Episode 01: Giving birth【1】
6 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 09.00 น.)
ก๊อกๆๆ
“ใครครับ”
“นักสืบทราวิสจากสำนักงานนักสืบ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องชายนิรนามที่กลายเป็นศพหลังไนท์คลับ คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ผมคงต้องขออนุญาตเชิญคุณไปคุยแบบส่วนตัวที่โรงพัก”
“ชะ...ชายนิรนามไหน ผมไม่รู้เรื่อง เฮ้! อย่ามาจับตัวผมนะ! ปล่อย!”
“คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูด เราจะใช้ปรักปรำคุณในชั้นศาลได้ คุณมีสิทธิที่จะเรียกทนายความ หากคุณไม่มีทนาย ทางรัฐจะจัดหาให้ คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถามใดๆ คุณเข้าใจสิทธิที่แจ้งมา เชิญไปโรงพัก”
“ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น! ผมไม่รู้เรื่อง! ปล่อยนะเว้ย!”
ปิ๊บ!
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายซีรีย์ชื่อดังที่มีนักสืบหนุ่มหน้าหล่อนามทราวิสเป็นตัวดำเนินเรื่อง พลันใช้นิ้วมือคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างหัวเสีย ทำไมไอ้ซีรีย์บ้านี่ถึงได้มาฉายในเวลาประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ผมประสบมาเมื่อคืนด้วยก็ไม่รู้ คนยิ่งกังวลอยู่ว่าจะมีตำรวจตามมาจับตัวถึงบ้านเหมือนกับไอ้อ้วนโง่เง่าในซีรีย์นั่น
ผมลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาทั่วห้องเมื่อนึกถึงภาพชายร่างใหญ่ล้มฟุบหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อมา ตั้งแต่กลับมาจากไนท์คลับเมื่อตอนตีสามและซุกตัวอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ของตัวเอง ผมก็มีอาการพารานอยด์ไม่หยุดจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะแจ้งตำรวจก็กลัวว่าตัวเองจะซวยเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับศพนั่น แต่จะเก็บตัวเงียบอย่างนี้ ผมก็วางตัวปกติไม่ได้อีก
คนตายต่อหน้าต่อตาเลยนะ! จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไง!
ผมกดรีโมทเปิดโทรทัศน์อีกครั้ง เปลี่ยนช่องไล่หาช่องข่าวพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ที่ผมต้องไล่หาข่าวอย่างนี้ทั้งคืนก็เพราะผมอยากจะรู้ว่าป่านนี้มีใครไปเจอศพผู้ชายคนนั้นหรือยัง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่ข่าวเดียว จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกที่ไม่มีใครไปเจอศพหมอนั่น นี่มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพวกพนักงานไนท์คลับ ไม่ก็พวกพนักงานทำความสะอาดออกไปทิ้งขยะหลังร้านบ้างสิ
เอ... หรือว่าจะเจอศพแล้ว แต่ตำรวจยังไม่ยอมให้ปล่อยข่าวกัน? แต่ถ้าตำรวจเจอศพแล้ว แสดงว่าตอนนี้คงถึงขั้นตอนเสาะหาตัวคนร้ายแล้วล่ะมั้ง
ผมคิดวุ่นไปทั่ว เผลอยกนิ้วมือขึ้นมากัดเล็บอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งไปเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาร้องลั่น พอตั้งสติได้ ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามันมาดูชื่อคนโทรเข้าที่หน้าจอแล้วกดรับอย่างหงุดหงิด
“ว่า?”
[เมื่อคืนนายทิ้งฉันแล้วหนีกลับก่อนได้ยังไง แถมยังปล่อยให้ฉันนอนที่นั่นจนถึงเช้าอีก ใจร้ายมากเกินไปแล้วนะ]
เอมิเลียกรอกเสียงขุ่นมาตามสาย ทำเอาผมย่นคิ้วยู่ที่จู่ๆ เธอก็โผล่มาวีนไม่รู้จังหวะ
“ก็เธอเมาพับ แล้วฉันก็เหนื่อยด้วย เลยกลับมาก่อน”
[ไม่ใช่ว่าตอนฉันเมา นายควงคนอื่นไปฟาดกันที่ไหนหรอกนะ]
เอมิเลียทำผมหงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อเธอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมรู้ว่าเธอระแวง แต่มันใช่เวลาที่จะมาสร้างความรำคาญให้ผมมั้ย
“ถ้าเธอไม่เชื่อใจ ก็ไม่ต้องมายุ่งกัน รำคาญ!” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยตามอารมณ์
อีกฝ่ายชะงักไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวานทันควัน
[ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องโมโหด้วย อย่าโกรธกันเลยนะ นายก็รู้ว่าฉันชอบนายมาก ฉันเลยหวงเป็นธรรมดา ขอโทษนะเควิน อยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อไถ่โทษให้]
เธอทักจะเอาสิ่งของมาล่ออย่างนี้ตลอดเวลาทำให้ผมหัวเสีย แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยขอให้เธอซื้ออะไรให้นะ นอกจากเธอจะซื้อให้เอง
“ช่างมันเถอะ” ผมตอบส่งๆ ด้วยไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ทว่าเอมิเลียก็ยังไม่หยุด
[งั้นมาเจอกันตอนนี้มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันจะบริการอย่างเต็มที่เลย]
บริการที่เธอว่าก็คือเรื่องเซ็กส์นั่นแหละ
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันปวดหัว อยากจะพัก” ผมตอบปฏิเสธโดยแทบไม่ต้องคิด ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงจะไม่รีรอที่จะตอบรับเธอไปแล้ว
[ไม่ค่อยสบายเหรอ ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย] เธอเสนอขึ้นมาอีก
“บอกว่าไม่ต้อง ให้ฉันอยู่คนเดียว อย่ามาวุ่นวายกับฉันจนกว่าฉันจะติดต่อกลับไปเองก็พอ”
[เดี๋ยวสิเควิน แต่ว่าฉันอยากเจอ...ตู๊ดๆๆ]
ผมกดวางสายเอาดื้อๆ ไม่สนใจเสียงของเอมิเลียที่ร้องเรียกแต่อย่างใด พลันทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทึ้งผมตัวเองไปมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความกลัดกลุ้มยังคงเกาะกุมจิตใจ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอมิเลียที่โทรมาหาเมื่อครู่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์ที่ผมเจอเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาผมฉุกใจ โทรกลับไปหาเธออีกครั้ง
“เอมิเลีย”
[โทรกลับมาอย่างนี้ แสดงว่าจะให้ฉันไปหาสินะ] เธอว่าด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“เปล่า ฉันแค่มีเรื่องจะถาม”
[เรื่องอะไร]
“แบบว่า...” ผมเงียบไปครู่ ชั่งใจว่าจะพูดอย่างไรให้เอมิเลียไม่เอะใจดีว่าผมมีส่วนรู้เห็นกับการตายของผู้ชายคนนั้น
[แบบว่าอะไร] เอมิเลียเร่งเร้า ให้ผมโพล่งออกไป
“แบบว่าที่ไนท์คลับน่ะ มีอะไรแปลกๆ มั้ยตอนที่เธอกลับออกมา”
[อะไรเหรอที่ว่าแปลกๆ]
“ก็แบบ... เรื่องร้ายๆ หรือเรื่องน่าตกใจอะไรประมาณนี้” ผมว่าอ้อมๆ เอมิเลียเงียบไปครู่แล้วก็ตอบกลับมา
[ก็ไม่นะ เรื่องร้ายๆ เรื่องเดียวที่ฉันเจอก็คือตื่นมาแล้วเห็นว่านายหนีกลับไปก่อนนี่แหละ]
พอได้ยินอย่างนี้ ผมก็โล่งใจขึ้นมาเปาะหนึ่ง ถ้าเอมิเลียที่อยู่ในที่เกิดเหตุจนถึงเช้าไม่รู้ ก็แสดงว่ายังไม่มีใครไปเจอศพแหงๆ
[ถามอะไรแปลกๆ นี่มีอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย]
เธอก็วกกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้ นี่ก็อยากจะมาหาผมให้ได้เลยสินะ
“ไม่ต้อง” สุดท้าย ผมก็ตัดบทโดยการตัดสายไปอีกครั้ง
คงจะต้องรอดูต่อไปอีกสักหน่อยก่อน ไม่แน่ว่าอีกสักพักอาจจะมีข่าวออกมาก็ได้
10 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 13.00 น.)
ผมยังคงนั่งประจำที่โซฟา สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวอย่างใจจดจ่อ ไม่นานนัก รายงานข่าวก็จบลงและไร้ซึ่งข่าวที่ผมเฝ้ารออีกเช่นเคย ผมถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าถอนหายใจเพราะโล่งใจที่ไม่ได้เห็นมัน หรือถอนหายใจที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองหลังจากนี้สักที
ผมเปลี่ยนช่องหารายการข่าวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่ช่องหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมผมมีสภาพเหมือนจะตายให้ได้อย่างนี้ เพราะตั้งแต่กลับมาถึงห้องเมื่อคืน ผมก็ยังไม่ได้นอนเลยแม้แต่งีบเดียว แถมยังไม่ได้กินอะไรด้วย เอาแต่เฝ้าระแวงจนไม่เป็นอันทำอะไร มิหนำซ้ำ ตอนนี้ผมก็เริ่มจะปวดหัวหนึบขึ้นมาด้วยแล้ว ทั้งปวดหัวจากอาการแฮ้งค์เมื่อคืน และปวดหัวเพราะเครียดเรื่องบ้าๆ นี่ด้วย
ผมหลับตาลง นวดคลึงขมับไปมาด้วยหวังว่าจะทำให้อาการปวดบรรเทาลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่บรรเทาแล้ว ยังจะมีอาการคลื่นไส้แทรกซ้อนขึ้นมาอีก ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นมาหายาแก้ปวดกิน ทว่าไอ้สลากยาบนขวดสีขาวมันดันระบุไว้ว่าให้ทานหลังอาหาร ผมก็เลยต้องไปจัดการเปิดตู้เย็น หาอะไรมายัดลงกระเพาะเพื่อรองท้องสักหน่อยก่อน
อาหารแช่แข็งค้างคืนตั้งแต่เมื่อวานก่อนถูกเอามาอุ่นในไมโครเวฟ ผมทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ เตรียมจะจัดการสปาเก็ตตี้ที่เหลืออยู่ครึ่งกล่องเข้าปาก ทว่าพอเปิดกล่องมันออกมา กลิ่นของมันก็ปะทะเข้าจมูกผมอย่างจัง มันก็เป็นกลิ่นสปาเก็ตตี้นี่แหละ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ากลิ่นมันชวนคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก จนผมต้องหันไปไอโขลกตัวโยนอยู่พักหนึ่ง ตั้งสติได้ก็หันกลับมากลั้นใจตักมันเข้าปาก และพอผมส่งเส้นสปาเก็ตตี้เข้าไปในปาก อาการคลื่นไส้ก็รุนแรงขึ้นจนผมต้องรีบวางส้อมลง วิ่งพรวดไปยังซิงค์ล้างจาน สำรอกมันออกมาในทันใด
พอกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมก็เดินกลับมายกกล่องสปาเก็ตตี้นั่นทิ้งลงถังขยะ กระเดือกยาแก้ปวดลงคอโดยไม่สนว่าจำเป็นต้องมีอะไรลงท้องก่อนหรือไม่ แล้วกลับมาที่ห้องนั่งเล่นในสภาพอิดโรย
ให้ตายเถอะ... สงสัยจะเครียดมากเกินไปแน่ๆ
15 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 18.00 น.)
ฤทธิ์ของยาแก้ปวดและความอ่อนเพลียที่สั่งสมมาตลอดทั้งคืนทำให้ผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอินโทรของรายการข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งดังเข้ามาในหู ผมดันตัวเองขึ้นนั่งตัวตรง สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์อย่างใจจดจ่ออีกครั้ง
และก็เช่นเคย ยังไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหนๆ ก็ไร้วี่แววจนผมชักจะเอะใจแล้วว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่มันแปลก ไม่แน่ว่า บางทีผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ตาย อาจจะหยุดหายใจไปตอนที่ผมอยู่ที่นั่น แล้วก็กลับมาหายใจเหมือนเดิม เดินกลับบ้านหน้าตาเฉยก็เป็นได้
ทว่าคิดเข้าข้างตัวเองไปก็เท่านั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่หยุดหายใจแล้วกลับมาหายใจเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็นิยายแฟนตาซีเกินไปแล้ว!
หรือผมควรจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเองดีว่าศพยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?
...บ้าแล้ว ถ้าไปแล้วเจอศพอยู่ที่เดิมแล้วผมจะทำอะไรต่อได้ล่ะ ซ่อนศพเหรอ? ไม่มีทางเลย โผล่หัวไปอย่างนั้น รังแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากขึ้น ทำตัวเฉยๆ รอดูข่าวอยู่ที่บ้านนี่แหละเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ผมปลอบใจตัวเอง ลุกเข้าไปในครัวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จริงๆ แล้วผมก็ไม่ใช่คนกินอาหารตรงเวลาอะไรนัก แต่ที่พยายามพาตัวเองไปหาอะไรกินก็เพราะว่าวันนี้ทั้งวันผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากยาแก้ปวดและน้ำเปล่าเท่านั้น
ผมสอดส่ายสายตามองวัตถุดิบในตู้เย็น พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งว่าจะทำอะไรกินดี เพราะตอนนี้ไม่มีอาหารกล่องแช่แข็งหลงเหลืออยู่แล้ว ปกติแล้วผมทำอาหารกินเองนะ แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจเลยชอบซื้ออาหารกล่องแช่แข็งมาแช่ทิ้งเอาไว้มากกว่า มันสะดวกและเร็วดี เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอะไรจุกจิกอย่างผม
ระหว่างกำลังเลือกวัตถุดิบและคิดว่าจะทำเมนูอะไร สายตาก็ปะทะเข้ากับเลมอนสีเหลืองสดลูกโตเข้า พลันน้ำลายในปากก็หลั่งเยอะกว่าปกติจนน่าแปลกใจ มิหนำซ้ำ ยังมีประโยคแปลกๆ ลอยเข้ามาในหัวอีกด้วย
เปรี้ยวปาก...
ผมไม่รู้ว่าอาการนี้มันเป็นผลข้างเคียงจากความเครียดหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจจะหาคำตอบนัก นอกจากเอื้อมมือไปหยิบมะนาวลูกนั้นมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วโรยเกลือนิดหน่อย ก่อนจะจับบีบเข้าปากอย่างกระหาย
มันไม่ได้ทำให้ผมอิ่มท้องเลยสักนิด แต่มันช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้พอสมควร เพียงเวลาไม่นาน เลมอนลูกนั้นก็ถูกผมดูดกลืนน้ำไปจนหมดสิ้น ผมมองจานที่มีเลมอนฝานเหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวนิ่งๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าผมจัดการมันไปเกือบหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่รู้ๆ คือ มันไม่พอ ผมอยากกินอีก ....อยากกินมากกว่านี้
ผมรีบจัดการบีบน้ำรสเปรี้ยวจากเลมอนชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วไปแต่งตัว ออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้กับละแวกที่พักทันใด
