Episode 03: Alien’s guru【1】
พอหายเวียนหัว ผมก็ต้องถ่อสังขารไปซูเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ให้หมอนั่น ดีที่ผมซื้อเสื้อผ้าบ่อย แถมยังเป็นคนเลือกให้เพื่อนผู้ชายหลายๆ คนที่ไร้เซ้นส์แฟชั่นอีก แค่ประเมินจากสายตาก็กะขนาดไซส์ของไอ้คนชื่อแปลกนั่นได้แล้ว
ผมรีบกลับมาที่ห้องพร้อมเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หมอนั่นใส่ จริงๆ มันก็เป็นแค่เสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงยีนส์ยี่ห้อตลาดๆ ที่ผมไม่ใส่เท่านั้นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่บนตัวหมอนี่แล้วดูดีเป็นบ้า บอกเลยว่าตอนนี้หมอนี่ไม่เหลือคราบมนุษย์ต่างดาวในชุดบอดี้สูทเงาเลื่อมเลยแม้แต่น้อย ถ้าเดินไปแถวย่านแฟชั่นสักหน่อย ต่อให้เป็นชุดบ้านๆ แบบนี้ ผมก็รับรองไดhว่าต้องมีโมเดลลิงมาแจกนามบัตรให้แน่นอน
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมมองหมอนั่นแล้วตระหนักได้ว่าหมอนี่เป็นตัวอะไร ผมพอจะทำใจยอมรับได้บ้างแล้วล่ะเรื่องที่หมอนี่เป็นมนุษย์ต่างดาว เพราะก็เชื่ออยู่ลึกๆ อยู่เหมือนกันว่านอกจากโลกแล้ว ก็น่าจะยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นอีก แค่ไม่นึกไม่ฝันว่าสักวันจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมเท่านั้น
ผมกอดอกมองหมอนั่นเดินว่อนไปมาในห้องอย่างพินิจ
โอเค ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมก็ต้องรู้ข้อมูลของหมอนี่เอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้เท่าที่ผมรู้คือ...
หนึ่ง... หมอนี่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกได้ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ หลังจากนั้นจะต้องวางไข่โดยใช้มนุษย์โลกเป็นโฮสต์ในการสร้างร่างใหม่ แถมยังเจริญเติบโตได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงและคลอดออกมาโดยการแหกสะดือโฮสต์
สอง... หมอนี่ไม่กินอาหารเหมือนมนุษย์ แต่กินสารอาหารจากโฮสต์โดยผ่านทางปาก เห็นมันว่ามันมีความสามารถในการสังเคราะห์น้ำลายให้กลายเป็นสารอาหารอีกทีด้วย และแน่นอนว่าการถูกมันดูดสารอาหารอย่างนั้น ทำให้ร่างกายผมอ่อนเพลียและวิงเวียนมากจนต้องซัดอาหารมื้อใหญ่เข้าไปเป็นการชดเชยภายหลัง
สาม... หมอนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ ท้องได้ทั้งชายและหญิง แถมชายกับชายก็ท้องได้อีกด้วย หนำซ้ำยังสามารถตั้งท้องโดยไม่ต้องมีอะไรกัน
และสี่... หมอนี่มาที่โลกเพื่อทำภารกิจบางอย่าง
ผมไม่รู้ว่าการที่หมอนี่กับพรรคพวกมาที่โลกมนุษย์นั้นมาเพื่ออะไรกันแน่ ถ้าให้ผมเดานะ เอเลี่ยนอย่างหมอนี่ ถ้าไม่มาแพร่พันธุ์ก็ต้องมายึดโลกแน่นอน ประสบการณ์ของผมจากที่เห็นในหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกหลายๆ เรื่องมันบอกมา ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง อี.ที. เพื่อนรักจากต่างดาว ที่เคยดูตอนเด็กๆ จะไม่ได้บุกยึดโลกและมนุษย์ต่างดาวก็ดูหน่อมแน้มก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ตัวที่อยู่ในห้องผมจะไว้ใจได้นี่หว่า
ปากก็บอกว่ามาอย่างสันติ แต่มาถึงก็วางไข่แล้วพุ่งทะลุสะดือชาวโลกออกมา ดูยังไงก็ไม่สันติสักนิด! ถ้ามันเป็นอย่างเอเลี่ยนที่เคยเห็นในหนังก็คงจะสยองพิลึก อะไรไม่ว่า ผมนี่แหละที่จะโดนมันงาบเป็นคนแรก
ครุ่นคิดอยู่ได้ครู่หนึ่ง ผมก็นึกถึงเพื่อนสนิทในคณะที่เป็นคนจีนขึ้นมา ไอ้หมอนี่เป็นพวกคลั่งหนังแนวมนุษย์ต่างดาวกับสัตว์ประหลาด ไปถามเรื่องเอเลี่ยนก็คงจะพอรู้อะไรบ้างแหละว่าพวกมันจะมาที่โลกกันทำไม
เท่านั้นผมก็เดินไปคว้าโทรศัพท์แล้วโทรหามัน แต่มันไม่รับเลยส่งข้อความไปบอกลวกๆ ว่าจะแวะไปหาเสร็จ ผมก็เดินไปแต่งตัวที่ห้องนอน ทว่าพอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมาปะทะกับไอ้เอเลี่ยนชื่อเรียกยากเข้าอย่างจัง
“จะไปไหน”
“ไปทำธุระ” ผมว่าคิ้วยุ่งๆ หมอนั่นมองผมอย่างจับผิด
“ข้าว่าเจ้าคงจะไปหาใครสักคนคุยด้วยเรื่องข้า”
ทำไมมันรู้ดีจังเลยวะ!
“ก็แค่จะแวะไปหาเพื่อน ถ้าไม่เชื่อจะตามไปด้วยมั้ยล่ะ” ส่วนผมก็ดันเป็นพวกถูกจับได้แล้วไม่ยอมรับ พอโดนรู้ทันอย่างนั้น ผมก็โพล่งออกไปไม่ทันคิด
แล้วอย่าถามนะว่าหมอนั่นจะไปมั้ย... มันก็ต้องไปด้วยแหงอยู่แล้ว!
“ก็ดี ข้าจะได้ไปสำรวจดาวของเจ้าด้วย”
ปากพล่อยจริงๆ! ถ้ามันไปด้วยอย่างนี้ แล้วผมจะคุยกับเพื่อนได้ยังไง!
“งั้นพอฉันไปถึงอพาร์ตเม้นต์เพื่อน นายก็ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นแล้วกัน แยกย้ายกัน ต่างคนต่างไป แล้วค่อยกลับมาเจอกันใต้อพาร์ตเม้นต์อีกสองชั่วโมง” ผมทำเนียนไป เผื่อว่าหมอนี่จะเห็นด้วย
“ไม่” แล้วมันก็แสกหน้าผมเข้าให้อย่างจัง
จริงๆ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องลงเอยอย่างนี้
“แล้วนายจะมาเกาะแกะอะไรฉันหนักหนา ให้วางไข่ก็ให้วางแล้ว คลอดก็คลอดแล้ว แถมยังเป็นเครื่องให้อาหารนายแล้วด้วย ให้ฉันมีเวลาส่วนตัวบ้างเถอะ!” ผมแสร้งทำเป็นเดือดดาล โวยวายใส่ด้วยหวังว่าต่อมสมบัติผู้ดีของมันจะทำงานขึ้นมาบ้าง ถึงจะไม่รู้ว่าไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่จะรู้จักคำว่าสมบัติผู้ดีหรือเปล่าก็เถอะ
แต่ผมคงจะลืมคิดไปว่าหมอนี่มันหน้ามึนขนาดไหน ขนาดไล่แล้วยังไม่ไป นับประสาอะไรกับขอเวลาส่วนตัวอย่างนี้
“ข้าเพิ่งฟักตัวจากไข่ ยังต้องการสารอาหารจากเจ้าอีกมาก มันยังอ่อนแอ ไม่คืนสภาพดีนัก การปล่อยให้เจ้าไปไหนมาไหนตามลำพังแล้วข้าต้องการสารอาหารเมื่อไหร่ หากไม่ได้รับสารอาหารในทันที อวัยวะภายในของข้าจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ต้องรอให้ผ่านไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนถึงจะกลับเป็นปกติ”
ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองพลัน นี่หมายความว่าผมต้องยอมให้มันดูดปากอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย!
“แต่ถ้าเจ้ายืนกรานว่าจะขอเวลาส่วนตัว ข้าก็คงต้องกักเก็บสารอาหารจากเจ้ามาไว้ให้เพียงพอก่อน ถึงจะยอมให้เจ้าไปตามลำพังได้” แล้วหมอนี่ก็พูดขึ้นมาอีก พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังเดินเข้ามายกมือประคองใบหน้าผมอีกด้วย
คราวนี้ผมไม่ยอมให้หมอนี่ได้ประกบปากสูบอะไรต่อมิอะไรได้อีก รีบยกมือดันหน้ามันเอาไว้ ก่อนจะรีบร้องบอกอย่างรนๆ
“เออๆ ไปด้วยก็ได้ พอซะที โดนดูดปากจากผู้ชายด้วยติดกันหลายๆ รอบมันไม่น่าพิสมัยนะโว้ย!”
หมอนั่นยอมถอยแต่โดยดี แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ผมย่นคิ้วยู่
“แต่ถ้าข้าต้องการ เจ้าก็ต้องยินยอม ปฏิเสธไม่ได้”
จำเลยรักชัดๆ เลยแม่ง!
ผมทำปากขมุบขมิบ ก่นด่ามันนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถ้าพาหมอนี่ไปให้เพื่อนเจอ รับรองเลยว่าต้องถูกเพื่อนถามแน่ว่าพาใครมา และผมก็เดาได้เลยว่าไอ้เพื่อนสนิทนั่นมันคงจะคิดว่าผมพาคู่ขามา
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็มันน่ะคิดอยู่ตลอดว่าผมเป็นโฮโมฯ ผมไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องนั้นเพราะพอเข้าใจอยู่ว่าหน้าตา รูปร่างและการแต่งกายของผมมันส่อไปในทางนั้น แต่ผมก็ไม่ค่อยชอบใจอยู่ดีที่ได้ยินมันล้ออย่างนั้น ฉะนั้น อย่างน้อยถ้าจะพาไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่ไปด้วยก็ต้องเตรี๊ยมกันก่อน
“เออนี่ คีธ...” คิดแล้วผมก็พูดออกไปทันที ทว่าหมอนั่นหันมามองผมแล้วสวนคืนฉับพลัน
“ชื่อเต็มของข้าคือ คีทาเย ซาเคมอร์ฟ”
“เรียกยาก ฉันเรียกนายว่าคีธแล้วกัน” ผมตัดบทเอาลวกๆ
หมอนั่นมองหน้าผมก่อนพยักหน้า “ ภาษายูนิกมาคงจะไม่คุ้นชินกับมนุษย์โลกมากนัก เรียกอย่างนั้นก็ได้”
ไม่ให้เรียกก็จะเรียกโว้ย ชื่อบ้าบอคอแตกอะไรของมัน เรียกโคตรยาก!
“ถ้าไปถึงห้องเพื่อนฉัน นายอย่าไปพูดมากเชียว อย่าพูดแม้แต่คำเดียวด้วยถ้าถูกถามอะไรแปลกๆ เพื่อนฉันคนนี้ไม่ธรรมดา มันเป็นโปรฯ ด้านมนุษย์ต่างดาว ถ้ามันรู้ว่านายมาจากนอกโลกล่ะก็ รับรองเลยว่าความลับของนายรู้กันไปทั่วแน่” ผมแกล้งขู่นิดหน่อยให้เขาเชื่อฟัง
คีทา... เออ มันชื่อคีธแล้วนี่นา... คีธทำหน้านิ่งแล้วก็ว่าเสียงเรียบ
“ไม่ยาก แค่ฆ่าพวกที่รู้ความลับข้าก็สิ้นเรื่อง”
ผมเบ้หน้าใส่ ไอ้หมอนี่มาอย่างสันติแน่เหรอวะ เอะอะขู่ฆ่าลูกเดียวเนี่ย!
“เอาเป็นว่าอย่าทำอะไรให้มีพิรุธแล้วกัน ฉันขี้เกียจแก้ต่างให้ แล้วถ้ามันถามว่าฉันกับนายเป็นอะไรกัน ก็ไม่ต้องไปตอบอะไรแล้วกัน เดี๋ยวเรื่องจะยาว” ผมดักคอเอาไว้เลย
คีธยอมรับข้อเสนอแต่โดยดี ก่อนที่จะตามผมออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังที่พักของเพื่อนสนิทผมทันใด
เพื่อนสนิทผมคนนี้มันชื่อว่า ริชาร์ด หวัง มันเป็นคนจีน แต่สัญชาติอเมริกัน เคยได้ยินมันเล่าว่าพ่อแม่มันพาย้ายมาอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เด็กก็เลยเปลี่ยนสัญชาติ ผมสนิทกับมันเพราะมันเป็นเอเชียคนเดียวในคลาสที่ผมเรียนอยู่ และมันก็ยังเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง เรียกได้ว่ามีงานปาร์ตี้ใหญ่ๆ ที่ไหน ต้องเจอมันที่นั่น แถมมันยังเป็นคนพาผมเข้าวงการนี้อีกด้วย ผมก็เลยสนิทกับมันไปโดยปริยาย
ที่พักของริชาร์ดอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก มันเป็นอีกคนที่ไม่ยอมอยู่หอพักนักศึกษาของมหา’ลัยด้วยเหตุผมเดียวกันกับผมคือ หอพักนักศึกษาของมหา’ลัยมีกฎระเบียบเยอะ กำหนดเวลาเข้าออก แถมยังแยกชาย-หญิง และจัดงานปาร์ตี้ไม่ได้ ผมกับมันเลยระเห็จมาอยู่กันข้างนอกแม้ว่าจะต้องจ่ายแพงกว่าก็ตาม แต่ผมไม่อยู่กับมันหรอกนะเพราะผมเป็นพวกชอบความเป็นส่วนตัว บางครั้งหิ้วสาวกลับห้องก็ไม่อยากจะให้ใครมารบกวน ริชาร์ดเองก็เหมือนกัน หมอนั่นก็คงไม่อยากให้ใครมารบกวนตอนกำลังเมากัญชาอยู่แน่
ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าหมอนั่นน่ะ นอกจากจะเป็นเจ้าพ่อปาร์ตี้แล้ว เหล้ายากัญชาก็ขอให้บอก แทบจะเปิดร้านขายเองแล้วมั้ง เป็นนักปาร์ตี้คนละสายกับผมโดยสิ้นเชิง สำหรับผมน่ะ แค่มีสาวๆ ให้คั่วก็พอใจแล้ว ไม่ลงไปเกลือกกลั้วกับอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่
ผมมาหยุดอยู่หน้าห้องของริชาร์ด กลิ่นเหม็นฉุนของบุหรี่ผสมกัญชาลอยคละคลุ้งลอดออกมาจากใต้ประตูทำให้ผมรู้ว่าที่หมอนั่นไม่ยอมรับโทรศัพท์ คงเป็นเพราะเมาอยู่แหง ผมเลยเคาะประตูเรียกไปแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง พักใหญ่ทีเดียวกว่าหมอนั่นจะมาเปิดประตูให้
พอประตูเปิดออก ริชาร์ดก็โผล่หน้าตี๋ พร้อมกับดวงตาเรียวเล็กปรือๆ ออกมามอง ในมือหมอนั่นยังคีบบุหรี่ยัดไส้กัญชาไว้อยู่เลย ก่อนที่หมอนั่นจะเอ่ยปากทักเมื่อตระหนักได้ว่าแขกที่มาทำลายเวลาเปี่ยมสุขคือผม
“เอ้า เควิน มีอะไรถึงโผล่หัวมาหาฉันถึงที่ได้ เมื่อวานก็ไม่ไปเรียน เมาค้างยาวเหรอวะ” ริชาร์ดว่าขำๆ
“เออ หนักไปหน่อยก็เลยหยุด” ผมเออออไปตามเรื่อง ไม่อยากจะมาอธิบายว่าที่ไม่ไปเรียนก็เพราะโดนไอ้บ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ วางไข่แล้วคลอดมันออกมา “แล้วนี่พี้กัญชาตั้งแต่หัววันเลยเหรอวะ ไม่มีเรียนหรือไง”
ผมทักกลับไปบ้าง ที่ทักอย่างนี้ก็เพราะริชาร์ดไม่ได้เรียนคลาสเดียวกับผมทุกวิชา
ริชาร์ดส่ายหน้าพรืด “ไม่มี ส่งโปรเจ็กต์เสร็จก็ว่างแล้ว มีแต่โครงการหนังสั้นของชมรมที่ต้องนั่งทำสตอรีบอร์ด”
ผมไม่แปลกใจนักแล้วล่ะว่าทำไมหมอนี่ถึงเมาตั้งแต่หัววัน จำได้ว่าริชาร์ดเคยพูดไว้ว่าไอเดียจะมาก็ตอนที่กำลังเมากรึ่มๆ ได้ที่ นี่คงจะนั่งทำงานอยู่ล่ะมั้งถึงได้เมาตาหวานตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินอย่างนี้
ผมทำท่าจะพูดต่อว่าผมมาหาทำไม ทว่าริชาร์ดก็ดันเหลือบมาเห็นคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ มเอาในตอนนี้ พลันหรี่ตาลงจนดวงตาที่เล็กเรียวอยู่แล้วเล็กมากขึ้นไปอีก ดูเผินๆ อย่างกับหลับตา ก่อนจะถามออกมาพลางชี้บุหรี่ในมือไปที่หน้าของคีธด้วย
“แล้วนี่ใคร”
“ข้าชื่อคีทาเย ซาเคมอร์ฟ” คีธตอบแทบจะในทันที ลืมไปหมดสิ้นว่าตกลงกับผมไว้ว่าอะไร แถมยังบอกชื่อจริงตัวเองไปอีก
“คีอะไรนะ” ริชาร์ดทำหน้าไม่เชื่อหูว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นชื่อคน
“คีทาเย ซาเค...”
“หมอนี่ชื่อคีธ” ผมรีบชิงพูดก่อนที่หมอนั่นจะพูดชื่อตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งคู่หันมามองผมที่ทำหน้าหงุดหงิดแทบจะในทันใด ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปยังริชาร์ดอีกครั้งเมื่อเขาพูดขึ้นมา
“แล้วนี่...เป็นเพื่อนหรือคู่ขาคนใหม่ล่ะ เปลี่ยนแนวแล้วเหรอวะเควิน”
ว่าแล้วเชียวว่ามันจะต้องพูดแบบนี้ คิดไว้ไม่มีผิด!
“หุบปากน่า” ผมว่าเสียงขุ่น
ริชาร์ดหัวเราะ ก่อนจะหันไปหาคีธอีกครั้ง
“เอาเป็นว่ายินดีที่ได้เจอนายแล้วกันคีธ ฉันชื่อริชาร์ด หวัง แต่อย่าเรียกด้วยนามสกุลเลย มันไม่น่าฟังเท่าไหร่” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังยื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือบุหรี่ไปข้างหน้าให้คีธจับอีก
