Episode 02: The host【1】
ไม่รู้ว่าผมหมดสติไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่มีอะไรบางอย่างเป็นแท่งๆ ยัดลงมาในปาก และพอลืมตาขึ้น ก็เห็นนิ้วชี้ของไอ้คนที่แหกสะดือผมออกมาคาปากอยู่ คาปากเฉยๆ ยังไม่เท่าไหร่ นี่มีน้ำอะไรใสๆ ไหลออกมาจากปลายนิ้วด้วยก็ไม่รู้ แย่ไปกว่านั้นคือ ผมดันดูดอย่างเมามันส์ประหนึ่งดูดจุกนมก็ไม่ปาน
“อะไรวะเนี่ย!”
ผมรีบเด้งตัวขึ้นบ้วนน้ำลายผสมกับน้ำรสหวานปะแล่มที่อบอวลอยู่ในปากทิ้งอย่างไม่ไยดี พลันถอยกรูดไปจนติดหัวนอน หัวสมองคิดทบทวนพลันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ก่อนจะระลึกได้ว่าก่อนหน้านี้ผมสลบไปหลังจากถูกไอ้หน้าตายที่นั่งอยู่ข้างเตียงแหกสะดือออกมา เท่านั้นก็ตัวสั่นงันงกขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์
“สารอาหารจากร่างกายข้า มันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น” หากแต่หมอนั่นไม่สะทกสะท้านกับท่าทางของผม นอกจากชูนิ้วชี้ที่ผมดูดไปเมื่อครู่ขึ้น
น้ำสีใสแจ๋วหยดแหมะออกจากปลายนิ้วเขาตกลงบนผ้าปูเตียงสีขาวเป็นดวง ผมมองแล้วก็เกิดอาการคลื่นเหียนขึ้นมาพลัน
รู้สึกดีกับผี! ขยะแขยงเป็นบ้า! น้ำอะไรของมันเนี่ย!
ผมเอานิ้วล้วงคอแทบจะในทันใด พยายามขย้อนของในกระเพาะออกมาเต็มแรง แต่ก็มีเพียงน้ำลายเท่านั้นที่ออกมา นั่นก็เพราะวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้กินอะไรไปเลยแม้แต่น้อย ขย้อนจนน้ำหูน้ำตาไหลได้พักหนึ่ง หมอนั่นก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก
“ไม่เป็นไรหรอก สารอาหารจากร่างกายข้าเข้าได้กับทุกชาติพันธุ์ในจักรวาล”
นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอวะว่าที่ผมสำรอกจะเป็นจะตายนี่เพราะอะไร มันไม่ได้เกี่ยวกับเข้าได้หรือไม่ได้เว้ย แต่มันขยะแขยง!
ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้สนใจน้ำบ้าๆ ที่ถูกยัดเยียดเข้าปากตอนไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่นัก ที่สำคัญมากกว่านี้ก็คือ หมอนี่เป็นใครและเป็นตัวอะไรต่างหาก!
“นะ...นายเป็นใคร” เท่านั้นผมก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาก็ปราดมองสำรวจร่างกายเขาไปด้วย
จากการประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ แล้ว หมอนี่น่าจะสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ ร่างกายกำยำสูงใหญ่กอปรกับหน้าตาหล่อชวนฝันนั่นทำให้สาวๆ หลงใหลหลงใหลได้ไม่ยาก แถมยังแก้ผ้าล่อนจ้อนอีกต่างหาก ดูดีๆ เนื้อตัวยังมีคราบเมือกแห้งๆ ติดอยู่เลย เห็นแล้วก็ชวนให้อยากล้วงคออีกรอบเป็นบ้า
“ข้าไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ของดาวนี้ แต่ข้ามาจากดาวที่ห่างจากดาวของเจ้าสิบห้าพันล้านปีแสง”
หัวสมองผมประมวลผลคำพูดของหมอนี่ทันที
ไม่ได้เป็นชาติพันธุ์ของดาวนี้ ก็แสดงว่า...
“มะ...มนุษย์ต่างดาว...” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อ
ทว่าอีกฝ่ายกลับพยักหน้ารับ “ถ้าเป็นภาษาของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินล่ะก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่ เผ่าพันธุ์ในจักรวาลจะเรียกพวกข้าว่าชาวยูนิกมา เพราะดาวของข้าชื่อว่ายูนิกมา”
ผมทำหน้าไม่เชื่อ แต่ถึงจะไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันเหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติมากหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใดๆ จะมาอธิบายได้แล้ว นี่ถ้าไม่ได้มาเจอกับตัวล่ะก็ ใครเล่าให้ฟัง ผมก็คงจะด่าว่าบ้าไปแล้ว ร้ายกว่านั้นก็คือ... มันโผล่มาที่โลกทำไม
และเพราะท่าทางของผมแสดงออกชัดเจนว่าหวาดกลัวชัดเจน หมอนั่นจึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป
“ข้ามาเยือนดาวของเจ้าก็เพราะภารกิจบางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้ามาอย่างสันติ ไม่ทำอันตรายคนของดาวเจ้าทั้งนั้น”
“สันติตรงไหนวะ ผุดออกจากสะดือให้เห็นกันจะๆ นี่ ไม่มีใครเรียกว่าสันติแล้ว” ผมพึมพำออกไปอย่างลืมตัว
อีกฝ่ายมองหน้าผมนิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาด้วยเกรงว่าจะถูกทำอันตรายขึ้นมา พลันคว้าหมอนที่อยู่ใกล้ๆ มากอดแน่นบังร่างตัวเองเอาไว้ เผื่อว่าถ้าถูกจู่โจม อย่างน้อยหมอนก็น่าจะบรรเทาแรงปะทะได้ไม่มากก็น้อย
แต่ผิดคาด หมอนั่นไม่ได้จู่โจมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากว่าหน้าตายเท่านั้น
“เรื่องนั้นข้าต้องขออภัยที่เสียมารยาท ปกติชาวยูนิกมาจะไม่กระทำอย่างที่ข้าทำ เราจะขออนุญาตก่อน เมื่อได้รับการยินยอม เราถึงจะวางไข่ แต่ที่ข้าไม่ได้รอให้เจ้ายินยอมก่อนนั้น เป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ข้าจึงต้องทำเช่นนั้น”
วางไข่อีกแล้ว ถ้าจำไม่ผิด หมอนี่พูดว่าวางไข่ให้ผมได้ยินจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วมั้งเนี่ย
“ละ...แล้วไอ้วางไข่นี่คืออะไร” ผมถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“การวางไข่คือวิธีการสืบพันธุ์และการสร้างร่างใหม่ของชาวยูนิกมา” เขาว่าแล้วอธิบายยาว “การสืบพันธุ์ของชาติพันธุ์เราสามารถสืบพันธุ์ได้โดยการวางไข่ผ่านทางปากให้กับอีกฝ่าย อย่างที่ข้าทำกับเจ้า การสร้างร่างใหม่ก็เช่นกัน”
ผมนึกถึงวัตถุทรงกลมขนาดเท่าถั่วแมคคาเดเมียที่กลืนลงไปเมื่อคืนขึ้นมาทันที
ยะ...อย่าบอกนะว่าไอ้นั่นคือไข่หมอนี่น่ะ แล้วไอ้ที่จู่ๆ ผมก็พุงป่องขึ้นมาน่ะ ก็คือการตั้งท้องหมอนี่ใช่มั้ย!?
ผมลมแทบจะใส่เมื่อนึกถึงอาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน นี่ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย มาตั้งทงตั้งท้องอะไร แถมยังตั้งท้องมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย กินไข่มันเข้าไปแล้วก็คลอดออกมาเป็นมันอีกที คุณพระคุณเจ้า! ฝันร้ายชัดๆ!
“ไม่ต้องกังวลไป ครั้งแรกก็จะตกใจเช่นนี้ แต่การฟักตัวและคลอดของชาวยูนิกมาไม่ทำให้ผู้ตั้งครรภ์เจ็บปวดหรือเป็นอันตรายใดๆ ทั้งนั้น เพราะเมือกของตัวอ่อนที่หลั่งออกมาจะทำให้เส้นประสาทที่สัมพันธ์กับความเจ็บปวดเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ และยังทำให้ผิวหนังหน้าท้องยืดและหดได้ ทุกอย่างจะกลับคืนเหมือนเดิมเมื่อคลอดออกมาแล้ว อีกทั้งการเจริญเติบโตก็ตัวอ่อนก็มีระดับการเติบโตในครรภ์จำกัด ต่อให้ตัวใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใหญ่เกินกว่าผู้ตั้งครรภ์จะรับไหว แต่จะมาขยายใหญ่เมื่อสัมผัสชั้นบรรยากาศด้านนอกอีกครั้ง อย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย” เขาโพล่งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะร้องไห้ออกมาให้ได้
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่อันตรายหรือไม่อันตรายเว้ย มันอยู่ที่จู่ๆ นายที่เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้โผล่มาทีละส่วนจากสะดือของชาวบ้านต่างหาก อย่างกับหนังสยองขวัญเกรดบี ใครไม่เสียสติก็บ้าแล้ว” ผมก่นด่ายาวอย่างลืมตัว “ที่สำคัญ ฉันเป็นผู้ชายเว้ย ท้องอย่างนี้ยังมีหน้ามาเรียกว่าปกติได้อีกเหรอวะ”
แล้วก็ตบท้ายด้วยอาการหัวเสียสุดๆ ที่หมอนี่ทำท่าเหมือนทุกอย่างปกติ
“สำหรับชาวยูนิกมาแล้ว ไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิงก็สามารถวางไข่และตั้งท้องได้ทั้งนั้น เพราะการตั้งท้องของชาวยูนิกมาไม่จำเป็นต้องอาศัยมดลูกอย่างชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินหรือชาติพันธุ์บางพันธุ์ เพียงอาศัยกระเพาะอาหารซึ่งเป็นอวัยวะหลักของสรีระชาติพันธุ์ในอวกาศทุกพันธุ์ในการฝังตัวและดูดซึมอาหารผ่านเส้นเลือดก็เพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว”
ผมอ้าปากค้าง มิน่า ทำไมหมอนี่ถึงได้ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ตั้งครรภ์บ้านมันได้ทั้งชายทั้งหญิง แถมยังโตในกระเพาะอาหาร แม่งมนุษย์ต่างดาวจากดาวโฮโมฯ ชัดๆ!
“และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอ่อนเพลียหลังคลอด เจ้าสูญเสียสารอาหารในร่างกายไป ข้าจึงชดเชยคืนให้โดยการให้เจ้าดูดสารอาหารจากข้า” หมอนั่นยังพล่ามต่อ
ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างเสียสติทันทีที่นึกถึงน้ำสีใสที่ไหลจากปลายนิ้วชี้ของหมอนั่น
“จะบ้าตาย อะไรวะเนี่ย”
ไอ้มนุษย์ต่างดาวมองผมนิ่งจนผมต้องละมือลง แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด พลันถามกลับอย่างเอาเรื่อง
“แล้วนี่นายต้องการอะไรถึงได้มาที่โลกมนุษย์”
“ก็บอกแล้วว่ามาเพื่อภารกิจบางอย่าง”
“วางไข่เนี่ยนะ?” ผมย่นคิ้วยู่ หากแต่อีกฝ่ายส่ายหน้า
“วางไข่เป็นเพียงการเอาตัวรอดในดาวที่มีชั้นบรรยากาศต่างจากดาวของข้ากับขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น ข้ามาเพื่อภารกิจอย่างอื่น”
ผมปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าหมอนี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร เดี๋ยววางไข่ เดี๋ยวดาวยูนิกมา เดี๋ยวภารกิจ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะบ้าเข้าไปทุกทีเลยให้ตาย
“จะอะไรก็ช่าง ถ้านายหมดธุระกับฉันแล้วก็ไสหัวไปซะ จะกลับดาวไปก็ได้ ไปไหนก็ไป ไม่ต้องโผล่มาที่นี่อีก” ผมตัดบทเอาดื้อๆ พลันขับไล่ไสส่งอย่างไร้เยื่อใย
ก็ควรจะไล่อยู่หรอก ขืนให้มันอยู่ต่อ มีหวังมันได้ทำให้ผมช็อคตายแน่
หากแต่หมอนั่นไม่หือไม่อือ เอาแต่มองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเผยอปากออกมา
“ข้ายังไปไม่ได้”
“แล้วนายต้องการอะไร” ผมย่นคิ้วยู่ เชื่อเลยว่าตอนนี้หน้าผมยับยิ่งกว่าผ้าที่หมกไว้ในตู้และยังไม่ได้รีดไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรจากเจ้านัก เพียงแค่ต้องการพึ่งพาสักระยะเท่านั้น”
พึ่งพา? พึ่งพาอะไรวะ? หมายถึงมาขออยู่ด้วยแบบนี้น่ะเหรอ เหย... ใครมันจะไปยอมวะ แหกสะดือกันซึ่งๆ หน้าแล้วยังมาขออยู่ด้วยหน้าด้านๆ อีก ให้อยู่ด้วยก็บ้าแล้ว!
“ไม่ให้พึ่งพาอะไรทั้งนั้นแหละ จะไปไหนก็ไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ามนุษย์โลกใจร้ายไม่ได้นะเว้ย!” ผมเดือดดาลเอาก็ตอนนี้ หันซ้ายหันขวาหาของมาขว้างใส่เขา พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างหัวเตียง
หากแต่พอขว้างใส่แล้ว หมอนั่นกลับรับมันไว้ได้ทันและออกแรงบีบจนนาฬิกาแตกออกเป็นเสี่ยงด้วยมือเพียงข้างเดียว
ผมอ้าปากค้างพร้อมกับเสียวสันหลังวาบ
นะ...นอกจากจะท้องไม่เลือกเพศแล้ว ยังมีพลังมหาศาลอีกเหรอเนี่ย!?
“ก็บอกว่ายังไปไม่ได้”
“ทะ...ทำไม ก็หมดธุระกับฉันแล้วนี่ ฉันให้นายวางไข่ก็ทำแล้ว คลอดนายก็ทำแล้ว จะเอาอะไรอีก” ผมว่าเสียงเครือ กลัวเหลือเกินว่าหมอนั่นจะเอามือมาบีบกะโหลกผมแหลกคามือ
หมอนั่นยังคงมองผมนิ่งๆ เช่นเคย ก่อนจะว่าออกมา
“อย่างที่บอกว่าข้าต้องพึ่งพาเจ้าสักระยะ ข้าไม่อาจอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์สีน้ำเงินได้เกินเจ็ดวัน จำต้องลอกคราบและฟักตัวใหม่ ไม่เช่นนั้นข้าจะตาย ซึ่งการทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องมีร่างฝากเพื่อการเจริญเติบโต และนั่นหมายความว่าข้าต้องพึ่งเจ้า”
ภาพหนังเอเลี่ยนที่มันใช้ลิ้นเจาะฝากไข่กับมนุษย์แล้วตัวอ่อนเจริญเติบโตโดยการกินสารอาหารจากร่างกายมนุษย์ฉายแวบขึ้นมาในหัวผมทันที แต่ในหนังจะน่ากลัวกว่าหน่อยตรงที่เอเลี่ยนพวกนั้นมันแหวกอกคนที่ถูกวางไข่ออกมาหน้าด้านๆ ทว่าหมอนี่ทำแค่แหวกสะดือ แต่ถึงอย่างนั้น การแหวกสะดือนี่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่หน้าด้านและไร้ยางอายเช่นกัน ถึงผมจะพอเข้าใจแล้วว่าที่หมอนี่วางไข่ใส่ผมก็เพราะมันเป็นวิธีการเอาชีวิตรอดก็ตาม
“ก็ไปหาร่างฝากที่อื่นสิวะ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย” ผมโวยวายลั่นถึงจะพอเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาแล้ว
“เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่โผล่มาตอนข้ากำลังจะตาย ข้าจึงจำต้องใช้เจ้า และเจ้าก็เป็นคนเดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าจึงจำเป็นต้องใช้เจ้าต่อไปอีกเช่นกัน การเปิดเผยตัวตนมากจนเกินไปไม่เป็นผลดีกับข้ามากนัก ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่รบกวนนานนักหรอก เพียงแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังวางไข่ ข้าก็ฟักตัวแล้ว”
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การตั้งท้องยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ปัญหามันอยู่ที่ทำไมผมต้องไปรับอุ้มท้องให้มันด้วย!
“แล้วทำไมไม่ไปฝากร่างกับไอ้คนที่แทงนายตั้งแต่แรกเล่า!” ผมนึกถึงมีดที่ปักอยู่ข้างตัวเขาขึ้นมาได้ฉับพลัน ตอนที่โดนแทงก็น่าจะวางไข่ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ถือว่าเอาคืนไปซะก็หมดเรื่อง
“ข้าวิ่งตามไม่ทัน” มันว่าออกมาหน้าตาย
คำตอบของหมอนี่ทำให้ผมแทบจะทึ้งผมตัวเองรัวๆ ไอ้เอเลี่ยนนี่โคตรจะซื่อบื้อเลย หน้ามึนหน้าด้านยังไม่พอ ยังจะทึ่มอีก!
“แล้วนายไปถูกแทงมาได้ยังไง” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ ซักถามออกไป
“ข้าเพิ่งจะมาถึงดาวของเจ้าก่อนจะพบเจ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมง พอมาถึง ข้าก็พลัดหลงกับพรรคพวกหลังถูกโจมตีจึงเตร็ดเตร่ถามทางจนพบกับมนุษย์ผู้นั้น แต่ถูกมนุษย์นั่นถามหาบางสิ่งที่เรียกว่าเงินกับข้า พอข้าบอกว่าไม่มีก็ถูกทำร้ายอย่างที่เห็น”
“จากนั้นนายก็มาโผล่หลังไนท์คลับเนี่ยนะ เข้ามาได้ยังไงวะ” ผมทำหน้างงหนัก ก็ไนท์คลับที่ผมไปเมื่อคืนมันเปิดให้เฉพาะนักท่องราตรีที่เป็นสมาชิกระดับวีไอพีเท่านั้นนี่ ขนาดผมที่ไปบ่อยๆ ยังต้องมีคนพาเข้าเลย ไอ้มนุษย์ต่างดาวนี่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบัตรวีไอพีอะไรเทือกนั้น ต้องมีคนพาเข้ามาเหมือนกันแน่
แต่แล้วคำตอบของเขาก็ทำให้ผมต้องตีหน้ายุ่ง
“ข้าเห็นมันอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจึงเดินเข้าไปพัก จากการเรียนรู้พฤติกรรมของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ว่ากันว่าหากทำตัวนิ่งๆ และวางท่าเหมือนคุ้นเคยก็จะไม่มีใครสงสัย ข้าจึงเข้ามาได้โดยง่าย เพียงแค่เดินเข้ามาเฉยๆ เท่านั้น”
อีแบบนี้เค้าเรียกทำเนียนหน้าด้านๆ! มิน่าล่ะถึงได้ผ่านมาได้ง่ายนัก แต่ก็อย่างว่าแหละ พวกการ์ดที่นั่นมองรูปลักษณ์ของแขกที่มาเที่ยวเป็นหลัก ถ้าเห็นท่าทางภูมิฐานหน้าตาดีหน่อยก็ไม่เอะใจสงสัยอะไรแล้ว แต่ก็น่าแปลกนะที่พวกการ์ดไม่ได้เอะใจไอ้บอดี้สูทมันๆ เลื่อมๆ ที่ใส่ตอนแรกเลยแม้แต่น้อยว่ามันประหลาด หรือว่าเพราะเห็นหน้าหล่อจัดก็เลยปล่อยผ่านไปเฉยๆ? โคตรจะไม่แฟร์กับผมเลยว่ะ ผมแต่งตัวดีทุกครั้งที่ไปที่นั่นนะ แต่ก็ไม่เคยเข้าได้ด้วยตัวเองสักที
