะ” ผมเล่นลิ้น ทว่าริชาร์ดไม่เล่นด้วย

“ถ้าไม่อยากให้เรื่องนายเป็นคู่ขากับหมอนั่นหลุดไปล่ะก็ ไปซะ”

โดนขู่มาอย่างนี้ ผมก็หน้าม้านทันควัน ก่อนจะลุกเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปหาคีธอีกครั้ง แล้วลากออกมากระซิบกระซาบเป็นการส่วนตัว

“ฟังนะไอ้มนุษย์ต่างดาว เวลาแสดงน่ะ นายก็แค่นึกถึงเวลานายกำลังจะวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ แต่ก่อนจะวางไข่ นายต้องขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน โอเคมั้ย แบบว่าทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่านายแม่งโคตรเท่ น่าให้นายวางไข่ชะมัดอะไรงี้น่ะ เอาแบบธรรมชาติของนาย ทำได้มั้ยวะ” ผมพูดไปอย่างนี้เพราะนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่เผ่าพันธุ์หมอนี่จะวางไข่จะต้องขออนุญาตอีกฝ่ายก่อน

คีธพยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าที่มันพยักหน้าเป็นเพราะเข้าใจหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เดินกลับมานั่งที่เดิม แล้วรอดูการแสดงอีกครั้ง

พอริชาร์ดบอกให้เริ่ม คีธก็เดินมาหยุดตรงหน้านักแสดงสมทบแล้วจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่โดยไม่พูดอะไรออกมา จนนักแสดงสมทบหันมามองริชาร์ดที่ดูงุนงงไปเหมือนกัน

“มันเป็นอะไรวะ นายไปพูดตัดกำลังใจอะไรมันหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่ได้พูดตัดกำลังใจอะไรสักนิด แค่บอกให้มันเล่นไปตามธรรมชาติ” ผมว่าไปตามตรง

ทว่าไม่ทันจะสิ้นเสียงผมดี คีธก็ขยับตัว ทำให้ริชาร์ดที่กำลังตั้งท่าจะพูดเงียบปากไป มองคีธอย่างตั้งใจ ครู่เดียว คีธก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทื่อๆ อีก

“ได้โปรด รับความรักจากข้า”

ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน แต่ที่ต่างออกไปก็คือ พอหมอนั่นพูดจบ มือทั้งสองข้างก็เอื้อมไปจับคอเสื้อแล้วจัดการดึงออกจากตัว เผยให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนสวยเต็มสองตา ที่สำคัญ สีหน้าของหมอนั่นยังเรียบสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย ขณะที่ผมเบิกตาโต

จะแก้ผ้าหาป้ามึงเหรอ?! ให้ขอความรักจากผู้หญิง ไม่ใช่แก้ผ้าโว้ย!

ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์อ้าปากค้าง ความเงียบเข้าครอบงำจนผมแทบได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน และก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรขึ้น คีธก็เลื่อนมือไปยังขอบกางเกง ก่อนเริ่ม...

ถะ...ถอด!

เสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ดังขึ้น ผมได้สติในตอนนี้ รีบพุ่งจากเก้าอี้ไปคว้าขอบกางเกงหมอนั่นไว้ก่อนที่มันจะลงไปกองกับพื้นหรือเผยให้เห็นอะไรต่อมิอะไร แล้วแหวใส่มันเสียงดัง

“ทำบ้าอะไรเนี่ย!”

“ขอความรัก”

“ขอความรักก็ขอเฉยๆ สิวะ จะแก้ผ้าเพื่อ!?”

“ชาติพันธุ์ข้ายามขออนุญาตวางไข่ ผู้ขออนุญาตจะต้องเผยให้เห็นความแข็งแรงของร่างกาย แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าแกร่งพอที่จะเป็นพ่อพันธุ์ได้ นี่คือวิธีขอความรักของดาวข้า”

ฟังแล้ว ผมก็แทบจะเอาหัวโขกหน้ามัน ถ้ารู้ว่าวิธีการขออนุญาตวางไข่คือการแก้ผ้าโทงๆ ให้อีกฝ่ายพิจารณาไปทุกสัดส่วนล่ะก็ ผมคงไม่บอกให้มันทำตามธรรมชาติหรอก แม่งโรคจิตชัดๆ!

“รีบใส่เสื้อผ้ากลับไปเลยเร็ว!” ผมออกคำสั่ง

คีธติดตะขอกางเกงเหมือนเดิม พลางเดินมาหยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นสวม ผมมองแล้วก็คิดว่าหมอนี่คงไม่ผ่านแน่นอน ทว่าก็ผิดคาดเมื่อจู่ๆ ริชาร์ดก็ปรบมือพลางหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ

“เฮ้ย ถูกใจว่ะ ไอเดียนายโคตรเจ๋งเลย แบบนี้สิถึงจะได้ฟีลเอเลี่ยน ปรับบทนิดหน่อย รับรองว่าได้เรื่องแน่”

แก้ผ้าต่อหน้าฝูงชนมันได้ฟีลเอเลี่ยนตรงไหนวะ!

ผมอยากจะแย้งนะ แต่พอเห็นริชาร์ดร้องบอกทุกคนว่าได้นักแสดงสำหรับบทนี้แล้ว ผมก็ได้แต่ยกมือคลึงขมับตัวเองไปมา

มาถึงขั้นนี้ก็คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel