Episode 01: Giving birth【2】
20 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 22.00 น.)
หลังจากที่ผมกลับมาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับเลมอนกว่าสิบลูก ผมก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมวันนี้ผมถึงอ่อนเพลียมากกว่าปกติเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ถ้าอดนอนหรือเมาแฮ้งค์ นอนไม่เกินสิบชั่วโมง ผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว
นี่ต้องเป็นเพราะผมเครียดจัดด้วยแน่ๆ ร่างกายถึงได้มีอาการแบบนี้
ผมดันตัวขึ้นนั่ง เอื้อมตัวไปคว้ารีโมทที่วางอยู่ข้างจานเลมอนซึ่งเหลือแต่เปลือกมาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวต้นชั่วโมงอีกครั้ง ผลยังคงเหมือนเดิม... ไม่มีข่าว ไม่มีการพูดถึง ไม่มีอะไรเลย
สงสัยจะยังไม่มีใครพบศพจริงๆ...
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยผมก็รอดจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นไปอีกคืน
ผมปิดโทรทัศน์ ลุกขึ้นยืน กะว่าจะไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอน พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาลุ้นใหม่ ทว่าในจังหวะที่ลุกขึ้น ผมก็เกิดวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงจนต้องทรุดตัวนั่งลงไปบนโซฟาอีกครั้ง ในจังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่าร่างกายของตัวเองมันเปลี่ยนไป หน้าท้องภายใต้เสื้อยืดป่องยื่นออกมาทำให้ผมเบิกตาโพลง รีบถลกเสื้อขึ้นดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตกใจหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าหน้าท้องแบนราบที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามซิกส์แพ็ค บัดนี้กลายเป็นวันแพ็คเหมือนกับท้องของคนท้องก็ไม่ปาน แถมสะดือยังจุ่นออกมาจนเหมือนจะระเบิดให้ได้อีกด้วยทั้งที่จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนสะดือโบ๋
ผมรีบตั้งสติ ข่มความวิงเวียนนั่นทิ้งไปแล้วรีบกลั้นใจวิ่งไปยังห้องน้ำ ถอดเสื้อออกแล้วส่องกระจกมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นๆ
“อะ...อะไรวะเนี่ย” ผมครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่มันท้องของคนท้องชัดๆ เลยให้ตาย! เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย! หรือว่าจะเป็นเพราะผมกินเลมอนแบบไม่บันยะบันยังเข้าไปกัน!? หรือจะป่วย? ท้องผูก? ท้องมาน? มะเร็ง?
เป็นเวรอะไรวะ!
ผมแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นตัวเองในสภาพไม่น่าดูนัก พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับผมหนักหนา แค่เห็นคนตายต่อหน้าแล้วต้องมานั่งกังวลว่าตัวเองจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมยังไม่พออีกหรือไง ทำไมต้องมาทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปมากกว่าเดิมด้วย
“โอเคไอ้กวินทร์ มันก็แค่ท้องอืด... แค่ท้องอืด ขี้ออกเดี๋ยวก็หาย”
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ปลอบตัวเองอย่างเต็มที่ ถอดกางเกงออก ไปนั่งบนโถชักโครกอย่างไม่รีรอ ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ไม่มีอะไรหลุดไหลออกมาจากปากประตูหลังเลยแม้แต่น้อย จากที่พยายามปลอบตัวเองในตอนแรกว่าแค่ท้องอืด ตอนนี้ผมคิดเข้าข้างตัวเองไม่ลงแล้วว่ามันเป็นแค่นั้น
ท้องโตขนาดนี้มันไม่ใช่ท้องอืดแล้ว ต้องมีอะไรร้ายแรงกว่านั้นแน่นอน และคนที่จะช่วยผมได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือหมอ!
ผมพาตัวเองออกจากห้องน้ำ ไปแต่งตัวในห้องนอนอย่างรนๆ ในจังหวะที่ผมกำลังจะสวมเสื้อนั่นเอง ความเจ็บแปลบก็แล่นพล่านขึ้นมาทั่วหน้าท้องจนผมต้องเบ้หน้า ยกมือกุมท้องตัวเองทันใด
“เป็นเวรอะไรอีกวะ” ผมสบถ พยายามจะใส่เสื้ออีกครั้ง แต่ก็ต้องละความพยายามเมื่อความเจ็บปวดมันเพิ่มมากขึ้นจนผมพยุงตัวให้ยืนไว้ไม่ไหว
ปวดจนหน้ามืดเป็นยังไงรู้ได้ก็ในตอนนี้...
ผมทรุดตัวลงกับพื้น ค่อยๆ คลานพาตัวเองไปที่เตียงอย่างทุลักทุเล พอทิ้งตัวลงนอนได้ ก็ควานหาโทรศัพท์มือถือ กะว่าจะโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับ เพราะดูท่าทางแล้ว ผมคงจะไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองไม่ไหว ก่อนจะตระหนักได้ว่าผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่หน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น
เวรจริงๆ... พักสักหน่อยแล้วกันแล้วกัน ดีขึ้นเมื่อไหร่แล้วค่อยออกไปโทร
ยี่สิบสี่ ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 02.00 น.)
จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะพักแค่ครู่เดียว ก็กลายเป็นว่าผมผล็อยหลับไปอีกแล้ว ตื่นมาอีกทีก็ตอนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวหนังหน้าท้อง ผมปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย ยกมือคลำไปยังหน้าท้องก่อนจะรีบชักมือออกเมื่อมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวมาโดนฝ่ามือเข้าอย่างจัง พลันรีบขยับไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างตื่นๆ
หนะ...หน้าท้องขยับจริงๆ ด้วย!
ใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แล้วผมก็ต้องตกใจหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ามีของเหลวสีใสบางอย่างซึมออกมาจากสะดือ
ผมทำใจกล้า ยื่นมือสั่นเทาไปแตะของเหลวนั้นมาดูใกล้ๆ สัมผัสเหนียวเหนอะของมันทำให้ผมนึกถึงน้ำเมือกอะไรบางอย่าง และมันก็ยิ่งไหลมากขึ้นกว่าเดิม จากที่ซึมๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าไหลเป็นเขื่อนแตกก็ไม่ปาน
“อะ...อะไรเนี่ย!” ผมสติแตกเอาในตอนนี้ ร้องโวยวายลั่น พยายามจะพาตัวเองออกไปเอาโทรศัพท์มาโทรเรียกรถพยาบาล แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ทำได้ง่ายดายนัก
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำหนักของท้องที่ใหญ่ขึ้นหรือยังไงที่ทำให้ผมไม่อาจลุกขึ้นได้ น้ำเมือกนั่นยังคงไหลออกมาไม่หยุด แย่กว่านั้น สะดือที่ไม่เคยจุ่นเลยตลอดชีวิต นอกจากจะจุ่นอย่างไร้เหตุผลและตรรกะใดๆ แล้ว มันยังค่อยๆ ขยายออกกว้างเป็นรูโบ๋ขนาดเท่าหัวแม่มือและมากยิ่งกว่าเดิม ทำเอาผมเสียสติเข้าไปใหญ่
“อ๊ากกก!”
ผมร้องสุดเสียง ไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองจะเหยียบย่างเข้าใกล้ความตายเท่าในตอนนี้มาก่อน
นี่มันหนังสยองขวัญชัดๆ!
แล้วความสยองขวัญก็เพิ่มทวีมากขึ้นเมื่อจู่ๆ ผมก็เหลือบเห็นนิ้วมือซีดขาวโผล่ออกมาจากรูสะดือตัวเองที่ขยายกว้างยิ่งกว่าบ่อน้ำบนถนนลูกรังในประเทศไทย น้ำหูน้ำตาที่ไม่เคยไหลมาตลอดหลายปีไหลพรากยิ่งกว่าน้ำตกไนแองการา สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเลยสักนิดแต่ผมกลับแหกปากลั่นประหนึ่งหมูถูกเชือด และลั่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อสิ่งที่โผล่มาจากสะดือไม่ได้มีแค่นิ้ว แต่มันมาทั้งมือ
มืออย่างเดียวคงไม่สาแก่ใจ ตามมาด้วยแขน ไหล่ และ...หะ...หัว! หัวคนทั้งดุ้นเลยแม่เจ้าโว้ย!
ผมหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นเพียงแค่ฝัน อยากสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าร่างกายผมในตอนนี้ ต่อให้สมองสั่งการหนักแค่ไหนก็ไม่ปฏิบัติตามแล้ว ผมเอาแต่จ้องสิ่งที่ผุดออกมาจากสะดือผมอย่างตกตะลึง
มะ...มนุษย์ผู้ชาย! มนุษย์ผู้ชายตัวเท่าหมีควายแหกสะดือผมออกมา!
ไอ้นรกนั่นใช้มือทั้งสองข้างเสยผมขึ้นแล้วเงยหน้ามองผมนิ่งๆ ขณะที่ตัวช่วงล่างของมันยังอยู่ในตัวผม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจได้เท่ากับใบหน้าคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนที่ปรากฏตรงหน้าผมเลยแม้แต่น้อย
ก็ไอ้ตัวบ้านี่มันคือผู้ชายที่ผมเจอหลังไนท์คลับเมื่อคืนนี้น่ะสิ!
ผมอ้าปากค้าง ชี้นิ้วสั่นเทาไปยังหน้าหมอนั่นอย่างพรึงเพริด หมอนั่นมองผมเล็กน้อยโดยไม่ตอบอะไร นอกจากจะใช้มือทั้งสองข้างดันฟูกข้างๆ ดึงตัวส่วนที่เหลือออกมาจากสะดือผม แล้วหย่อนตัวลงมายืนข้างเตียง ปล่อยให้ผมนอนจมกองน้ำเมือกราวผักปลา และชั่ววินาทีเดียว สะดือผมทีหมอนั่นมุดออกมาก็หดกลับมาเป็นสะดือยามปกติเหมือนเดิม ราวกับว่าเป็นยางยืดที่ยืดได้หดได้อย่างไรอย่างนั้น แถมไร้ความเจ็บปวดหรือบาดแผลใดๆ อย่างที่ควรจะเป็นเสียด้วย หน้าท้องเต็มไปด้วยซิกแพ็คก็กลับมาเหมือนเดิมเช่นกัน ไม่มีร่องรอยใดๆ บ่งบอกเลยว่าก่อนหน้านี้มันเคยป่องประหนึ่งคนท้อง
ผมรีบลุกพรวด สำรวจร่างกายตัวเองอย่างรนๆ ทันทีว่ามีตรงไหนสึกหรอไปหรือไม่ ก่อนจะลงจากเตียง ทำท่าจะวิ่งไปแต่งตัวแล้วไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่ามีร่องรอยบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เพราะถึงจะไม่เห็นความผิดปกติบนร่างกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นปกติ
แน่ล่ะ มันไม่ปกติแน่นอนอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ผุดออกมาจากสะดือ ชาวบ้านที่ไหนมองว่าเป็นเรื่องปกติกันบ้าง! มันไม่ปกติตั้งแต่จู่ๆ ท้องก็ป่องเป็นคนท้องแล้ว!
หมอนั่นมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมได้ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบพร้อมกับดักหน้าผมเอาไว้
“ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นเรื่องปกติ”
ปกติบ้านปู่มึง! แหกสะดือชาวบ้านออกมาอย่างนี้ มันไม่ปกติแล้วเว้ย!
ผมมองหมอนั่นด้วยสายตาหวาดกลัวระคนโกรธ พยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วหนีออกจากห้องให้รวดเร็วที่สุด ทว่าความที่หมอนั่นตัวใหญ่กว่า ทำให้ผมหลบได้ไม่ง่ายนัก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือมาคว้าไหล่ผมไว้มั่น
“ขอบใจมากที่ให้ข้าวางไข่”
วะ...วางไข่อะไรอีกวะ!
ผมสะบัดตัวหนีเต็มแรง ใจหนึ่งก็อยากจะถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคือเรื่องบ้าอะไร แต่ความกลัวในตอนนี้มันมีมากกว่า สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน ต้องเป็นผีห่าซาตานอะไรสักอย่างถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ หากแต่พอผมหลบออกมาได้จนเกือบจะถึงขอบประตูห้อง หมอนั่นก็คว้าข้อมือผมเอาไว้อีกครั้ง
“อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ร่างกายเจ้ายังไม่คืนสภาพ”
“ปล่อยนะโว้ย!”
ผมโวยวายเสียงหลง พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมเต็มกำลัง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะไอ้บ้านั่นยังคงยืนจับข้อมือผมอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะพูดขึ้นมาอีก
“นอนเฉยๆ ก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นอันตรายได้”
อยู่เฉยๆ นี่แหละอันตราย ใครจะไปอยู่ให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มุดออกมาจากสะดืออีกรอบกันวะ!
“บอกให้ปล่อย!”
ผมเหวี่ยงหมัดอีกมือหนึ่งใส่หน้าหล่อนั่นทันที กะว่าพอต่อยแล้วเขาหงายหลังไป จะใช้โอกาสนี้หนีเอาตัวรอด หากแต่พอปล่อยหมัดไป หมอนั่นก็ใช้มือที่ว่างอยู่รับหมัดหน้าตาเฉย
“นอนพักซะ”
“ปล่อยสิวะไอ้เวรเอ๊ย!”
ผมชักจะหมดความอดทน เหลือบไปเห็นไม้เบสบอลที่วางพิงกำแพงพอดีเลยคว้ามาถือ ตั้งใจว่าจะฟาดกระหน่ำไปยังคนตรงหน้าอีกครั้ง ทว่าในวินาทีที่ง้างไม้ขึ้น ความวิงเวียนก็จู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว จนผมมองเห็นภาพตรงหน้าเลือนราง เซถลาไปทรุดลงบนพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไปพร้อมกับเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน
“บอกแล้วว่าร่างกายเจ้ายังไม่คืนสภาพ ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน”
