Episode 04: Alien Prince’s casting【1】
ผมนอนแผ่หลาไม่ต่างอะไรจากปลาขาดน้ำหลังจากถูกคีธสูบสารอาหารเต็มที่ ในเมื่อไม่ต้องรีบร้อน มันก็ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะสูบสารอาหารมากกว่าครั้งแรกอยู่มากโข เพราะมันทำให้เรี่ยวแรงที่ผมมีอันตรธานหายไปเกือบหมด แม้จะนอนพักไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว เรี่ยวแรงก็ยังไม่กลับคืนมาเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังวิงเวียนไม่หาย แถมยังหิวจนท้องกิ่วอีกด้วย
ริชาร์ดที่เพิ่งจะกลับมาหลังจากสองชั่วโมงให้หลัง พอเห็นผมนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟาในสภาพอิดโรยก็จุ๊ปากเป็นจิ้งจกทันใด
“หมดแรงขนาดนี้สงสัยจะโดนหนัก”
“ข้าเผลอตัวไปเลยลืมยั้งมือ แต่จริงๆ ก็แค่รอบเดียวเท่านั้น” ไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้าตายว่าสวนขึ้น ทำเอาริชาร์ดหันไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ขนาดแค่รอบเดียวยังทำเอารากเลือดขนาดนี้ แล้วนี่ถุงยงถุงยางก็ไม่ใช้ ระวังเควินเครื่องพังก่อนวัยอันควรนะ”
สาบานเลยว่าคีธไม่รู้จักว่าถุงยางคืออะไร แต่หมอนั่นก็ไม่ได้สนใจ นอกจากพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดเท่านั้น แถมสิ่งที่พูดออกมายังส่อไปในทางสองแง่สองง่ามอีกด้วย แม้ว่าหมอนั่นจะไม่ได้คิดไปในทางนั้นเลยก็ตาม
“ข้าก็ลืมไปว่าสหายเจ้าเพิ่งจะเคย ครั้งหน้าข้าจะระมัดระวังมากกว่านี้”
“ดีแล้ว มือใหม่ก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไว้คล่องเมื่อไหร่ค่อยจัดเต็ม”
“ได้ ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบทำอย่างเบามือเช่นกัน มันไม่ทันใจ”
พวกมึงคุยกันคนละเรื่องเดียวกันแล้วเว้ย! กูแค่โดนสูบสารอาหาร อย่ามาทำเป็นว่ากูเพิ่งผ่านศึกมาอย่างหนักหน่วงสิวะ!
“หุบปากกันได้ละ” ผมพึมพำ หันไปมองริชาร์ดตาขวาง
หมอนั่นหัวเราะร่วนที่เห็นผมหัวเสีย “ถ้าไม่อยากให้พูดถึง ทีหลังก็อย่ามาทำกันในห้องเพื่อนสิวะ”
ไปบอกไอ้มนุษย์ต่างดาวนั่นเถอะ! บอกมันแล้วว่าอย่ามาสูบอาหารในนี้ เป็นไงล่ะ โดนเข้าใจผิดเลยแม่ง!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าริชาร์ดอย่างนั้น ทว่าก็ทำได้แค่มองอย่างโกรธๆ แล้วดันตัวขึ้นนั่ง แขนทั้งสองข้างที่ยันโซฟาพยุงตัวเองขึ้นสั่นระริกจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน ทำให้ริชาร์ดแซวออกมาทันควัน
“ท่าจะหนักเอาเรื่องแฮะ สั่นระริกไปทั้งตัวแบบนี้ เป็นไงล่ะพ่อเพลย์บอย ระหว่างนายกับคีธใครแน่กว่ากันวะ”
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมคว้าหมอนอิงไปปาใส่มัน แต่ก็ไม่โดนเพราะแรงของผมไม่มากพอจะปาหมอนให้พ้นจากโซฟาได้
ลุกขึ้นมานั่งได้ ริชาร์ดก็เดินหัวเราะไปหยิบขวดเครื่องดื่มชูกำลังมาให้
“เอ้า ดื่มซะ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ค้างที่นี่ก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยกลับ”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบนอนค้างที่อื่น นี่ก็ยังไม่เย็น พักอีกสักแป๊บก็น่าจะดีขึ้น” ผมว่าขณะเปิดฝาขวดเครื่องดื่มชูกำลังออก
“เอาน่า ไม่ไหวจริงๆ ก็ค้างเถอะ เดี๋ยวฉันสละห้องนอนให้ รับรองว่าไม่กวน” ริชาร์ดว่า
ตอนแรกก็ยังพอทนฟังคำล้อเลียนของมันได้อยู่หรอก แต่พอชักถี่เข้าก็เริ่มไม่ชอบใจละ ตวัดหางตาไปมองดุๆ แล้วพ่นภาษาไทยใส่มัน
“ไอ้เวรริชาร์ด”
“หืม? อย่าพูดภาษาตัวเองสิ ฟังไม่ออก” ริชาร์ดหัวเราะกลบเกลื่อน จริงๆ มันก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าผมเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว มันก็เลยเปลี่ยนเรื่อง หันไปหยิบแฮมเบอร์เกอร์ที่ซื้อมาวางบนโต๊ะข้างหน้าผมแทน
“อีกสักพักนายคงจะหิว ใช้แรงเยอะขนาดนี้ต้องบำรุงกันหน่อย”
สุดท้ายก็ไม่พ้นแซวผมอยู่ดี และก่อนที่ผมจะได้ขว้างขวดเครื่องดื่มชูกำลังใส่มัน มันก็หันไปตบบ่าคีธ
“ดูแลคู่ขานายด้วย เดี๋ยวฉันไปทำสตอรีบอร์ดต่อละ ตามสบายนะ ฉันจะไปทำในห้องนอน” ว่าจบ มันก็จัดการขนข้าวของหนีเข้าไปในห้องนอน
พอเหลือแค่คีธกับผมเพียงสองคน ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเราทันใด แต่ก็ดีแล้วล่ะ ผมไม่อยากจะเสวนากับหมอนี่เท่าไหร่ ยิ่งเหนื่อยๆ อย่างนี้ด้วยจะพานหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่ จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหมุนฝาเครื่องดื่มในมือออกเท่านั้น
ทว่าไอ้ฝาเครื่องดื่มนี่ก็ไม่รู้จะแน่นไปไหน หมุนตั้งนานแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะออกสักที
ชักจะโมโหแล้วนะแม่งเอ๊ย!
ก็รู้แหละว่าที่เปิดไม่ออกเป็นเพราะเรี่ยวแรงผมไม่มี แต่ก็อดโมโหไม่ได้ ผมเลยทำท่าจะวางมันลงบนโต๊ะ หากแต่คีธที่มองดูอยู่นานก็ตรงเข้ามาหาแล้วยื่นมือมาข้างหน้าเสียก่อน
“ส่งมา ข้าเปิดให้”
ผมยื่นให้หมอนั่นรับแต่โดยดี คีธวางมือข้างหนึ่งลงบนฝาขวด ขณะที่อีกข้างจับตัวขวดไว้แน่น พลันออกแรงบิดเล็กน้อย
และ...
เพล้ง!
เปิดมันออกในสภาพคอขวดหัก...
ให้เปิดฝาโว้ย ไม่ใช่ให้พังขวด!
“เอาไป” หมอนั่นยื่นขวดกลับมาให้ผม
ผมพ่นลมหายใจพรืด มองหน้าหมอนั่นอย่างระอา
จะให้ดื่มยังไงวะ คอขวดแตกเป็นปากฉลามอย่างนั้น แล้วก็เชื่อได้เลยว่าในขวดนั่นคงจะมีเศษแก้วแตกหล่นลงไปด้วยแหง
“ไม่ล่ะ ฉันจะกินเบอร์เกอร์” ผมเมินหมอนั่นหน้าตาเฉย เอื้อมมือไปคว้าเบอร์เกอร์มาแกะออกจากห่อแทน
คีธมองผมเล็กน้อย วางขวดนั่นลงบนโต๊ะแล้วเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ผมแทน สายตาจับจ้องผมที่กำลังอ้าปากงับเบอเกอร์ ถ้าจ้องธรรมดา ผมจะไม่อะไรเลย นี่เล่นจ้องชนิดตาไม่กะพริบจนผมต้องลดเบอร์เกอร์ในมือลง หันไปถามอย่างเอาเรื่อง
“จะมองอะไรนักหนา เห็นแล้วหิวหรือไง เมื่อกี้สูบสารอาหารจากฉันไม่พอเหรอวะ”
“ข้าไม่ได้อยากกินอาหารเจ้า”
“แล้วมองทำไม” ผมว่าเสียงขุ่น ปากก็งับเบอร์เกอร์เคี้ยวตุ้ยๆ ไปด้วย
“ข้าเพียงแต่จะบอกว่าข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าคุยกับสหายเจ้าในนั้นเกี่ยวกับภารกิจของข้า”
ได้ยิน ผมก็สำลักทันใด รีบหันไปมองหน้าหมอนั่นด้วยดวงตาเบิกโพลง
“ได้ยินได้ยังไงวะ”
“ก็เคยบอกเจ้าแล้วว่าประสาทสัมผัสของข้าดีกว่ามนุษย์โลกมากนัก ไม่ใช่เพียงกลิ่นกายเจ้าที่ข้าจดจำได้ แต่ข้ายังสามารถได้ยินเสียงในรัศมีหลายสิบกิโลเมตรอีกด้วย”
ฟังแล้วผมก็อึ้งไป ให้ตายเถอะ นี่เอเลี่ยนหรือหมา ประสาทสัมผัสจะดีเกินไปแล้ว ไม่สิ... ประสาทสัมผัสดีกว่าหมาอีก!
“ในฐานะที่เจ้าเป็นโฮสต์ให้ข้า ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้ว่าข้ามาที่นี่ทำไม แต่รู้ไว้เลยว่าข้าไม่ได้มาที่ดาวของเจ้าเพราะหมายจะรุกราน แต่มาเพื่อขยายเผ่าพันธุ์และหาที่ลงหลักปักฐานใหม่ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือตามหาพรรคพวกของข้า”
ผมเกิดอาการยัดอาหารไม่ลงขึ้นมากะทันหัน ถึงจะไม่ใช่อย่างที่ริชาร์ดพูดเสียทีเดียว ทว่าก็มีส่วนถูกอยู่ และไอ้การที่หมอนี่มาขยายเผ่าพันธุ์รวมถึงลงหลักปักฐาน มันก็หมายความว่าหมอนี่กับพรรคพวกคงจะมีแผนยึดครองโลก แน่นอนว่าการขยายเผ่าพันธุ์ก็คงจะเป็นการวางไข่ใส่มนุษย์อย่างที่ผมโดนนี่แหละ ส่วนลงหลักปักฐานนี่ผมยังไม่แน่ใจนัก แต่เชื่อเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ผมรีบเก็บความตระหนกลงไป รีบปั้นสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“แล้วทำไมไม่ไปที่ดาวอื่น มาที่โลกทำไม”
“เพราะมนุษย์โลกเป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มฮิวมานอยด์ที่รักสงบและด้อยพัฒนาที่สุดซึ่งง่ายต่อการควบคุมของพวกข้า จะทำการอันใดก็ค่อนข้างจะง่ายดายต่อการตบตามากกว่าชาติพันธุ์บนดาวอื่นนัก”
“จ้องจะยึดครองโลกชัดๆ” ผมพึมพำ
“ไม่ได้มายึดครอง เรียกว่าว่าพึ่งพาจะดีกว่า”
ไอ้มนุษย์ต่างดาวปรสิต! อยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองไม่เป็นกันหรือไง!
เหมือนคีธจะรู้ว่าผมคิดอะไรจากการมองสีหน้า จึงโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกเราพึ่งพาพวกเจ้าโดยการวางไข่และพักอาศัยที่ดาว ส่วนพวกเจ้าก็รับวิทยาการจากเราเป็นการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนดาวของเจ้าล้วนมาจากนักคิดของดาวเราทั้งนั้น”
ผมนึกถึงนักวิทยาศาสตร์ในหนังบางเรื่องที่เป็นมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวมาทันใด สงสัยพวกของหมอนั่นก็คงจะเป็นอย่างนั้นด้วยล่ะมั้ง แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการค่อนแคะมันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวที่ทำตัวสูงส่งนี่ต้องพึ่งพามนุษย์โลกด้อยวิทยาการมากแค่ไหน
“ถ้ามีวิทยาการก้าวหน้านาดนั้น ทำไมไม่สร้างยาที่ทำให้อยู่ได้โดยไม่ต้องไปดูดปากชาวบ้านเค้าวะ”
“ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่ยาที่พวกข้าเอามาจากดาวมันสูญหายไประหว่างการถูกไล่ล่าและสละยาน แต่เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อข้าตามหาพรรคเจอและไปยังสถานที่ที่มียานั่นอยู่ได้ เมื่อนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าโดยการกินสารอาหารและวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่อีกต่อไป”
แต่ขยายเผ่าพันธุ์นี่ยังคงต้องพึ่งอยู่สินะ?
“จะอะไรก็เอาเถอะ ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้โลกของฉันก็พอรับได้” ผมตัดบทด้วยไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ให้ปวดหัวอีกต่อไป แต่ก็ฉุกใจนึกขึ้นมาได้ว่าการที่มนุษย์ต่างดาวสักพวกหนึ่งจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ มันคงต้องมีสาเหตุ ซึ่งไอ้สาเหตุนี่ต้องค่อนข้างหายนะพอสมควรด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ระเห็จกันมาอย่างนี้หรอก
“ว่าแต่พวกนายย้ายถิ่นฐานมากันทำไม ถูกรุกรานหรือไง”
